เพื่อน-คณิน เริ่มต้นจากการเป็นนายแบบ เป็นพระเอกเอ็มวี และตามมาด้วยการแสดงละคร ผลงานที่แจ้งเกิดให้แก่เขาจนโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักชั่วข้ามคืนคือบทบาท “ยงยุทธ” จากละคร สุดแค้นแสนรัก เมื่อปี 2558 และเป็นชื่อที่แฟนๆ มักเรียกเขาในช่วงเวลานั้น หลังจากละครเรื่องดังกล่าว เขาก็มีผลงานอีกหลายเรื่อง เช่น ใต้เงาจันทร์ ไข่มุกมังกรไฟ ริมฝั่งน้ำ ลิขิตแห่งจันทร์ ทิวาซ่อนดาว ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการด้านการแสดงตามลำดับ ถึงแม้เขาจะกล่าวว่าการทำงานในช่วงแรกเหมือนการฝึกงานมากกว่าทำงานจริง แต่วันนี้เขาคือนักแสดงมืออาชีพ ทำความรู้จักกับตัวตนของเขาให้มากขึ้น พระเอกขี้อายยิ้มเก่ง กับ 8 ปีของการทำงานในวงการบันเทิง ที่แม้อาจเริ่มจากความโชคดี แต่ความสำเร็จในวันนี้ เขาก็ไม่ได้อาศัย “โชค” เพียงอย่างเดียว
“เราเข้าวงการจากการเดินแบบก่อน” เพื่อนเริ่มต้นถ่ายทอดเรื่องราวของเขาให้เราฟังอย่างเป็นกันเอง ตลอดการสนทนาเหมือนการคุยกันระหว่าง “เพื่อน” ไม่มีการไว้ตัว ไม่ต้องรักษามาด
“มีแมวมองมาชักชวนให้ไปเป็นโมเดลเดินแบบ จากนั้นก็มีงานอื่นเข้ามา เล่นเอ็มวี ถ่ายโฆษณา เล่นหนังสั้น แล้วก็มาแสดงละคร
“จริงๆ ไม่เคยคิดจะเข้าวงการ ไม่มีในหัวเลยสักนิด เรียนก็เรียนบริหารธุรกิจ ไม่ได้เรียนนิเทศเหมือนคนอื่น วันๆ อยู่กับเพื่อน เล่นกีฬา และที่สำคัญคือผมเป็นคนขี้เขิน ไม่ได้อยากให้ใครมามองเยอะ แต่เขาคงเห็นว่าความสูงของเราพอได้เลยชวนให้ไปเดินแบบ เราก็ลองดู มาอย่างงงๆ แต่ผมก็ไม่ได้ทำไปเรื่อยเปื่อย เราตั้งใจกับโอกาสที่ได้รับ
“พอได้ลองทำจริง โอ้โห ยากมาก เพราะเราเป็นคนไม่กล้าแสดงออก ไม่ได้เตรียมตัวเพื่อจะมาทำงานอย่างนี้ แค่เดินแบบ ไม่มีแอ๊คติ้ง แถมโมเดลผู้ชายก็ไม่ต้องหมุนหรือโพสต์อะไรมาก เดินเฉยๆ ยังยากเลย พอมีสายตามองมาก็รู้สึกกดดัน ทำไมเดินธรรมดาเรายังเดินไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเล่นเอ็มวี นี่เรื่องใหญ่เลย จำได้งานแรกนี่ต้องเคี่ยวเข็นเหมือนกันกว่าจะผ่าน รู้สึกผิดกับตัวเองมากที่ทำได้ไม่ดี”
เคยคิดจะเลิกทำงานในวงการแล้วหันไปทำอย่างอื่นที่ถนัดกว่าไหม เราถาม “ไม่มีนะ ยอมรับว่างานในวงการยากหมดสำหรับเรา แต่เราไม่เคยคิดว่าเลิกเถอะ พอก่อน แค่คิดว่าอยากทำให้ดีขึ้น เรามองว่ามีงานเข้ามาก็ดีมากสำหรับเราแล้ว แสดงว่ายังมีคนเห็นว่าเราเหมาะ ยังเลือกเรา ดังนั้นเราก็อยากทำให้ดีที่สุดสมกับที่เขาคาดหวัง”
