กาสักอังก์ฆาต คือความท้าทายอย่างยิ่งของกิตติศักดิ์ คงคา กับนิยายแนวสืบสวนไขคดี ซึ่งแทบจะหาอ่านได้ยากยิ่งในประเทศไทย ด้วยเชื่อว่าเป็นแนวหนังสือขายยาก และไม่แน่ใจว่าผู้อ่านรุ่นหลังยังให้ความสนใจอยู่หรือไม่ ทว่าหนังสือเล่มนี้ก็สร้างปรากฏการณ์ไวรัล ติดอันดับหนังสือขายดี มีรีวิวกล่าวขวัญถึงจำนวนมาก แนะนำกันปากต่อปาก สำหรับ กิตติศักดิ์ คงคา ผู้มีผลงานเขียนแทบครบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี ร้อยกรอง ร้อยแก้ว หรือนิยายวายโดยใช้นามปากกาว่า ‘นายพินต้า’ รวมถึงหนังสือด้านการลงทุนในนาม ‘ลงทุนศาสตร์’ เขากวาดรางวัลมาหลากหลายเวที เช่น เซเว่นบุ๊คอวอร์ด, สพฐ, วรรณศิลป์อุชเชณี ทว่ากาสักอังก์ฆาตนั้นถือเป็นผลงานที่ทำให้เขาพบคำตอบของการเป็นนักเขียน และสัมผัสความสุขที่เขามองหามาโดยตลอด
ทำไมถึงสนใจเขียนแนวสืบสวนไขคดี
ชอบอ่านแนวสืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว และชอบอ่านงานคลาสสิกพวกฆาตกรรมในห้องปิดตาย ใครเป็นฆาตรกและใช้ทริกยังไง แต่ปัจจุบันนิติวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้น หลักฐานตรวจสอบง่าย ก็ไม่เอื้อกับกลคดีประเภทนี้ งานสืบสวนปัจจุบันจึงไม่ค่อยเห็นแนวนี้แล้ว ยิ่งเป็นงานไทยคือน้อยมาก ที่นึกออกก็กาหลมหรทึก ซึ่งผ่านมา 10 ปีแล้ว และส่วนมากสืบสวนไทยมักอิงประวัติศาสตร์ ดราม่า ความรัก ไม่ชูความเป็นนักสืบไขคดีเหมือนงานต่างประเทศอย่างคินดะอิจิ หรือโคนัน เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่อยากเขียนเพราะ 1.เราอยากอ่านงานสืบสวนที่เซตติ้งเป็นไทย เพราะเวลาเราอ่านงานต่างประเทศ กว่าจะจำชื่อตัวละคร ชื่อเมือง ชื่อเฉพาะได้ ก็ปาไปครึ่งเล่ม อยากให้ผู้อ่านสามารถใช้จินตนาการร่วมกับเนื้อเรื่องได้เต็มที่ 2.อยากเขียนงานสืบสวนคลาสสิกที่ใช้ทริกฆาตกรรมในห้องปิดตาย 3.อยากสร้างซีรีส์นักสืบที่เป็นของไทยเราเอง
ตอนที่ตัดสินใจเขียนเราไม่คาดหวังยอดขายเลย เพราะมองไปในตลาดไม่เห็นมีใครเขียนแนวนี้ เราเลยเข้าใจว่าไม่น่าขายได้ คิดซะว่าเป็นงานสนองแพชชันแล้วกัน ค่อยไปหวังเงินกับงานอื่นแทน พอไม่คาดหวังก็ปล่อยของเต็มที่ ใส่ห้องปิดตาย ใส่ความเป็นไทย ใส่กลภาษา เราไม่รู้ว่าจะได้เขียนแบบนี้อีกรึเปล่า เพราะคงขายไม่ดี กาสักอังก์ฆาตจึงอัดแน่นด้วยรายละเอียด เส้นเรื่องซ้อนกัน 7-8 เส้น ทั้งคดีหลัก คดีรอง
