จุดสมดุลระหว่างคุณค่ากับการเติบโต

-

จุดสมดุลระหว่างคุณค่ากับการเติบโต

Businessman with growth chart of profits.

ปัจจุบันปรัชญาการลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Investment) เดินทางมาไกลมาก และสองเสาหลักอย่างการลงทุนเน้นคุณค่าและการลงทุนเน้นเติบโตก็มีความหมายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนับจากวันแรกเช่นกัน นักลงทุนบางกลุ่มพยายามนิยามปรัชญาเหล่านี้เสียใหม่ให้ทันสมัย สร้างดัชนี แนวคิด หรือโครงสร้างภาพใหญ่ขึ้นมาตีกรอบลักษณะ แต่โดยภาพรวมปรัชญาทั้งสองสะท้อนภาพสำคัญที่แตกต่างจากอดีตไม่น้อยเลย

การลงทุนแนวเน้นคุณค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า ‘หุ้นคุณค่า’ มักหมายถึงหุ้นที่มีราคาถูก เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER ; Price per Earing Ratio) หรือ อัตราส่วนผลตอบแทนเงินปันผล (%Yield) ส่วนใหญ่มักมีปัจจัยพื้นฐานเชิงคุณภาพที่มั่นคงแข็งแรงตั้งแต่ปานกลางถึงมาก เช่น อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงช้า บริษัทเป็นผู้นำอุตสาหกรรม หรือกิจการมีเงินสดเยอะและทนทานวิกฤติเศรษฐกิจ

การลงทุนแนวเน้นเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า ‘หุ้นเติบโต’ มักหมายถึงหุ้นที่มีแนวทางการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิอย่างเด่นชัด ในขณะที่หุ้นดังกล่าวมักได้รับความนิยมสูง และมีราคาแพง เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินสำคัญ ส่วนใหญ่หุ้นเหล่านี้มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตดีทีเดียว หรือบริษัทเองมีความโดดเด่นบางอย่างที่สร้างความเติบโตได้ในระดับสูง กิจการมักมาพร้อมสินค้าและบริการที่โด่งดังและเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มขยายตลาดได้อีกในอนาคต

แต่ในชีวิตจริง นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะลงทุนเฉพาะหุ้นคุณค่าหรือหุ้นเติบโต หรืออาจไม่สนใจเลยก็ได้ว่า หุ้นที่จะเข้าลงทุนเป็นหุ้นประเภทไหน แบบใด เพราะตามที่ปรัชญาการลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานนั้น ควรซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และขายเมื่อราคาแพงกว่ามูลค่าพื้นฐาน หากนักลงทุนสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างเหมาะสม แมวไม่ว่าจะเป็นสีไหน พันธุ์ใดก็ย่อมจับหนูได้เหมือนกัน

ความแตกต่างสำคัญระหว่างหุ้นคุณค่ากับหุ้นเติบโต คือ ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในระยะยาว โดยพื้นฐาน นักลงทุนย่อมคาดหวังอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรจากหุ้นเติบโตมากกว่าหุ้นคุณค่า และมูลค่าพื้นฐานก็จะสะท้อนกำไรเหล่านี้ในท้ายที่สุด นักลงทุนคาดหวังว่า ถึงแม้ตนจะซื้อหุ้นเติบโตมาในราคาแพงเมื่อเทียบกับตลาดหรือหุ้นคุณค่า แต่ในระยะยาว หุ้นเติบโตจะสร้างการเติบโตของกำไรได้ดีกว่าจนกลายมาเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้ในตอนท้าย

ในมุมมองของผม หุ้นคุณค่าเหมาะกับการซื้อในช่วงที่ตลาดเกิดวิกฤต หรือมีเหตุการณ์ผิดปรกติจนราคาหุ้นคุณค่าตกต่ำลงอย่างมาก และขายเมื่อราคากลับสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ผมจะไม่ถือยาว เพราะหากหุ้นมีกำไรเติบโตน้อย มูลค่าจะได้น้อย ตรงกันข้ามกับหุ้นเติบโต ผมจะยอมซื้อที่ราคายุติธรรมหรือค่อนข้างแพง เพื่อแลกกับโอกาสการเติบโตของรายได้และกำไรที่มาก และต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนทำให้มูลค่าพื้นฐานเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

หากลองเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นทั้งสองกลุ่มในกรณีต่างกัน คือ เริ่มต้นลงทุนหุ้นคุณค่าด้วยราคาถูก (PE 7.5 เท่า หรือราคา 7.5 หน่วย) และลงทุนหุ้นเติบโตด้วยราคาแพง (PE 12.5 เท่า หรือราคา 12.5 หน่วย) จะพบว่าในช่วงแรกหุ้นคุณค่าให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่พอเวลาผ่านไป หุ้นเติบโตกลับให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอย่างต่อเนื่อง เพราะอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงกว่านั่นเอง