พระเอกหนุ่มย้ำอีกครั้งว่า “ไม่ท้อ”
เมื่อตั้งเป้าหมายว่าจะพัฒนาทักษะที่ขาด สิ่งแรกที่เขาต้องเอาชนะให้ได้คือความเขินอาย
“ต้องบอกเลยว่าอุปสรรคชีวิตของเราคือ เราเป็นคนเขินง่ายมาก กลัวสายตาที่จับจ้องมา กลัวการถือไมโครโฟน เชื่อรึเปล่าว่าถือไมค์แล้วมือสั่นเลย แรกๆ มีปัญหากับการออกงานอีเวนต์มาก เวลาไปคอนเสิร์ตทีวี 3 สัญจร เป็นบ้าเลยตอนนั้น คุมตัวเองไม่อยู่ เหงื่อแตกพลั่ก แล้วจะทำไงดี ก็ต้องฝึกให้ตัวเองชินกับสถานการณ์
“ฝึกอย่างไร ก็หัดถือขวดน้ำแทนไมค์ให้ชินมือบ้าง แล้วก็หาจุดที่สบาย หมายความว่าต่อให้เราถือไมค์อยู่เราก็ต้องรู้สึกสบาย ไม่ประหม่า ไม่รู้สึกว่าทุกคนมองฉันอยู่ เราอธิบายไม่ถูก มันคือการปรับความคิดความรู้สึกของเราเอง ฮึบ ให้สามารถทำได้ แต่ในใจก็ยังมีเขินอยู่ ”
ได้ไปเข้าคอร์สเรียนหรือขอคำแนะนำจากใครบ้างรึเปล่า เราถามเพิ่ม “ไม่ได้เข้าคอร์สเรียนอะไรเลย เราฝึกเอง แก้เองหมด อย่างเรื่องร้องเพลงก็เหมือนกัน เมื่อก่อนร้องเพลงไม่เป็นเลย ถ้าไปงานที่มีร้องเพลงก็ยอมรับว่าจำเป็นต้องลิปซิงค์ ซึ่งเราอึดอัดนะ จะพูดอะไรก็พูดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาเปิดไมค์แล้วรึยัง ถ้าเผลอพูดไปแล้วเสียงไม่ออกไมค์ คนก็รู้อีกว่าฉันลิปซิงค์ เลยมานั่งคิดว่าต้องหัดร้องเพลงแล้วละ ไม่ได้เพื่อเป็นนักร้อง เอาแค่ร้องได้ไม่น่าเกลียด พอดีมีพื้นฐานเล่นดนตรี เล่นกีตาร์อยู่แล้ว จึงพอแยกออกว่าเสียงไหนเพี้ยนหรือไม่เพี้ยน แล้วพี่สาวเรียนร้องเพลงมาด้วย ก็อาศัยถามเขา รวมทั้งเวลาที่ไปอัดเสียง ได้เจอพี่ๆ ที่คุมเสียงก็ถามเขาถึงวิธีการร้องแบบนี้เป็นยังไง เก็บความรู้จากตรงนั้นตรงนี้มาประกอบกันแล้วฝึกฝนเองมาเรื่อยๆ
“เรื่องการแสดงก็เหมือนกัน ไม่เคยเรียนการแสดงเลย อาศัยเก็บเกี่ยวจากการเวิร์คช็อปก่อนเปิดกล้องละคร แล้วกลับไปฝึกฝนเอง เราชอบนั่งดูผู้กำกับทำงานด้วย ช่วงที่ไม่ใช่ซีนของเราก็จะไปนั่งดูเพื่อศึกษาว่าเขาแสดงกันแบบไหน ผู้กำกับชอบยังไง แต่ถ้าเป็นฉากตัวเองไม่กล้าดูนะ (หัวเราะ) จริงๆ ควรมาดูแหละ แต่มันเขินตัวเองชะมัด ถ้าละครออนแอร์แล้วจะแอบๆ ดูผลงานตัวเอง ที่บอกว่าแอบคือ ต้องไม่มีใครดูกับเราด้วย ต้องดูคนเดียว ถ้ามีคนอยู่ด้วยเราจะเขิน”