โอปปาติกะอำพราง ผลงานสืบสวนเล่มก่อนหน้าเป็นไอเดียที่ขยายสู่กาสักอังก์ฆาตด้วยรึเปล่า
เรามีไอเดียที่จะเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนมานานแล้ว ด้วยเหตุที่คิดว่าคงขายไม่ได้ เลยใส่ความเป็นนิยายวายผสมไปด้วย แต่ยังอยากเก็บตัวละครนักสืบซินแคลร์ไว้สำหรับแนวสืบสวนโดยเฉพาะ เลยให้ผู้ช่วยของนักสืบซินแคลร์เป็นตัวเอก พอกาสักอังก์ฆาตเลยกำหนดแนวทางให้ชัดเจนขึ้น จนสามารถพูดเต็มปากว่าเป็นแนวสืบสวนสอบสวน
วางแผนให้ตัวละครนักสืบซินแคลร์พัฒนาต่อเป็นนิยายชุดเลยไหม
ตั้งเป้าว่าจะเขียนปีละเล่ม ตอนแรกไม่มั่นใจว่าจะทำได้ขนาดนั้น แต่ระหว่างเขียนเราชอบมาก อ่านเองยังสนุกเลย กลางวันเราเขียน กลางคืนอ่าน ขนาดเราเขียนเองอ่านเองยังตื่นเต้นอยากอ่านตอนต่อไป เราค้นพบว่ามีความสุขจริงๆ กับการเขียนเรื่องนี้ เลยอยากเขียนสักปีละเล่มให้เป็นงานสำหรับชุบชูจิตใจ อาจไม่ต้องพิมพ์เยอะ สมมติพิมพ์ 1,000 เล่ม ขายได้ 500 เล่มก็ดีใจแล้ว ทว่าวันนี้กาสักอังก์ฆาตไปไกลเกินคาด ตอนนี้พิมพ์ซ้ำครั้งที่ 15 แล้ว
ทำไมถึงดีไซน์เรื่องให้เป็นการสืบคดีในวัด โดยนักสืบซินแคร์อยู่ในสถานะพระสงฆ์
เราคิดว่าหลักในการเขียนคือการสร้างภาพจำของเรื่องนั้นๆ พอพูดปุ๊บ แล้วนึกถึงภาพนั้นปั๊บ ถ้าพูดภาษาละครคือหน้าหนัง ถ้าเราดีไซน์ให้เป็นนักสืบไปสืบคดีเฉยๆ ก็ดูธรรมดา ถ้านึกถึงสืบสวนสไตล์ไทย ภาพแรกในหัวคือวัด ต้นโพธิ์ กุฏิ เมรุ เชื่อว่านักสืบของชาติอื่นไม่มีภาพนี้แน่ๆ อันที่จริงการให้นักสืบบวชเป็นพระทำให้เขียนยากกว่าปกติอีกนะ เพราะพระมีกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติ เราต้องคิดให้สิ่งเหล่านี้เอื้อต่อการเกิดคดีฆาตกรรมได้ด้วย ไม่อย่างนั้นคนอาจวิจารณ์ว่าจะใส่ความเป็นพระเข้ามาทำไม ต้องหาจุดที่พอดีให้เจอ
ระหว่างกลคดีกับกลภาษา อันไหนคือสิ่งที่คิดและเขียนยากกว่ากัน
กลคดีไม่ยากเท่ากลภาษา เรามีไอเดียของกลคดีจิปาถะจากการเป็นคอหนังสือสืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว แค่จะนำเสนอให้ว้าวยังไง ให้เป็นซิกเนเจอร์ของเล่ม แต่กลภาษาซึ่งเป็นกิมมิกของเรื่องนั้นยากมาก เราตั้งโจทย์ว่าต้องไม่เคยอยู่ในหนังสือสืบสวนสอบสวนเล่มอื่น พอค้นดูว่าภาษาไทยมีอะไรบ้าง หลักๆ คือโคลงกลบท ซึ่งกาหลมหรทึกใช้ไปแล้ว เราใช้เวลาคิดหลายอาทิตย์ทีเดียว