น่าสังเกตว่าหุ้นคุณค่าที่เริ่มลงทุนจะกำไรตั้งแต่วันแรก แต่หุ้นเติบโตที่ลงทุนจะเริ่มมีกำไรตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป หากนำ 5 ปีแรกมาเทียบกันจะพบว่า หุ้นคุณค่าให้ผลตอบแทน 14.31% ทบต้น ขณะที่หุ้นเติบโตให้ผลตอบแทน 6.95% ทบต้น แต่หากเปรียบเทียบกันในปีที่ 30 จะพบว่า หุ้นคุณค่าให้ผลตอบแทน 10.71% ทบต้น ขณะที่หุ้นเติบโตให้ผลตอบแทน 13.62% ทบต้น หุ้นทั้งสองกลุ่มยิ่งมีอัตราการเติบโตของกำไรต่างกันมากเท่าไหร่ ผลตอบแทนในระยะยาวก็ต่างกันมากเท่านั้น

ในความเป็นจริง ไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าปรัชญาการลงทุนแบบใด หรือหุ้นแนวไหนจะสร้างความร่ำรวยอย่างมหาศาลให้แก่นักลงทุนได้ นักลงทุนชื่อดังจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จก็มีกลเม็ดแตกต่างกัน อย่าง จอห์น เนฟฟ์ (John Neff) ก็ยังสร้างผลตอบแทนได้ดีกับการลงทุนราคาถูกแบบเน้นคุณค่า ส่วน ปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch) ผู้ให้ความสำคัญแก่ความมั่นคงแข็งแรงและการเติบโตของกิจการก็สร้างผลกำไรได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน

สิ่งสำคัญคือนักลงทุนต้องรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ว่า ตนถนัดลงทุนแนวไหน และตนเหมาะกับการลงทุนแบบไหนด้วย การลงทุนในหุ้นเติบโตให้ความสำคัญแก่การติดตามกิจการ และด้วยความคาดหวังที่สูง ราคาหุ้นจึงมักค่อนข้างผันผวน นักลงทุนต้องกระจายการลงทุนให้ดี จัดพอร์ตฟอลิโออย่างเหมาะสม และต้องมีจิตวิทยาการลงทุนที่ดีด้วย เพื่อฝ่าฟันมรสุมในช่วงเวลาที่โลกการลงทุนไม่เป็นไปดั่งใจ

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าอยากลงทุนหุ้นเติบโตจะต้องทำอย่างไรต่อ

การหาหุ้นเติบโตไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเติบโตที่เติบโตได้จริง ไม่ใช่แค่นิยายขายฝันหลอกนักลงทุนหูเบาในตลาดหุ้น คนที่อยากหลอกเอาเงินจากกระเป๋าเงินของคุณไปย่อมรู้ดีว่า เรื่องราวการเติบโตชวนฝันของหุ้นเด็ดเป็นเรื่องขายได้ และเขาเหล่านั้นย่อมพยายามป่าวประกาศไว้ในตลาดหุ้น ทั้งหมดขึ้นกับความสามารถในการพิเคราะห์ ปีเตอร์ ลินช์ เคยกล่าวว่า การลงทุนก็เหมือนการนั่งพลิกก้อนหินจำนวนมาก ส่วนใหญ่ใต้ก้อนหินนั้นมักจะไม่มีอะไร แต่ถ้าโชคดี เราก็อาจเจอเต่าทอง

“เต่าทองที่ดีเป็นแบบไหน เต่าทองที่ดีหน้าตาเป็นอย่างไร?”

คำถามนี้อาจตอบได้ยากสักหน่อย หากคุณเป็นนักลงทุนแบบฉาบฉวยหรือไม่ลึกซึ้งจริงจัง แต่เมื่อไหร่ที่คุณมุ่งมั่นจะหาเต่าทองซึ่งจัดว่าเข้าเกณฑ์เป็น ‘หุ้นเติบโต’ วิธีการสืบเสาะหาเต่าทองเหล่านั้นก็ง่ายขึ้นอีกมาก เพราะคุณจะรู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่คุณกำลังสนใจคือการเติบโตของรายได้และกำไร แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวหมายถึงการคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้า แต่อนาคตที่จะมาถึงก็มีแบบแผนบางอย่าง เหมือนตอนครึ้มฟ้าครึ้มฝน …นักอุตุนิยมวิทยาย่อมมีวิธีสำหรับพยากรณ์อากาศ


คอลัมน์: ใดใดในโลกล้วนลงทุน เรื่อง: ‘ลงทุนศาสตร์’

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!