แมงดาทะเลพิษร้าย กินผิดโดนพิษถึงตาย

-

แมงดาทะเล (horseshoe crab) คือสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งมีฉายาว่า “ฟอสซิลที่มีชีวิต”  เนื่องจากโครงสร้างลำตัวโดยรวมแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยเป็นเวลาหลายล้านปี มีความเกี่ยวพันกับแมงมุมและแมงป่องมากกว่าปู ในทางชีววิทยาเราเรียกแมงดาทะเลแมงมุม เห็บ กุ้ง ปู กิ้งกือ ตะขาบ และแมลงชนิดต่างๆ ว่า ‘สัตว์ขาข้อ’ (arthropod) ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง (invertebrate) แมงดาทะเลจัดอยู่ในชั้น (class) เมอโรสโตมาตา (Merostomata) หรือกลุ่มแมงดา นับเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 400 ล้านปีก่อน แต่เหลือเพียง 4 ชนิดที่ยังคงรอดชีวิตอยู่บนโลกจนถึงปัจจุบัน มี 2 ชนิดที่อาศัยตามพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศไทย และอีก 2 ชนิดพบได้ทั่วไปในบริเวณป่าชายเลนและตามพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมถึงหาดทรายและหาดโคลนซึ่งมีระดับน้ำทะเลไม่สูงนักในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก แม้แมงดาทะเลจะมีวิวัฒนาการมายาวนาน แต่โครงสร้าง และรูปร่างภแทบเหมือนกับต้นแบบดั้งเดิม แมงดาทะเลส่วนใหญ่ใช้เวลาเกือบทั้งปีใต้ทะเลน้ำลึก กินพวกหอย (molluscs) และไส้เดือนทะเลชนิดต่าง ๆ (polychaetes) เป็นอาหาร 

แมงดาทะเล 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย ได้แก่ 

1.แมงดาถ้วย หรือแมงดาไฟ (Carcinoscorpius rotundicauda) หรือ “เหรา” ในภาษาท้องถิ่น 

มีลำตัวโค้งมน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร ผิวด้านบนเรียบมัน สีน้ำตาลอมแดง ส่วนด้านหน้ามีรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวหรือรูปเกือกม้า ต่อจากส่วนท้องมีหางค่อนข้างกลมมนคล้ายดินสอ ไม่มีสันหรือหนามแหลม เป็นสัตว์ทะเลมีพิษที่เรียกว่า ‘สารเตโตรโดท็อกซิน’ (tetrodotoxin) หรือ ‘สารซาซิท็อกซิน’ (saxitoxin) โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ของมัน ซึ่งไม่ควรนำมาบริโภค เนื่องจากพิษของแมงดาทะเลส่งผลต่อระบบประสาท และมีอันตรายถึงชีวิต 

2.แมงดาจาน หรือแมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus Gigas) 

มีขนาดใหญ่กว่าแมงดาถ้วย เส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ผิวด้านบนมีสีน้ำตาลอมเขียว ลำตัวแบนและกว้างคล้ายจาน ส่วนล่างและหางคล้ายรูปสามเหลี่ยม ซึ่งมีหนามแหลมเรียงชิดติดกันเป็นแถวคล้ายฟันเลื่อย ไข่ของแมงดาถ้วยมักพบในฝั่งอ่าวไทย มันเริ่มวางไข่มาตั้งแต่เดือนธันวาคม และมีความหนาแน่นของไข่ที่พร้อมให้กินระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ดังนั้นใครที่กินไข่แมงดาในช่วงนี้ จึงควรรู้ไว้ว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นไข่แมงดาถ้วย ซึ่งมีพิษอันตรายถึงชีวิต การนำแมงดาทะเลมากินควรผ่านการปรุงจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้ซึ่งขาดความชำนาญไม่ควรนำไข่แมงดามาปรุงกินกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูวางไข่ ซึ่งไข่ของแมงดาทะเลมีการสะสมสารพิษสูงสุด   

หงายพุงแมงดา

 ‘ไข่แมงดาทะเล’ ขึ้นชื่อว่าหอมมัน เคี้ยวอร่อย คือหนึ่งในเมนูอาหารทะเลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สามารถนำมาทำเมนูได้หลากหลาย ทั้งกินแบบเผากับน้ำจิ้มซีฟู้ด นำมาทำเป็นยำไข่แมงดา แกงคั่วสับปะรด แกงคั่วกับกะท้อน หรือทำของหวานคือขนมไข่แมงดาหน้ากระฉีก มีอีกหลายชาติในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่างก็ช่วยกันลดจำนวนประชากรแมงดาจาน จนในระยะหลังไทยเราจึงได้นำเข้าไข่แมงดาจานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ แต่หารู้ไม่ว่าในความอร่อยนั้นยังแฝงไปด้วยพิษภัย ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตอยู่ไม่น้อยจากการกินแมงดาที่มีพิษ 

