ชื่อของ ‘แจม’ รชตะ เริ่มเป็นที่รู้จักจากละครคุณชาย ด้วยมาดเข้มๆ แมนๆ แต่กร้าวใจเหลือหลาย ทว่ากว่ามาถึงวันที่ชื่อและหน้าของเขาติดตรึงใจผู้ชม แจมก็ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองจากการเป็นตัวประกอบมาไม่น้อย เมื่อเทียบกับนักแสดงที่ดังตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ อาจถือได้ว่าแจมมาช้ากว่าคนอื่น เพราะเริ่มมีชื่อเสียงก็อายุ 27-28 ปีแล้ว แต่ใครเป็นคนกำหนดเกณฑ์ช้าหรือเร็วนั้นกันล่ะ เพราะหากยังไม่ยอมแพ้ก็ไม่มีคำว่าสายเกินไป แจมอาจเป็นเสมือนไวน์ที่ต้องบ่มให้นานจนรสวันกลมกล่อม แต่พอบ่มได้ที่ ออร่าของเขาก็เตะตาผู้ชมจนไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้หลงรัก 1. “ผมเป็นคนง่ายๆ ไม่ตั้งกติกากับชีวิต เราวางแผนระยะยาว ปล่อยให้ชีวิตในแต่ละวันลื่นไหลอย่างอิสระ ถ้าไปเที่ยวก็ไม่วางแผน อะไรจะเกิดก็เกิด เป็นเสน่ห์ของชีวิต บางครั้งผมขับรถไปถึงที่หมายแล้วแต่ไม่ลงรถ แค่ได้ขับไปถึงก็พอใจ เพราะหมุดหมายไม่ใช่สาระสำคัญ การเดินทางเริ่มต้นแต่วินาทีที่ล้อหมุนแล้ว” แจมอธิบายตัวตนของเขาก่อนจะเปิดฉากเล่าถึงภูมิหลังในวัยเด็ก “ผมอาศัยอยู่กับปู่และย่าที่จังหวัดอุดรธานี พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเล็ก ผมจึงเรียกย่าว่าแม่แทน ตอนเด็กไม่เข้าใจลำดับการเรียกปู่ย่าตายาย คิดว่าเป็นแค่คำเรียกคนมีอายุ เลยไม่รู้ว่าเราไม่มีตากับยายนะ จนอายุ 9-10 ขวบ เริ่มสงสัย คนอื่นมีแม่ไปโรงเรียน แล้วทำไมเราไม่มี ก็เสียใจตามประสาเด็กอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอเวลาผ่านไป ก็เข้าใจเหตุผลของครอบครัวมากขึ้น “ครอบครัวผมค่อนข้างเลี้ยงอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะปู่เป็นคนที่ดุ ตีเลย กลับบ้านค่ำก็ตี เลี้ยงเราให้อยู่ในระเบียบวินัย แต่เราก็แอบหนีไปเล่นบ้าง แอบไปเล่นน้ำคลองจนว่ายน้ำเป็นโดยไม่ต้องเรียน พอเรามาเป็นครูบ้างจึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเคี่ยวเข็ญเรานัก ปู่มักพูดเสมอว่า วันหน้าถ้าเขาตายไป ผมจะต้องนึกถึงคำที่เขาสอน และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คำสอนที่ผมจำได้จนวันนี้คือให้มีสติ เวลาจะออกจากบ้านปู่ก็มักบอกให้เรามีสติ คือการระลึกได้ รู้ว่ากำลังเดิน กำลังขับรถ คนมักขาดสติจึงเกิดอุบัติเหตุ และเป็นอันตรายแก่ชีวิตเราเอง เมื่อก่อนผมเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่พอโตขึ้นก็คิดได้ จะเดือดไปทำไม ทำไปแล้วได้อะไร สุดท้ายก็แตกหักกันเท่านั้น “ด้วยความที่ปู่และพ่อเป็นตำรวจ ความฝันตั้งแต่เด็กของผมคือตำรวจเหมือนกัน อยากใส่เครื่องแบบเท่ๆ อยู่หน่วยคอมมานโด ลุยๆ เลยมุ่งมั่นกับเส้นทางนี้ แต่ก็เลือกเข้าเรียนมหา’ลัยก่อน เพราะอยากใช้ชีวิตในรั้วมหา’ลัยบ้าง