จนวันที่คิดออกรู้สึกว่ารอดแล้ว ด้วยการประดิษฐ์ภาษาขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ยากจนอ่านไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็คิดคำที่จะนำกลภาษานี้มาใช้ ใช้เวลาเยอะนเในการทำ แต่กระแสตอบรับที่ได้มาค่อนข้างเชิงบวก มักพูดว่าสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ แม้แต่คนที่ไม่ชอบก็ยังวิจารณ์ว่า ไม่ชอบ ไม่อิน ยัดเยียดเกินไป แต่รับรู้ถึงความตั้งใจของคนเขียน ไม่มีใครพูดว่าทำงานชุ่ยๆ หนังสือดูพื้นๆ
ใช้เวลาในการเขียนนานแค่ไหน
ลงมือเขียนไม่นาน 2 สัปดาห์ก็เสร็จแล้ว ยิ่งเขียนยิ่งสนุก แต่กว่าจะคิดทุกองค์ประกอบจนเสร็จสมบูรณ์ ใช้เวลาประมาณหนึ่งปีครับ
มีช่วงที่ท้อแท้จนอยากล้มเลิกโปรเจ็กต์ไหม
แน่นอนว่าช่วงเวลาคิดองค์ประกอบทั้งหมดนั้นยาก เพราะเราตอบชัดๆ ไม่ได้ว่ากำลังมองหาอะไร สมมติถ้าเขียนงานสารคดี เรายังมีหัวข้อกำหนดขอบเขต แต่นี่เรารู้แค่กำลังมองหากลภาษา กลคดี แล้วยังไงต่อล่ะ ต้องนั่งอ่าน นั่งดูไปเรื่อยๆ แต่เราถือคติว่าตัวเองเป็นนักเขียนที่ห่วย ไม่ต้องคาดหวังกับเรา เราเป็นแค่คนธรรมดา ทดลอง ผิดพลาด เรียนรู้ มีรีวิวอันหนึ่งชอบมากคือ ก็เป็นหนังสือนักสืบธรรมดาเล่มหนึ่ง ใช่ มันเป็นอย่างนั้น แค่อยากเขียนหนังสือนักสืบที่อ่านสนุกแค่นั้น
ในเมื่อเล่มนี้เราใส่สุดและสร้างมาตรฐานงานไว้สูงแล้ว จะเป็นอุปสรรคให้เล่มหน้าทำงานยากขึ้นไหม
พูดตามตรงก็สร้างมาตรฐานไว้สูงจริงๆ นั่นแหละ แต่โชคดีที่เล่มต่อไปรอดแล้ว พอจบกาสักอังก์ฆาตเราก็เริ่มเตรียมงานสำหรับเล่มถัดไปเลย องค์ประกอบต่างๆ คิดออกหมดแล้ว และยังมีของให้ใช้ไปอีก 3-4 เล่ม แต่ถ้าในอนาคตเข็นต่อไม่ไหวก็คือไม่ไหว ได้แค่ไหนแค่นั้น
สารที่อยากสื่อในกาสักอังก์ฆาต
ไม่มีใครสมควรโดนทำลายความหวังอย่างสิ้นซาก ต่อให้เขาเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ผมเข้าใจว่ามีคนที่อาจรู้สึกว่าเลวร้ายมาก ทว่าเส้นแบ่ง ดี-เลว ซึ่งเรายึดไว้นั้นถูกต้องจริงรึเปล่า สุดท้ายมันคือเรื่องมนุษธรรมสัมพันธ์ที่เราจะไม่ทำลายความหวังของคนอื่น ผมถ่ายทอดผ่านนักสืบซินแคลร์ ตอนต้นเขาสืบคดีโดยไม่คำนึงถึงสิ่งนี้ แต่แล้วก็พบว่า มนุษย์ทุกคนมีความหวังบางอย่างที่จำเป็นต้องรักษาไว้
ทำงานหลายด้าน คุณแบ่งความสำคัญของงานแต่ละอย่างไว้ยังไง