ไข่แมงดายำมะม่วง 

ไข่แมงดายำมะม่วง 

แมงดาไข่นึ่งหรือเผาทั้งกระดอง หงายแกะพุงเปิดให้เห็นไข่เกาะพราว แถมแกะรยางค์วางให้แทะกินกับยำมะม่วงรสแซ่บ  

ขนมไข่แมงดาหน้ากระฉีก 

ขนมไข่แมงดาหน้ากระฉีก 

ด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ซึ่งอาศัยเพียงประสบการณ์ ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเอาแมงดาทะเลมาทดลองกิน กว่าจะรู้ว่าชนิดไหนปลอดภัย จึงได้ถ่ายทอดให้อนุชนรุ่นหลังรู้วิธีการเลือกชนิดที่ไม่เป็นอันตราย เพื่อทำเป็นแกงคั่ว ยำ นอกจากทำเป็นอาหารคาว ยังทำเป็นของหวานได้อีก พบขนมไข่แมงดาหน้ากระฉีกที่ตำบลบางตะบูน จังหวัดเพชรบุรี โดยเอาไข่แมงดามากวนกับมะพร้าวขูดสำหรับเป็นหน้าข้าวเหนียวมูน เป็นกับข้าวแช่แทนผัดไชโป๊ว ก็เก๋ไก๋ไปอีกอย่าง หรือกินเล่นเป็นของหวานตามประสาคนเมืองน้ำตาล

เฮ่าก๊วยหรือขนมแมงดาทะเล

เฮ่าก๊วยหรือขนมแมงดาทะเล (鲎粿 ) ‘Horseshoe crab pudding’ 

เป็นขนมตำรับดั้งเดิมจากตำบลเตี้ยเอี้ย เมืองแต้จิ๋ว ที่ทำผสมกับแมงดาทะเล เรียก เฮ่าก้วย (鲎粿 Hòu guǒ) ตามปกติมักปรุงโดยการเอาเนื้อไข่แมงดาทะเล แป้ง เห็ดหอม อาจมีของอื่นๆ เพิ่ม เช่น กุ้งแห้ง แล้วหยอดส่วนผสมในถ้วยแบนคล้ายถ้วยตะไล นำไปนึ่งสุกแล้วแคะใส่จานจนมองเห็นไส้ด้านในได้เนื้อสัมผัสนุ่ม หอมกลิ่นแมงดา จิ้มกินกับน้ำจิ้มสูตรพิเศษ ทั้งนี้สามารถปรุงและมีส่วนผสมได้หลากหลายขึ้นอยู่กับภูมิภาคและประเพณีท้องถิ่น 

ทั้งนี้ในการจำแนกชนิดของแมงดามีพิษกับไม่มีพิษ รศ.ดร.ซุกรี หะยีสาแม คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมงดาทะเล กล่าวว่า 

“แมงดาถ้วย หรือแมงดาไฟ หรือเหรา ตามแต่จะเรียกชื่อต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ พบได้ในประเทศไทยโดยอาศัยอยู่ตามหาดโคลนปนทราย ลักษณะภายนอกจะมีกระดองโค้งกลมเหมือนถ้วย ตัวสีเข้ม วางไข่ตามป่าชายเลน วิธีสังเกตง่ายๆ จากลักษณะกายภาพให้ดูที่โคนหางถึงกลางหาง ถ้ามีลักษณะกลมเหมือนแท่งดินสอก็เป็นแมงดาที่มีพิษ ไม่ควรนำไข่มากิน อาการเมื่อกินแล้วเมา มีอาการแพ้ ปากชา พูดไม่ได้ แขนขาชา หายใจไม่ออก บางรายอาจมีอาเจียนด้วย ทำให้เสียชีวิต” 

อ้างอิงข้อมูล 

  • รศ.ดร.ซุกรี หะยีสาแม, อาทิตย์ ลมูลปลั่ง, คัดคณัฐ ชื่นวงศ์อรุณ 
  • ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.https://med.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/bulletin/bul95/v3n1/Hors_crabSaint Louis Zoo 
  • https://www.stlzoo.org/visit/thingstoseeanddo/stingraysatcaribbeancove/horseshoecrabfact 
  • สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.). https://www.nstda.or.th/th/news/13084-horseshoecrab 

คอลัมน์: กินแกล้มเล่า

เรื่อง: สุทัศน์ ศุกลรัตนเมธี

ภาพ: อินเทอร์เน็ต 

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!