เราดูละครน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ก็อยากสัมผัสชีวิตนักศึกษา กะว่าเรียนสักปีสองปีค่อยไปสอบเข้าตำรวจ เรามีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว เลยเลือกคณะที่น่าจะเรียนได้ก็พอ ผมเล่นกีตาร์ตั้งแต่ ม.2 พ่อเล่นเป็นเลยเล่นกรอกหูตั้งแต่เด็ก เราก็ฝึกไว้จีบสาวตามประสาเด็ก (หัวเราะ) เลยเลือกเรียนเป็นครูดนตรีแล้วกัน “จากนั้นผมก็สอบตำรวจ สอบทุกสนาม ในที่สุดก็ติด ทีนี้พ่อเดินมาถามว่า แน่ใจเหรอ เอาจริงๆ ใช่ไหม เพราะพ่อไม่อยากให้ผมเป็นตำรวจ งานหนักตากแดดตากลม ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ปีหนึ่งผมเจอพ่อแค่ 2 ครั้ง เขาเลยอยากให้เราทำงานที่สบายกว่า ผมจึงทบทวนอีกครั้ง ตัดสินใจไม่เป็นแล้วตำรวจ มองหาอาชีพอื่นที่รายได้ดีกว่า คราวนี้เบนเข็มมาสอบบรรจุข้าราชการครูแทน ถามว่าเสียดายไหมที่ทิ้งความฝัน เสียดายครับ เพราะเราตั้งเป้าตั้งแต่เด็ก แต่ก็พอใจกับการตัดสินใจ” 2. จากเส้นทางข้าราชการ ชะตาของแจมก็เริ่มหักเหสู่วงการบันเทิง “ผมตั้งใจสอบบรรจุครู เลยเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสอบภาษาอังกฤษสำหรับยื่นบรรจุ เราไม่ถนัดภาษาอังกฤษก็สอบไม่ผ่านสักทีจนเงินหมด ผมจึงทักไปหาเพื่อนที่เป็นนายแบบว่าพอจะมีงานให้ทำไหม สมัยที่เรียนมหา’ลัยเราก็หารายได้เสริมนานๆ ครั้งด้วยการเดินแบบ ถ่ายแบบเสื้อผ้าบ้าง เพื่อนก็หางานให้ เป็นตัวประกอบเดินผ่านกล้องสร้างบรรยากาศ ได้ 400-500 บาท แค่ค่าเดินทางก็หมดแล้ว เราอยากได้งานที่มีค่าตอบแทนมากกว่านี้ เขาก็บอกว่าเราต้องมีผลงานให้เห็นก่อน ผมเลยทำไปเรื่อยจากค่าตัว 400 เป็น 800 เป็น 3,000 เป็น 10,000 บาท ทว่าพอถ่ายโฆษณาไปสักพักแบรนด์เริ่มไม่จ้างเราแล้วเพราะหน้าเราซ้ำ ผมก็พยายามเปลี่ยนลู่ทางจากโฆษณาเป็นละครบ้าง ระหว่างรอสอบบรรจุครูผมก็หารายได้จากการเป็นนักแสดงประกอบไป จนกระทั่งสอบติดได้บรรจุ ฝันเป็นจริงแล้ว คงเลิกงานวงการบันเทิงแล้วละ ปรากฏว่าพี่ ‘บอย’ ถกลเกียรติ วีระวรรณ เห็นผมจากรายการรู้ไหมใครโสด เลยให้ผู้จัดการของผมติดต่อเรียกไปคุยที่ช่อง ผมก็ไปแต่ไม่ได้คาดหวังอะไร คนหน้าตาดีกว่าเราก็มี เขาถามผมว่าถ้ามีละครจะลางานมาทำได้ไหม ผมตอบไปว่าคงลาออกเลยครับ แล้วเขาก็โทร.มาตอนค่ำ บอกยินดีด้วย ได้เซ็นสัญญากับช่อง One แล้วนะ เฮ้ย จริงเหรอ ได้เป็นนักแสดงแล้วเหรอเนี่ย ผมก็ทิ้งการเป็นครูเลยครับ “ณ ตอนนั้นผมไม่มั่นใจสักทาง เป็นครูก็ไม่แน่ใจว่าจะก้าวหน้าไหม ใช้เวลากี่ปีกว่าเงินเดือนจะถึงห้า-หกหมื่น ส่วนวงการบันเทิงเราก็ไม่แน่ใจว่าจะมั่นคงจริงไหม แต่ผมจำคำพี่บอยได้ว่า ‘โอกาส พรสวรรค์ พรแสวง’ พี่บอยให้โอกาส เรามีพรสวรรค์ เหลือแค่พรแสวงที่เราต้องเรียนรู้เอง เขาส่งผมเรียนอะไรก็ตั้งใจเต็มร้อย ไปให้สุดสักตั้งต้องมีสักวันแหละ จนได้มาเล่นละครเวลากามเทพ พี่บอยคงเห็นแววเลยส่งให้ไปออดิชันบท ‘จิว’ ในคุณชาย เรื่องนี้เป็นครั้งแรกของช่อง One ที่ทำละคร LGBTQ+ และฟอร์มใหญ่ด้วย โชคร้ายที่เจอโควิด-19 เลยใช้เวลาถ่ายทำนาน แต่ผมก็มีเวลาเรียนรู้การทำงาน และทำความเข้าใจกับบทอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพไหนความรักก็คือความรัก ความโกรธก็คือความโกรธ เหมือนกันทุกคน 3. การร่วมงานกับ ‘ฟิล์ม’ ธนภัทร ที่มีประสบการณ์ในวงการมากกว่า ทำให้แจมได้เรียนรู้หลายอย่าง แม้บุคลิกของสองหนุ่มจะต่างกัน แต่ก็เป็นการผสานความต่างอย่างลงตัว “ผมกับพี่ฟิล์มนิสัยไม่เหมือนกันเลย พี่ฟิล์มเป็นคนมีระเบียบ ผมเป็นคนชิลล์ๆ ต่างคนต่างมีโลกส่วนตัว พี่เขาทำงานมาก่อนก็ช่วยแนะนำ มีความเป็นครูสูง พี่ฟิล์มแนะนำเรื่องการให้ความสำคัญแก่คนรอบข้าง เมื่อเราอยู่เบื้องหน้า ผู้คนจับจ้องและเห็นเราชัด จากเต็มร้อยต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ไม่ใช่เปลี่ยนตัวเอง แต่รอบคอบขึ้น “แม้เราจะมีชื่อเสียงแต่ผมยังเป็นคนเดิม เพื่อนที่เคยทำงาน extra ด้วยกันไม่กล้าทักเรา ไม่กล้าขอถ่ายรูป กลัวเราดังแล้วเปลี่ยนไป แต่ผมเหมือนเดิม ยังเข้าไปถามไถ่สบายดีไหม นักแสดงหลักอาจจะแบกรับความกดดัน แต่ extra เขาเหนื่อยในแง่การใช้ชีวิต ค่าแรงหักลบค่าใช้จ่ายแล้วเหลือไม่มาก เขาเลยลำบากกว่าเราเยอะ” คาดหวังว่าความโด่งดังนี้จะนำเราไปถึงจุดไหน เราถามนักแสดงหนุ่ม “อยากให้คนจดจำบทบาทที่เราเล่น ไม่ว่าเราจะสวมบทไหนก็อยากให้คนดูเชื่อในตัวละครนั้น อยากลองเล่นภาพยนตร์ดูสักครั้งด้วย” แม้อนาคตในวงการกำลังสดใส แต่นักแสดงหนุ่มกลับไม่คาดหวังว่านี่จะเป็นอาชีพสุดท้ายของตน “ผมอยากเปิดโรงเรียนสอนดนตรี ถ้ามีทุนทรัพย์พอก็อยากทำ เรียนมาตั้งนาน อยากถ่ายทอดความรู้ที่มี หรือถ้าไม่ได้เปิดเป็นโรงเรียนก็เป็นวิทยากร ทำธุรกิจก็สนใจ มีหลายอย่างที่อยากทำ” 4. โอกาส ความพยายาม โชคชะตา แจมมีมุมมองต่อสามคำนี้ว่า “โอกาสมีเข้ามาเสมอ แต่สุดท้ายก็เป็นของเรื่องจังหวะและโชคชะตา มันมีจริงๆ ที่โอกาสเข้ามาและเราพยายามแล้วแต่ก็ไม่ได้สักที ผมมองว่าเมื่อไหร่ที่โอกาส ความพยายาม และโชคชะตามาบรรจบกัน วันนั้นคือวันของคุณ อย่างไรก็ดี ต่อให้ยังไม่ถึงวันนั้นก็อย่าหยุดพยายาม อย่าปัดโอกาส ลองก่อน ถ้าไม่ได้ก็โทษดวงไป อย่าเก็บไว้โทษตัวเอง ให้เป็นเรื่องของดวงปลอบใจเรา” สิ่งที่นักแสดงหนุ่มให้ความสำคัญ และอยากขอบคุณ คือ “หนึ่งครอบครัว ที่เลี้ยงดูปลูกฝังจนเราเติบโตมาเป็นแบบนี้ สองตัวเอง ที่ไม่ยอมแพ้ ทำงานต่างๆ อย่างไม่ย่อท้อ อย่าไปคิดว่าเหนื่อย เพราะคนเหนื่อยกว่าเรามีมากมาย เรายังมีสิ่งที่ทำได้ก็ทำต่อไปสิวะ ทุกคนโตมามีความสามารถกันหมด แค่ต้องเอาไปใช้ให้ถูกที่ สามขอบคุณทุกคนในชีวิตที่ช่วยซัพพอร์ตเรา