ช่วงหลังมานี้คู่จิ้นกระแสแรงของวงการบันเทิงไทยมักเป็นคู่วาย หรือคู่ชาย-ชายซึ่งแจ้งเกิดจากซีรีส์ ส่วนคู่ชาย-หญิงนั้นดูจะไม่โดดเด่นเท่า เหมือนกับว่าเป็นยุคของคู่จิ้นวายเสียมากกว่า แต่แล้วก็เกิดคู่จิ้นชาย-หญิงคู่หนึ่งสวนกระแสดังกล่าวขึ้นมา ชื่อของ ‘เข้ม-มุกดา’ กลายเป็นที่รู้จักและติดเทรนด์ทวิตเตอร์ พวกเขาแจ้งเกิดจากละครของช่อง 7HD เรื่อง โซ่เวรี แม้ช่อง 7 จะครองเรตติ้งอันดับหนึ่งทั่วประเทศ แต่สำหรับคนกรุงเทพฯ แล้วละครของช่อง 7 อาจไม่ใช่ตัวเลือกลำดับแรก ทว่าด้วยความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง บวกกับเสน่ห์ของนักแสดง สามารถดึงให้คนที่ห่างหายจากการติดตามไปนานกลับมารับชมอีกครั้ง
ออล ปกแรกของปี 2564 เราได้พระเอกมาดเข้มสมชื่อซึ่งกำลังมาแรงอย่าง ‘เข้ม’ หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล ที่วันนี้งดควงคู่จิ้น ขอมาเดี่ยวๆ เน้นๆ สนทนากันอย่างจุใจ เพื่อทำความรู้จักตัวตนของหนุ่มหน้ามนคนจริงใจจากจังหวัดบึงกาฬ ผู้ไม่เคยคิดฝันว่าจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงและมีชื่อเสียงโด่งดังเช่นทุกวันนี้ เราเชื่อเหลือเกินว่าถ้าอ่านบทสนทนานี้จบ คุณจะพบคำตอบว่าทำไมใครๆ จึงพากันหลงรักเขา
1.
“ชีวิตวัยเด็กนั้นผมอาศัยอยู่จังหวัดหนองคาย ซึ่งปัจจุบันแยกเป็นบึงกาฬแล้ว” เข้มฉายภาพชีวิตในวัยเด็กของเขา “วิถีชีวิตเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไป ติดดิน มีทำกิจกรรมตามฤดูกาล เช่น ฤดูร้อนเป็นช่วงปิดเทอม ผมมักอยู่ที่ไร่นากับคุณตาคุณยาย วิ่งเล่นหาปูหาปลา พอฤดูหนาวเป็นช่วงเกี่ยวข้าว มีประเพณีลงแขกที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงมาช่วยกันเกี่ยวข้าว ผมก็ไปร่วมด้วย แต่อย่าเรียกว่าช่วยงานเลย ไปเล่นมากกว่า จำได้ว่าคุณตาทำว่าวให้ผมด้วย
“ส่วนชีวิตในโรงเรียนนั้น ช่วง ป.6 เป็นประธานนักเรียน เริ่มทำกิจกรรมมากขึ้น คุณแม่ชอบส่งเราไปถือพานบ้าง ประกวดร้องเพลงบ้าง แต่ร้องไม่จบสักเพลงนะครับ โตขึ้นมาหน่อยช่วง ม.