คงจะ ‘หิวแสง’ มั้ง

-

ปัจจุบันมีสำนวนใหม่ๆ เกิดขึ้น  ซึ่งถ้าได้ยินได้ฟังครั้งแรกๆ ก็อาจงุนงง  แต่ถ้ามีการใช้กันต่อเนื่องนานๆ เข้าก็จะเป็นที่เข้าใจ ฉบับนี้จะเขียนถึงสำนวนที่น่าสนใจได้แก่ “หิวแสง”

 

หิวแสง

“หิว” แปลว่าอยากข้าวอยากน้ำ แต่ในที่นี้หมายถึงความปรารถนาหรือความต้องการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมาก ส่วนคำ “แสง” แปลว่าสิ่งที่ทำให้ตามองเห็น

เมื่อนำ “หิวแสง” มาใช้เป็นสำนวนเปรียบจะหมายถึงความต้องการให้ตนเด่นดัง เป็นจุดสนใจของผู้คนในสังคม จะได้ไม่ถูกลืม เช่น นักการเมืองคนหนึ่งไม่ได้มีข่าวออกทางสื่อมวลชน นานวันเข้าเมื่อสบโอกาสก็จะออกมาทำตัวเป็นข่าว ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองอาวุโสฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงโดยไม่รู้กาละเทศะและบุคคลผ่านสื่อจนเป็นข่าวครึกโครม วันรุ่งขึ้นก่อนจะเริ่มการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนฯ คนหนึ่งพูดขึ้นในกลุ่มเพื่อนด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า “นานแล้วที่ข่าวคราวของท่านเงียบหายไป เหมือนตกอยู่ในความมืด ก็ย่อมจะหิวแสงเป็นธรรมดา เห็นใจท่านเถอะ”

เรื่องเกี่ยวกับแสงสว่างนี้ ในอดีตมีสำนวนเปรียบที่ยังคงใช้กันอยู่จนทุกวันนี้สำนวนหนึ่งคือ “ปากสว่าง”

 

ปากสว่าง

“สว่าง” แปลว่าแจ้ง เมื่อนำคำสว่างมาใช้ขยายคำ “ปาก” เป็นสำนวน “ปากสว่าง” จะมีนัยความหมายไปในด้านลบ

“ปากสว่าง” เป็นสำนวนเปรียบที่หมายถึงการนำเรื่องราวของบางคนซึ่งเจ้าตัวไม่ต้องการเปิดเผยไปเล่าให้คนอื่นฟังจนเป็นที่รู้กันทั่ว แม้จะด้วยความจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาทั้งผู้เล่าและเจ้าของเรื่อง เช่น นรีกำชับพิมเพื่อนรักในบริษัทที่ทำงานอยู่ด้วยกันตอนหนึ่งว่า “เธออย่าทำเป็นปากสว่างบอกใครนะ ว่าที่เราลางานวันจันทร์ที่จะถึงเนี่ย เพราะต้องไปสอบสัมภาษณ์ที่บริษัทใหม่ที่ไปสมัครไว้ ถ้ารู้ไปถึงหัวหน้าเข้าก็จะเป็นเรื่อง”

มีข้อน่าสังเกตว่าถ้านำคำสว่างไปขยายคำหูและตาเป็น “หูตาสว่าง” จะเป็นสำนวนเปรียบที่มีนัยความหมายในด้านบวก คือหมายถึงการเข้าใจหรือรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เช่น เด็กหนุ่มพูดกับหลวงตาหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับความจำเป็นที่พ่อแม่ให้ตนมาอยู่กับหลวงตาตั้งแต่ยังเล็กว่า “ตอนนี้ผมหูตาสว่างแล้วครับ ก่อนนี้ผมหลงเข้าใจผิดมาตั้งนานว่าพ่อแม่ไม่รัก กราบขอบคุณหลวงตาครับ”

ยังมีสำนวนที่ประกอบด้วยคำหูและตาควบคู่กันไปอีกหลายสำนวน เช่น เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ฯลฯ

 

เอาหูไปนา เอาตาไปไร่

เนื่องจากชาวนาชาวไร่ส่วนใหญ่จะมีบ้านพักอาศัยอยู่ไกลจากนาหรือไร่ของตนพอสมควร เมื่อจะออกไปทำนาทำไร่จึงมักจะนำอาหารไปกินตอนพักกลางวัน เพื่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อยและเสียเวลาในการเดินไปกลับระหว่างบ้านและนาไร่ ดังนั้นขณะที่อยู่ในไร่นาหูตาก็จะไม่ได้ยินได้เห็นอะไรซึ่งเกิดขึ้นที่บ้าน

เมื่อมีการนำ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” มาใช้เป็นสำนวนเปรียบจะหมายถึงการทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้เห็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อภรรยาปรารภกับสามีเรื่องแม่บ้านวัยรุ่นชอบไปยืนคุยกับแม่บ้านของเพื่อนบ้านวันละหลายๆ ครั้ง สามีก็พูดว่า “คุณก็… ถ้าเค้าทำงานบ้านเสร็จแล้วก็ปล่อยๆ ไปเถอะ ทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่บ้าง เด็กมันจะได้ไม่เหงา จะได้อยู่กับเราไปนานๆ”

สำนวน “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” นี้ บางครั้งก็ใช้ในบริบทที่สื่อความหมายตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา คือหมายถึงควรให้ความสนใจ เช่น ภรรยาพูดกับสามีว่า “คุณเตือนลูกชายบ้าง กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อยู่เรื่อย อย่าเอาหูไปนา เอาตาไปไร่นักเลย เดี๋ยวลูกจะเคยตัว ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจะเดือดร้อน”


คอลัมน์: คมคำสำนวนไทย

เรื่อง: ยุพร แสงทักษิณ

ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!