พอใจผลงานของตัวเองแล้วรึยัง “พอใจ ทุกวันที่ไปเข้าฉาก เราก็ตั้งใจทำงานมากๆ เพราะเราทำได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต แรกๆ ยังงงว่าการแสดงคืออะไร เพิ่งมาเข้าใจเมื่อผ่านไปสองสามเรื่องแล้ว ใช้เวลาเหมือนกัน พอเราศึกษามากขึ้น เข้าใจมากขึ้นก็ชอบการแสดงนะ
“การแสดงให้กำไรชีวิตเราหลายอย่าง เช่น บทบาทต่างๆ ในละครไม่ใช่สิ่งที่จะประสบหรือเจอได้ในชีวิตประจำวัน ฉากแอ๊คชั่น เราจะไปเตะต่อยใครในชีวิตจริงได้ แถมเรายังได้วิชาหรือความรู้เพิ่มเติมที่จำเป็นเพื่อเข้าฉากการแสดง ได้ไปเรียน ไปเวิร์คช็อป ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ และค้นพบว่าตัวเราก็ทำได้นะ อีกทั้งยังได้มิตรภาพดีๆ ถึงบอกว่าการแสดงให้กำไรชีวิตเรามากเลย”
ด้วยความดังของละคร สุดแค้นแสนรัก น่าจะเป็นแรงผลักให้เพื่อนขึ้นไปเป็นพระเอกแถวหน้าได้ไม่ยาก ทว่าในช่วงเวลาที่กำลังขึ้นหม้อเพื่อนกลับห่างหายจากหน้าจอ แม้ชื่อเสียงจะไม่ได้ถดถอย แต่กระแสความแรงก็แผ่วลง
“ช่วงที่หายก็ไม่ได้ไปไหน ถ่ายละครอยู่ แล้วละครส่วนใหญ่ของเราออนแอร์วันศุกร์เสาร์อาทิตย์ เป็นเจ้าพ่อละครศุกร์เสาร์อาทิตย์ ด้วยความที่ออนแอร์สามวัน เลยจบไวมาก เรื่องอื่นที่ออนแอร์สองวันใช้เวลาเดือนครึ่งเกือบสองเดือนกว่าจะจบ แต่ของเราเต็มที่เดือนเดียว เลยเหมือนโผล่มาแป๊บเดียวแล้วก็หายจากหน้าจออีกแล้ว
“แม้ว่าละครเรื่องต่อๆ มาจะกระแสแรงไม่เท่า สุดแค้นแสนรัก ก็ไม่ได้ใจแป้วอะไร เข้าใจว่าเป็นธรรมดาที่กระแสเกิดขึ้นแล้วค่อยๆ หายไป เราแค่ตั้งใจทำงานของเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม ทุกวันนี้ยังมีคนเรียกยงยุทธอยู่เลย แต่ไม่ได้น้อยใจว่าทำไมจำเราได้จากละครเรื่องนั้นเรื่องเดียว กลับดีใจด้วยซ้ำที่ผ่านมาหลายปีแล้วคนยังจำกันได้อยู่”
เคยรู้สึกว่าอยากให้ช่วงเวลาอันโด่งดังนั้นกลับมาอีกครั้งไหม เราโยนคำถาม “เราว่านักแสดงทุกคนอยากให้ละครตัวเองกระแสดี ไม่มีใครอยากให้ผลงานตัวเองผ่านไปเฉยๆ ย่อมอยากให้มีคนพูดถึง ทุกเรื่องที่ผมเล่นผมก็หวัง แต่เราก็ได้แค่ทำหน้าที่ของเราเต็มที่ ทุกฉากทุกซีนที่เล่น พอสั่งคัท เราจะนั่งประมวลผลว่าทำออกมาดีแล้วรึยัง ถ้ายัง เราขอเขาถ่ายอีกครั้งเลยนะ ถึงผู้กำกับจะบอกว่าโอเคแล้วก็ตาม แต่ถ้าเรารู้สึกไม่โอเคก็ขอเล่นใหม่ เราอยากให้งานออกมาดีสมกับที่มีคนดูทั้งประเทศ”