ต้น เริ่มเอาดีด้านกีฬา เล่นบาสเก็ตบอลทีมโรงเรียนจนได้ไปแข่งระดับจังหวัด และเล่นฟุตบอลซึ่งค่อนข้างจริงจังพอสมควร เราเริ่มมีความฝันอยากเป็นนักกีฬา ได้ไปเก็บตัวฝึกซ้อม ผมซ้อมยิงประตูตั้งแต่เช้ายันเย็นวันละ 1,000 ลูก เช้า 300 บ่าย 300 เย็น 400 เตรียมตัวสำหรับแข่งขันระดับเขต จังหวัดและภูมิภาค ซ้อมอยู่แบบนั้นสักอาทิตย์เริ่มรู้สึกท้อ ไม่ไหวแล้ว มันเหนื่อยเกินกว่าเด็กวัยนั้นจะรับได้ ช่วงนั้นเริ่มลังเลระหว่างมุ่งมั่นไปทางกีฬา หรือหันไปเรียนวิชาช่างอย่างจริงจัง” ผู้จุดประกายความสนใจในการเป็นช่างซ่อมรถให้แก่เข้มก็คือน้าของเขา เข้มลองสำรวจตัวเองจนพบว่า เขามีสมาธิกับการปรับแต่งรถได้นานถึงสี่ห้าชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเบื่อ หลังจบ ม.ต้น เข้มจึงตัดสินใจเรียนต่อช่างกลที่กรุงเทพฯ
ระหว่างเรียนเข้มหารายได้พิเศษด้วย ซึ่งชักพาให้เขาเข้าวงการบันเทิง “ปกติผมทำงานพิเศษเป็นช่างในโรงงานของคุณน้าอยู่แล้ว พอดีมีรุ่นพี่ชวนให้ไปลองเดินแบบเพราะเห็นว่าเราตัวสูง ผมคิดว่าเดินแบบก็ไม่เสียหายอะไร ไม่ต้องพูดด้วย แค่เดินเสร็จ รับเงิน จบงาน เลยตกปากรับคำไป” เข้มเล่าว่าจริงๆ แล้วเขาถูกชักชวนให้เข้าวงการตั้งแต่สมัยม.ต้น ก่อนเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เสียอีก “ผมไปเที่ยวงานประจำปีที่จังหวัด มีแมวมองมาเจอ เขาลองให้ส่งรูป ทำเทปไปแคสต์ที่กรุงเทพฯ เหมือนจะได้นะครับ แต่ด้วยความที่เรายังไม่กล้า กลัวการเจอสังคมใหญ่ และอยากเป็นช่างมากกว่าทำงานวงการบันเทิง จึงไม่ได้สานต่อ” หลังจากเดินแบบ โอกาสด้านอื่นก็เข้ามาหาเข้มอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานโฆษณา เอ็มวี จนกระทั่งได้เข้ามาเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7HD “เริ่มจากเราอยากรู้อยากลองสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วคนอย่างผมจะเป็นดารากับเขาได้จริงเหรอ เราเลยอยากเดินไปให้สุด อยากรู้ว่าตัวเองจะไปได้ไกลถึงไหน ส่วนความฝันการเปิดอู่ซ่อมรถอาจเก็บไว้เป็นเรื่องของอนาคตแทน”
2.
จากเด็กที่ไม่ดูทีวี ไม่ดูละคร เมื่อเข้ามาทำงานเป็นนักแสดงจึงต้องปรับตัวไม่ใช่น้อย “สิ่งที่ผมกังวลช่วงแรกคือเราจะทำงานไม่คุ้มค่าจ้าง ด้วยความที่เราใหม่ เราไม่รู้อะไรเลย ละครสองเรื่องแรกยังไม่เข้าใจศาสตร์และศิลป์ของการเป็นนักแสดงด้วยซ้ำ แต่เราคิดเสมอว่าต้องทำงานตอบแทนให้คุ้มค่ากับเงินที่ได้รับ จึงเข้าไปขอคำแนะนำจากดาราผู้ใหญ่ คุยกับผู้กำกับ ผู้จัด ไม่เข้าใจตรงไหนก็พยายามถาม และฝึกสังเกตให้มาก เช่น เมื่อก่อนผมนั่งรถเมล์จะสังเกตพนักงานออฟฟิศว่าเขามีท่าทางอย่างไร สังเกตบุคลิกพ่อค้าแม่ค้า เพื่อปรับใช้ในการสวมบทบาท”