พี่ๆ ผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสในการทำงาน ถ้าไม่มีพวกคุณ ผมมาได้ไม่ไกลขนาดนี้ และขอบคุณแฟนคลับที่สนับสนุนเสมอ” ในยามชีวิตเจออุปสรรค นักแสดงหนุ่มรับมือด้วยการยอมรับความทุกข์อย่างตรงไปตรงมา “ผมยอมรับเลย ในเมื่อมันทุกข์ ก็ไปดูเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ตรงนั้น ซึ่งส่วนมากก็เกิดเพราะตัวเรา เราเอาใจเราไปทุกข์ สมัยเรียนเวลาเครียดๆ ผมไปนั่งเล่นที่สนามบิน นั่งมองคนเดินผ่านไปมา เขาใช้ชีวิตกันยังไงวะ พอเราไม่หมกมุ่นกับตัวเองก็ดึงสติกลับมาได้ หรือไม่ก็เล่นดนตรี ทำนั่นทำนี่ไป ไม่ใช่จมจ่อมกับความทุกข์” บทเรียนจากการทำงานที่แจมได้สั่งสมไว้และถ่ายทอดให้เราฟัง “ข้อแรกคือการเรียนรู้เรื่องคน การทำงานร่วมกับคนมันยากนะ แต่ละคนผ่านชีวิตไม่เหมือนกัน โตมาคนละแบบ คิดก็ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับการสอนเด็ก 100 คนจะสอนแบบเดียวกันไม่ได้ จึงต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ข้อที่สองคือการให้ พี่ฟิล์มสอนไว้เรื่องการให้มีค่ามากกว่าการรับ สมมติผมทำงานได้ค่าตัวหนึ่งแสน ผมดีใจ มีความสุข แล้วก็จบ แต่พอผมทำโพรเจกต์วันเกิด ได้มอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนเกือบหนึ่งล้านบาท นั่นกลับกลายเป็นความปลื้มใจตรึงตราในความทรงจำเราไปอีกนาน อย่างที่สาม เรียนรู้วัฏจักรชีวิต สุดท้ายสิ่งที่เราได้ในวันนี้จะค่อยๆ ลดลงและหายไป ชื่อเสียงก็เช่นกัน สักวันก็ต้องหายไปตามกาลเวลา หรือต่อให้ผมไปเปิดโรงเรียน ก็ต้องมีช่วงที่บูมและช่วงซบเซาเหมือนกัน” ปี 2566 นักแสดงหนุ่มให้คำนิยามว่า เป็นปีแห่งการต่อยอด “อยากจะต่อยอดเรื่องงานจากความสำเร็จที่ได้ในละครคุณชาย อยากทำให้แฟนคลับที่รอชมไม่ผิดหวังกับการแสดงของเรา อยากเต็มที่กับผลงานในปีนี้ ไม่จำกัดแค่ละครเท่านั้น ทั้งคอนเสิร์ตและอีเวนต์ ทุกโอกาสที่ผู้ใหญ่มอบให้อยากทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอนาคตที่ไกลกว่านั้น อยากมีรถ มีบ้าน เผื่อวันไหนย่ามาหาก็อยู่ด้วยกันได้ อยากลองกินของอร่อยๆ ที่คนอื่นเขากิน อยากไปเที่ยวในที่ซึ่งก่อนหน้านี้คิดแล้วคิดอีกจะไปดีไหม ตอนนี้พอมีรายได้ก็อยากไป แต่สำคัญคือจะไม่ใหลได้ปลื้มจนลืมตัว” สิ่งที่นักแสดงหนุ่มอยากบอกทิ้งท้ายในวันที่สำเร็จไปอีกขั้น “อยากให้ทุกคนเชื่อในความพยายามตัวเอง ความตั้งใจจริงของเรา เดินไปให้สุด แต่ถ้าสุดแล้วยังไม่ได้ ก็เปลี่ยนทิศทางชีวิตเลย สมัยนี้มีทางออกมากมาย” โรงแรม Oakwood Suites Bangkok ที่อยู่ : 20 ซอยสุขุมวิท 24 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 เบอร์โทรศัพท์ : 02-059 2888 Email : reservations.suites-bangkok@oakwood.com
คอลัมน์: เรื่องจากปก เรื่อง: ภิญญ์สินี ภาพ: อนุชา ศรีกรการ