สำหรับเพื่อน คำวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวมากนัก เพราะ “ผลงาน” จะเป็นสิ่งพิสูจน์ทุกคำครหา
“เราเคยโดนบอกว่า ‘ปากดำ’ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้คิดอะไรนะ ก็คนมันตัวดำจะปากชมพูฟรุ้งฟริ้งได้ยังไง เราไม่ได้ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ธรรมชาติเป็นแบบนี้จะให้ทำยังไง บ้างติว่าหน้าตาไม่หล่อเป็นนักแสดงได้ยังไง เราก็ไม่ได้เก็บมาโกรธ เราคงไม่ใช่แบบที่เขาชอบ เราคิดแค่ว่าทำงานให้เต็มที่ทุกวันไปเรื่อยๆ ถ้าผลงานออกมาดี ทุกอย่างก็จะดีเอง”
ประสบการณ์ในวงการบันเทิงได้ให้บทเรียนอะไรแก่เพื่อนบ้าง เราถามพระเอกหนุ่ม “เราได้คำสอนจากพี่คนหนึ่ง คือพี่ฟิวส์ ทีวีซีน (กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล) ผู้กำกับใต้เงาจันทร์ ซึ่งส่งผลให้เราพลิกตัวเองนับแต่นั้นเลย พี่ฟิวส์ถามว่า เพื่อนทำเต็มที่รึยัง เราตอบว่า เต็มที่แล้วครับ พี่ฟิวส์ก็พูดต่อว่า เพื่อน แต่ละฉากนั้นแสดงได้ครั้งเดียวในชีวิตนะ และผลงานของเรามีคนดูทั้งประเทศ ไม่มีใครมารีเมคละครให้เพื่อนเล่นฉากเดิมได้อีกนะ มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น แล้วถ้าละครเรื่องนี้ถูกเอาไปสร้างใหม่ คนที่แสดงบทเดียวกับเรามาดูเวอร์ชั่นที่เพื่อนเล่น เพื่อนอยากให้เขาเห็นเราแบบไหน พอคิดตามก็จริงของเขา ที่เคยคิดว่าเต็มที่แล้ว จริงๆ สามารถเต็มที่กว่านี้ได้อีก จาก 100% ก็เพิ่มเป็น 120% หรือเป็น 200% เพราะโอกาสมีแค่ครั้งเดียว
“หลังจากคิดได้ดังนั้นเราก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเลย จากความรู้สึกเหมือนมาฝึกงานมากกว่ามาทำงาน คนมาเรียกนักแสดง ขอทางให้นักแสดงหน่อย เราเขินกับคำเรียกนี้ ไม่รู้สึกว่าตัวเองคู่ควร จนพยายามปรับปรุงตัวเอง คิดว่าตอนนี้น่าจะใช้คำว่านักแสดงได้แล้วมั้ง (หัวเราะ)”
3 คำที่ เพื่อน-คณิน อธิบายถึงตัวตนของเขา
“ชิลล์” เพราะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ
“บวก” ค่อนข้างคิดบวกกับทุกเหตุการณ์
“ยิ้ม” เป็นคนยิ้มง่าย
เครดิตสถานที่ เพื่อน-คณิน
Akara Hotel Bangkok 372 ถนนศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทว จังหวัดกรุงเทพมหานคร Tel: 0 2248 10400 5511 www.akarahotel.com