พึงพอใจผลงานตัวเองมากแค่ไหน เราถามนักแสดงหนุ่ม “ผมพึงพอใจมาก ผมปฏิญาณกับตัวเองว่างานทุกชิ้นคือลายเซ็นของเรา ทุกตัวละครที่ผมถ่ายทอด ผมพยายามใส่รายละเอียดให้เป็นลายเซ็นของผม ให้คนดูจดจำได้ ศึกษาตัวละครให้ละเอียด และสื่อออกมาให้ชัด ละครเรื่องแรกไฮโซหัวใจสะออน ผมเล่นเป็น ‘ไอดิน’ ทุกวันนี้ยังมีคนเรียกผมด้วยชื่อนั้นอยู่เลย ดีใจมากครับ”
04
ส่วนบทบาทที่ใฝ่ฝัน เจ้าตัวเปิดเผยว่าอยากลองแสดงภาพยนตร์ในบทบู๊ๆ หน่อย “ผมชอบบทจอมขมังเวทย์ในภาพยนตร์ ขุนพันธ์ อยากเล่นบทเท่ๆ บู๊ๆ แนวนี้ครับ คอเมดี้ก็ชอบนะ แต่ได้เล่นแล้วในเขยบ้านไร่ สะใภ้ไฮโซ จะได้ชมเร็วๆ นี้ ถ่ายทำพร้อมกันกับ เผาขน เรื่องนี้เป็นแนวบู๊ ถ่ายพร้อมกันสองเรื่องก็ท้าทายพอสมควร แต่โชคดีที่บทบาทแตกต่างกันมาก เราแค่สร้างแคแรกเตอร์ให้ชัด เมื่อชัดเจนกับตัวละครแล้วก็สลับโหมดในหัวได้ง่าย” อย่างไรก็ตามเจ้าตัวยอมรับว่าการเข้าถึงตัวละครและถ่ายทอดให้สมบทบาทยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้
ละคร โซ่เวรี สร้างกระแสให้นักแสดงหนุ่มผู้ไม่เคยคิดฝันถึงชื่อเสียงอันโด่งดัง ได้กลายเป็นที่รักของแฟนคลับจำนวนมาก รวมถึงการมีคู่จิ้น เข้ม-มุกดา “ผมดีใจที่ โซ่เวรี เป็นเหมือนละครครอบครัว ตกเย็นทุกคนจะมานั่งหน้าจอรอดู คนทำงานก็รีบกลับบ้านเพื่อดูละครกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ปลื้มใจมากๆ ส่วนคู่จิ้นนั้นไม่เคยคิดฝันและไม่เคยสัมผัสสิ่งนี้เลยในชีวิต ต้องยอมรับว่ากระแสคู่จิ้นดาราสร่างซาไปพอสมควร ขอบคุณแฟนๆ ที่หลังจากละครจบทุกคนยังไม่ลืม ยังพูดถึงคู่เรา ผมหวังให้ทุกคนเชียร์พวกเราไปเรื่อยๆ เพราะการที่ผมและแฟนๆ ได้มาเจอกันก็เพราะละคร จึงอยากให้แฟนๆ ช่วยสนับสนุนผลงานละครเรื่องถัดไปของเราด้วย ไม่ว่าผมหรือมุกไปเล่นละครคู่กับใคร อยากให้ซัพพอร์ตเราทั้งสองครับ”
แม้เข้มจะกลายเป็น ‘ซุปตาร์’ แต่พระเอกหนุ่มยืนยันว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปเพราะชื่อเสียงที่มากขึ้น “ผมโชคดีที่มีคุณแม่และคนรอบข้างคอยเตือนตลอดว่า บางอย่างที่เราทำเริ่มไม่ถูกต้องแล้วนะ เริ่มผิดกับสิ่งที่พูดไว้ บางขณะเรามองไม่เห็นตัวเองหรอก แต่คนที่รู้จักเรามานาน เช่น รุ่นพี่ที่สนิท หรือคุณแม่ เขามองเห็น และเตือนเราให้หยุดทำซะ ดึงตัวเองกลับมาเป็นเข้มในแบบที่เคยเป็น เข้ากันได้กับทุกคน ให้คำแนะนำคนอื่นได้ และรับฟังคำแนะนำจากคนอื่นครับ”
3.