เมื่อ 1-2 ปีก่อน งานเขียนผมให้น้ำหนักมากถึง 70-80% ของชีวิต แล้วงานอื่นๆ อีก 4-5 อย่างอยู่ที่ 20% เพราะเราเร่งรัดตัวเอง เราอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ เมื่อไหร่จะได้สักทีวะ ต้องเร่งอีก ทำอีก เหมือนอยากถูกหวย วิธีที่ง่ายที่สุดคือซื้อหวยให้เยอะสิ มันต้องมีถูกบ้างแหละ จนกาสักอังก์ฆาตประสบความสำเร็จ เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องซื้อหวยเยอะๆ แล้ว กลับกัน พอวันนี้คนกลับไปตามอ่านงานเก่าๆ สมัยเพิ่งหัดเขียน ซึ่งเรายังเขียนไม่ดีเลย กลายเป็นข้อคิดเตือนใจ อย่าผลิตงานสุกเอาเผากิน ถ้าทำเน้นปริมาณจะเป็นผลเสียทีหลัง ตอนนี้เลยตั้งเป้าออกผลงานปีละ 3-4 เล่ม ให้เป็นเล่มที่ดีที่สุด ให้เวลาในการตกผลึกมากขึ้น เมื่อก่อนเรามีไอเดีย 10 อย่าง ก็เขียน 10 เล่ม แต่ตอนนี้ต้องกลั่นกรองไอเดียทั้ง 10 ลงในหนังสือ 4 เล่มให้ได้ สัดส่วนงานเขียนปัจจุบันคือ 20% ส่วนเวลาที่เหลือทำงานอย่างอื่นแทน
หลังจากนี้มีเป้าหมายอะไรที่อยากโฟกัสอีก
อยากโฟกัสเรื่องทำการตลาดหนังสือ คนในวงการหนังสือมักไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่การตลาด ทั้งที่สำคัญมาก อย่างกาสักอังก์ฆาตได้รับความนิยมขนาดนี้เพราะได้กระแสในโลกออนไลน์ เล่มนี้ผมทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์หนังสือเยอะ เราส่งหนังสือให้ทุกคนที่เสิร์ชเจอ ส่งไปเป็น 100 เล่ม เพราะเราเชื่อว่าถ้าเขาได้อ่านน่าจะชอบ และความรู้ที่ได้จากกาสักอังก์ฆาตนำไปต่อยอดเล่มถัดไป เราจะทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำขึ้น ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และเราอยากสนับสนุนคนที่ทำงานเป็นอินฟลูเอนเซอร์หนังสือด้วย เขามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดนี้ ทว่ารายได้หรืองบประมาณสำหรับเขาดูน้อยจัง
จากที่คุณเคยเล่าว่าเริ่มต้นเขียนหนังสือเพื่อรักษาอาการโรคซึมเศร้า จนถึงวันนี้เหตุผลของการเขียนหนังสือเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร
เดิมที่ผมเคยยึดติดรางวัล ทั้งที่กวาดมาหลายเวที แต่ยังอยากได้อีก ทำไมเราโหยหาขนาดนั้นนะ เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราได้รางวัล งานเราดี คนจะอ่านงานเราแน่เลย ทว่ารางวัลกลับไม่ได้หนุนนำเราไปถึงจุดนั้น จนกระทั่งกาสักอังก์ฆาตได้ปลดพันธนาการทุกอย่าง ถามว่าผลงานนี้ได้รางวัลไหม ได้ แต่ไม่มีคนสนใจรางวัลเลย ทุกคนอ่านเพราะหนังสือสนุก ผลงานชิ้นนี้ทำให้เราตระหนักถึงความเป็นนักเขียนอย่างแท้จริง งานมหกรรมหนังสือที่ผ่านมามีคนขอลายเซ็นเกือบ 300 คน เจอคนที่คอร์ตแบดอ่านกาสักฯ เจอเพื่อนสมัยเรียนทักมาถามว่าเราคือคนเขียนเหรอ หนังสืออยู่ในชาร์ตขายดีเกือบปี และกระตุ้นให้คนกลับไปอ่านงานเก่าๆ ของเราที่ไม่เคยขายได้เลย เราค้นพบว่านักเขียนต้องการแค่นี้แหละ แค่ผลิตผลงานแล้วมีคนอ่าน มีคนรอคอย ชื่นชอบก็พอ แม้จะชนะรางวัลอันดับหนึ่งแต่ไม่มีคนอ่าน ก็ไม่มีความสุข ตอนนี้เราไม่ตั้งคำถามอะไรอีกเลย เราเจอจุดยืนของเราแล้ว และรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่านี่แหละคือการเป็นนักเขียน
ยังจะส่งประกวดอีกไหม
คงส่งแหละ แต่ผมคงเขียนในแนวทางที่ถนัด ไม่พยายามเขียนแนวที่ไม่ใช่ตัวเองเพื่อหวังให้ได้รางวัลอีก ผมพูดกับทุกคนเลยว่า ถ้ากาสักฯ ไม่ได้รางวัล ก็คงยากที่ผมจะหวังมากไปกว่านี้แล้ว เพราะผลงานนี้คือสุดความสามารถของเรา ผมชอบงานเขียนพล็อตเบส เน้นโครงสร้าง แต่งานประกวดเขานิยมแคแรกเตอร์เบส โครงเรื่องไม่เยอะแต่ซับซ้อนทางอารมณ์ ถ้ากรรมการไม่ซื้อ ก็คงไม่ซื้อนั่นแหละ
ผลงานเรื่องโปรด
ก็ต้องเป็นกาสักอังก์ฆาตนี่แหละ สำหรับผมไม่ใช่แค่ผลงานรักที่สุด แต่เป็นผลงานที่เปลี่ยนชีวิตทีเดียว ผมทำงานหลายอย่าง รู้เลยว่าสิ่งไหนที่เปลี่ยนชีวิตเราจริงๆ สิ่งไหนที่ทำให้รู้สึกสำเร็จกับเส้นทางนั้น อย่างผมเป็นนักลงทุนด้วย จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนที่ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นนักลงทุนที่แท้จริงแล้ว กาสักอังก์ฆาตก็เป็นอย่างนั้น และผมเชื่อว่าไม่มีงานไหนสร้างปรากฏการณ์ได้เท่านี้แล้ว ในมุมนักอ่านนะ เล่มนี้คือภาพจำ คือความประทับใจแรกที่มีต่อเรา
ตัวละครที่ชอบเขียน
เวลาที่เขียนเรื่องของนักสืบซินแคลร์ จะชอบตัวละครสารวัตรเดเมียน แต่เวลาที่เขียนสารวัตรเดเมียน จะชอบนักสืบซินแคลร์ ตัวละครทั้งสองนี้สลับกันเป็นตัวหลักและคนซัปพอร์ต ซึ่งช่วยให้เรื่องกลมกล่อม คนชอบพูดว่า เมื่อไหร่ที่เขาอยู่ด้วยกันจะรู้สึกสบายใจ ไม่มีอันตราย แต่ถ้าเป็นฉากที่มีแค่คนใดคนหนึ่ง จะรู้สึกกังวล เขาเป็นเหมือน emotional support ของทั้งคนเขียนและคนอ่าน
คอลัมน์ ถนนวรรณกรรม