มนุษยชาติเป็นสัตว์สังคม แม้ว่าจะมีรากเหง้าชาติพันธุ์เดียวกันแต่เมื่อดำรงชีวิตร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่ มีผู้ปกครอง ผู้นำ ก็จำเป็นต้องกำหนดกฎระเบียบเป็นเครื่องควบคุมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและทิศทางที่สังคมนั้นๆ จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเครื่องควบคุมที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งคือตัวบทกฎหมาย
กฎหมายของชนแต่ละกลุ่มแต่ละชาติก่อร่างขึ้นตามพื้นฐานทางวัฒนธรรมของตนและมีการปรับปรุงพัฒนามาโดยลำดับ กฎหมายของชาติที่เจริญแล้วมุ่งเน้นความยุติธรรมและความเท่าเทียม ซึ่งนั่นเป็นเพียงตัวบท แต่ปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์เป็นไปตามเป้าประสงค์คือ ตุลาการและผู้พิพากษาผู้ที่ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินคดีความ
ก็เมื่อผู้ใช้กฎหมายยังเป็นมนุษย์ปุถุชน เวียนวนอยู่ในกระแสแห่งโลภะ โทสะ และโมหะ กอปรด้วยอคติ 4 คือ ฉันทาคติ ภยาคติ โทสาคติ โมหาคติ ทำให้การตัดสินพิจารณาคดีบางคดีเป็นไปอย่างไม่สุจริตไม่ยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมจึงต้องเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ฎีกาเพื่อทบทวนการตัดสิน
ในสมัยกรุงสุโขทัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเปิดโอกาสให้ราษฎรที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “ถวายฎีกา” เพื่อทรงพิจารณาคดีด้วยพระองค์เอง ดังความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า
ปากประตูมีกระดึงอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจะกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดึงอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยิน เรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้วยซื่อ
สมัยโบราณหากราษฎรรายใดไม่ได้รับความเป็นธรรมก็มีสิทธิถวายฎีกาต่อพระเจ้าแผ่นดิน แต่การที่จะถวายฎีกาให้ถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านกระบวนการตามลำดับขั้น พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงทรงลดขั้นตอนดังที่กล่าวในศิลาจารึก สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ราษฎรที่เดือดร้อนประสงค์จะถวายฎีกาตีกลอง “วินิจฉัยเภรี” ที่ตั้งไว้บริเวณทิมดาบกรมวัง ในพระบรมมหาราชวัง
กลองวินิจฉัยเภรี นั้นเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ผู้ว่าการโกษาธิบดีได้ไม้รักขนาดใหญ่มาจากเมืองจันทบุรี ทำเป็นหุ่นกลอง ขึ้นหน้าด้วยหนังกระบือเผือก นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อพุทธศักราช 2380 โปรดฯ ให้คลุมด้านบนด้วยผ้าอัตลัด ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้ ให้เชิญไปไว้ที่ทิมดาบกรมวัง กั้นเศวตฉัตร 3 ชั้น สำหรับราษฎรตีร้องทุกข์ถวายฎีกา พระราชทานนามว่า “กลองวินิจฉัยเภรี” อันหมายถึงกลองสำหรับการวินิจฉัยพิจารณาคดี โปรดฯ ให้ตั้งพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยเทวดาผู้รักษากลองปีละ 2 ครั้ง ในวันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา คือ วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 5 และวันแรม 13 ค่ำ เดือน 10 ประกาศโองการบวงสรวงสังเวยครั้งนั้นแต่งเป็นคำฉันท์ ฝีพระโอษฐ์กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส รัตนกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์และพระยาบำเรอบริรักษ์ คำฉันท์บวงสรวงสังเวยดังกล่าว นอกจากจะเป็นการอัญเชิญเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาพิทักษ์รักษากลองวินิจฉัยเภรีและความยุติธรรมแล้ว ยังอธิบายถึงกระบวนการยุติธรรมในสมัยโบราณ และกล่าวถึงเล่ห์กระเท่ห์ฉ้อฉลของตุลาการหลากหลายรูปแบบ
นั่นเป็นพฤติการณ์ของตุลาการชั่วร้ายครั้งโบราณ ซึ่งท่านเปรียบเหมือน “ม้าสองปาก” รับผลประโยชน์ทั้งฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลย ในลิลิตพระลอท่านจึงสอนคนที่จะเป็นผู้นำว่า “อย่าล่ามม้าสองปาก” คือไม่ให้ผู้ปกครองอุปถัมภ์ตุลาการชั่ว คำฉันท์สังเวยกลองวินิจฉัยเภรียังสาปแช่งตุลาการอยุติธรรมให้ประสบภัยพิบัติต่างๆ
จงเทพดาผลาญ | ตระลาการที่โกลำ | |
ฆ้อนเหล็กประหารปรำ | ศิรให้ทำลายขจาย | |
แสงสายอสนีบาต | จงพิฆาตคะมำหงาย | |
สามวันมิทันตาย | ก็เจ็ดวันประจักษตา |
ตอนสุดท้ายของคำฉันท์บอกให้ตุลาการทั้งหลายพึงสังวรระวังยำเกรงความศักดิ์สิทธิ์ของกลองวินิจฉัยเภรี ไม่โลภทุจริต และตัดสินคดีอย่างสุจริตยุติธรรม
เสนาตระลาการ | จะพิจารณ์ก็ตฤกตรง | |
มล้างโลภลดลง | ประหยัดตัวด้วยกลัวกลอง |
วันนี้ วินิจฉัยเภรี กลองศักดิ์สิทธิ์แห่งกระบวนการยุติธรรมยังเก็บรักษาไว้ในความดูแลของกรมศิลปากร ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
คอลัมน์: ตะลุยแดนวรรณคดี
เรื่อง: บุญเตือน ศรีวรพจน์
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์