เราถามถึงสิ่งสำคัญสามอันดับแรกในชีวิตของพระเอกหนุ่ม เขาตอบว่า 1.ครอบครัว 2.ความฝัน 3.ตัวเอง แม้อันดับที่สองและสามจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เข้มกล่าวว่า ที่สุดแล้วทั้งความฝันและตัวเองมีไว้เพื่อ ‘ครอบครัว’ “ผมมีความฝันระยะไกลมากๆ คืออยากทำร้านอาหาร หรือทำรีสอร์ทที่บ้าน อยากสร้างไว้ให้รุ่นหลานดูแล เพราะคงไม่ทันรุ่นพี่สาวของผมแล้ว เลยวางแผนไปถึงรุ่นหลานเลย ถ้าเขาสามารถดูแลตัวเองได้ เขาก็ดูแลพ่อแม่ซึ่งคือพี่สาวของเราได้ ให้รุ่นเล็กดูแลรุ่นใหญ่ เท่ากับดูแลกันทั้งครอบครัว”
เข้มเล่าถึงความแน่นแฟ้นในครอบครัว และคำสอนที่หล่อหลอมจนเป็นตัวเขาให้เราฟังต่อว่า “ทุกเย็นครอบครัวผมมีการพูดคุยถามไถ่กันขณะล้อมวงกินข้าวว่า วันนี้เจออะไรมาบ้าง คุณตาคุณยายจะคอยดูว่ามีอะไรที่เราต้องแก้ไขในวันพรุ่งนี้ อย่างวันนี้เราตั้งเป้าจะทำสิ่งนี้ให้ได้เต็มสิบ เราทำได้แค่ไหน ได้ห้า ได้หก เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ต้องทำให้ดีขึ้น ให้ได้เจ็ดหรือแปด คุณตาคุณยายสอนกันละเรื่อง แต่มีประโยชน์ต่อชีวิตเหมือนกัน คือ คุณตาสอนการใช้ชีวิต ทำอะไรต้องทำให้สุด ให้รู้ไปเลยว่าปลายทางคืออะไร ส่วนคุณยายสอนเรื่องสิ่งที่เอาคืนมาไม่ได้ หนึ่งคือคำพูด สองคือเวลา เราต้องตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านี้
“ผมเชื่อว่าการที่ผมโตในครอบครัวใหญ่ซึ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ส่งผลให้ผมเข้ากับคนรอบข้างง่าย ผมไม่เคยมีศัตรูที่ไหนเลย เราคิดไปเองรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมให้ใจคนที่เข้ามาในชีวิตหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้ความซื่อสัตย์ จริงใจ เอาใจมาแลกใจกัน แต่ถ้าเจอคนไม่จริงใจก็ไม่เป็นไร ไม่อาฆาต แต่ใจเต็มร้อยที่เคยให้ไปก็คงลดลงและไม่เหมือนเดิม”
เมื่อถูกใครต่อใครเข้าใจผิด หนุ่มคนนี้เลือกจะเคลียร์ปัญหาตรงๆ ให้จบและชัดเจน “ถ้าอยากได้ความจริงอะไร ให้ถามผม อย่าไปถามคนอื่น เพราะเขาใส่ไข่เยอะ ถ้าใครกำลังเข้าใจผิดหรือเอาผมไปพูดในทางเสียหาย ผมจะเรียกมาคุยให้ชัด หรือใครมีปัญหาอะไรกับผม ผมจะติดต่อไปหาเขา คุยให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เคลียร์กันให้จบ ไม่คลุมเครือ ไม่ค้างคา” เช่นเดียวกับเมื่อเราถามเขาว่าหากวันหนึ่งต้องเผชิญมรสุมข่าวจะเตรียมรับมืออย่างไร “ต้องดูว่าเป็นความจริงแค่ไหน ถ้าไม่จริง เราแค่ออกมาชี้แจงความจริง แต่ถ้ายังไม่เชื่อก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ในส่วนของเรานั้นเราได้เคลียร์ตัวเองแล้ว”
เราสนทนามาเกือบชั่วโมง สัมผัสได้ถึงความแมนๆ ตรงๆ ของหนุ่มคนนี้ที่ดูเข้มสมชื่อ แต่สำหรับเจ้าตัวนั้นมองตนเอง ‘เข้ม’ เหมือนชื่อหรือไม่ “ถ้าคนเพิ่งรู้จักมักมองว่าเข้มครับ อย่างพี่ที่เพิ่งเจอผมครั้งแรกก็จะรู้สึกว่าเข้มสมชื่อ แต่ถ้าคนสนิทที่รู้จักมานานจะรู้ว่าผมโคตรบ๊องเลย ตัวตนผมเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ชอบคุยเล่น ชอบแซว ไม่ชอบเครียด ขี้อ้อน อยากให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข ไม่ค่อยเข้มเท่าไหร่ครับ (ยิ้ม)
“ที่ผมชอบคุยกับทุกคน เพราะเคยมีประสบการณ์เราไปทำงานแล้วรุ่นพี่ไม่คุยด้วย เขาอยู่กันเป็นกลุ่มซึ่งเราเข้าใจว่าเขาสนิทกันอยู่แล้วคงไม่อยากเริ่มต้นคุยกับคนใหม่ เราเลยปฏิญาณกับตัวเองนับแต่นั้นว่าจะไม่เป็นแบบนี้ ไม่อยากให้ใครต้องเจอแบบเรา ทำไมมาทำงานแล้วต้องนั่งคนเดียวด้วย เราจะทำให้เด็กใหม่ๆ ที่ได้ร่วมงานกับเรามีความสุข พูดคุยเล่นกับเราได้ เราจะดึงทุกคนเข้ามาเล่นด้วยกัน คุยกัน สร้างความสนิทสนมตั้งแต่วันแรก เพื่อครั้งต่อไปจะได้สนิทกันยิ่งขึ้น”
ความสุขของชายหนุ่มคนนี้เรียบง่ายเหมือนกับตัวตนสบายๆ ของเขา “ผมมีความสุขทุกวันเลยนะ อาจหาว่าผมโม้ แต่ผมมีความสุขทุกวันที่ได้ออกมาทำงาน วันไหนที่ไม่ได้ทำงานก็มีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับแม่ อยู่กับบ้าน ผมจึงมีความสุขในทุกวัน แต่แน่นอนว่าวันที่เราเหนื่อยหรือท้อก็มี ส่วนตัวเป็นคนไม่ทุกข์นาน พยายามเอาตัวออกจากความเครียดให้เร็วที่สุด ผมมีวิธีผ่อนคลายด้วยการหาเวลาว่างออกต่างจังหวัด ไปนั่งมองวิวให้สมองกับหัวใจได้พัก ผมเคยนั่งคนเดียวนานสุดหกชั่วโมง นั่งคิดอะไรไปเรื่อย พอพ้นจากวังวนความคิดแล้วก็คือหลุดเลย จบ สบายใจ บางทีชีวิตก็ต้องการช่วงเวลาที่เราได้มองวิวกว้างๆ และฟังเสียงลมบ้าง”
เข้มไม่ใช่คนที่แสดงออกด้านอ่อนแอให้ใครได้เห็นกันนัก แต่มีหนึ่งคนซึ่งเป็นที่พักใจในวันที่เขาอ่อนแอเสมอมา “คุณแม่ครับ คือน้อยคนมากจะเห็นผมในมุมที่อ่อนแอ แทบไม่เคยมีใครได้เห็นเลยแหละ มีแค่คุณแม่คนเดียวที่ได้เห็นมุมนั้นมาตลอด ไม่ว่าเรามีปัญหาอะไร คุณแม่มีวิธีมีลูกเล่นที่คาดไม่ถึง ซึ่งช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นทันที”
สำหรับปี 2564 ที่กำลังเริ่มต้น เราถามถึงแผนการที่อยากทำให้สำเร็จในปีใหม่นี้ แม้ชายหนุ่มตอบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำตามความตั้งใจได้ทั้งหมด เพราะจากประสบการณ์ปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้ถึงความไม่แน่นอนหลายอย่าง แต่เขาก็มีเป้าหมายที่ตั้งไว้ในใจ “ผมอยากผ่อนบ้านให้หมดให้แม่สบายใจ แล้วก็อยากเรียนจบและรับปริญญาเป็นของขวัญให้คุณตา สมกับที่เขาเลี้ยงดูมา แผนของผมคือทำเพื่อครอบครัว อยากตอบแทนที่เลี้ยงดูเรามาอย่างดีครับ”
ขอบคุณสถานที่
Mestyle Garage Hotel
เลขที่ 53 ซอย ประชาราษฎร์บำเพ็ญ 7 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
โทรศัพท์ 0 2275 8855
เว็บไซต์ www.mestylegarage.com