กัน นภัทร จดไว้ในความทรงจำ

-

แม้แจ้งเกิดจากการร้องเพลงดีกรีเป็นถึงแชมป์เดอะสตาร์ ปี 6 แต่บทบาทของ ‘กัน’ นภัทร อินทร์ใจเอื้อ ในวงการบันเทิงนั้นมีหลากหลาย เช่น เป็นนักร้องเพลงประกอบละครที่มีผลงานให้ฟังอย่างต่อเนื่อง เป็นนักแสดงที่เล่นทั้งละคร ซิทคอม รวมถึงละครเวที เป็นพิธีกร และยังเป็นกรรมการตัดสินเวทีประกวดร้องเพลงลูกกรุง ถือว่าเป็นคนบันเทิงที่มีความสามารถรอบด้าน สิบกว่าปีที่โลดแล่นในวงการบันเทิงย่อมพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพตัวจริงของเขา เราจึงชวนกันสนทนาถึงเรื่องราวการทำงานในวงการ และความทรงจำที่ผ่านเข้ามามากมายซึ่งหลอมรวมเป็นเขาในวันนี้

 

 

1.

หลังจากหายหน้าไปในช่วงล็อคดาวน์โควิด-19 กันกลับมาพร้อมผลงานเพลงใหม่ ตอบสนองแฟนๆ ที่คิดถึงเขาในบทบาทนักร้องซึ่งเป็นก้าวแรกในวงการบันเทิงได้อิ่มเอมกับน้ำเสียงที่เคยประทับใจ ไม่ได้อยากลืม คือซิงเกิลใหม่ของกันที่บอกเล่าความรักครั้งเก่าที่ยังเฝ้าคะนึงหา แม้ผู้คนรอบข้างจะบอกให้ทิ้งอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่ แต่หัวใจยังไม่พร้อม ยังคงนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เคยมีด้วยกัน โอบกอดความทรงจำในวันวานนั้นต่อไป กันเล่าถึงผลงานชิ้นนี้ว่าตนมีส่วนร่วมในการทำงานแทบทุกขั้นตอน เป็นการทำเพลงที่เติบโตขึ้นไปอีกระดับ

“เพลงนี้เป็นผลงานแรกของผมในสังกัด Loveis ซึ่งค่ายต้อนรับเราอย่างอบอุ่น และให้อิสระในการทำเพลงมากๆ กันอยากทำแบบไหนบอกเลยนะ ผมมองว่าศิลปินทุกคนควรได้รับอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานเช่นนี้ เราทำงานกันช่วงหยุดโควิด-19 พี่ๆ นักแต่งเพลงจะส่งเพลงให้ผมเลือก เราลองร้องเพื่อหาว่าเพลงไหนเหมาะกับเรา ไม่ได้อยากลืมคือเพลงที่เราร้องแล้วรู้สึกเป็นตัวเองและเห็นภาพมากที่สุด จึงเลือกเป็นซิงเกิลเปิดตัวกับค่ายใหม่

“เนื้อหาของเพลงเกิดจากผมฮัมเพลงแบบไม่มีเนื้อแล้วชอบ จึงส่งไลน์ไปในกรุ๊ปว่าชอบเพลงนี้ ไม่ได้อยากลืมอันนี้ แล้วทีมก็ชอบคำจึงนำไปแต่งต่อจนได้เป็นเนื้อเพลงทั้งหมด ด้านการถ่ายทอดบทเพลงผมใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วงชีวิตหนึ่งเราเคยรู้สึกแบบนี้ เลยอินกับเนื้อหาและเห็นภาพตาม

 

 

“เพลงนี้เป็นการก้าวไปอีกขั้นของการทำงาน เมื่อก่อนเราร้องตามโจทย์ ส่วนมากเป็นเพลงประกอบละครหรือซีรีส์ ที่นักแต่งเพลงเขียนเนื้ออิงจากตัวละคร เราก็ร้องตามความรู้สึกของตัวเอกในเรื่อง ถ่ายทอดให้คนเชื่อเรื่องราวนั้น แต่ไม่ได้อยากลืม เรามีโอกาสใส่ความเป็นตัวเอง ใส่ความชอบ ใส่สีสันของเพลงที่อยากให้เป็น แม้กระทั่งเอ็มวีผมก็ได้บอกถึงสิ่งที่ต้องการ คือผมอยากให้มีหน้าตัวเองในเอ็มวีน้อยที่สุด เราไม่อยากเล่นเอ็มวีเอง อยากให้มีสักเพลงที่เราทำหน้าที่ศิลปินผู้ถ่ายทอดบทเพลง นี่ไม่ใช่เพลงของกัน แต่เป็นเพลงของผู้ฟังทุกคนด้วยเหมือนกัน เราอยากให้คนที่ไม่เคยฟังเพลงของเราได้ลองฟัง นี่คือเสียงของ ‘กัน’ นภัทรนะ แบบประหลาดใจตอนรู้ทีหลังบ้าง”

ห่างหายจากการออกซิงเกิลมาสักพัก ย่อมสร้างความตื่นเต้นแก่นักร้องหนุ่มเป็นธรรมดา “ผมไม่ได้ออกซิงเกิลเพลงตัวเอง 2-3 ปีแล้ว ความรู้สึกคือตื่นเต้นที่จะได้กลับมาทำสิ่งที่เราห่างไปนาน ยิ่งเห็นกระแสตอบรับจากแฟนๆ ที่ดีใจได้ฟังเพลงของกันแล้ว ก็หายเหนื่อย เราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องปัง ต้องดังขนาดนั้น เราเข้าใจว่าวงการเพลงตอนนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ ยิ่งหลังคลายล็อคดาวน์ศิลปินต่างปล่อยงานเพลงออกมาพร้อมกันเยอะมากด้วย”

เคยน้อยใจไหมที่คนอาจรู้จักจากเพลงประกอบละครมากกว่าซิงเกิลของตัวเอง เราถามนักร้องหนุ่ม “ไม่น้อยใจเลย เราภูมิใจกับทุกโอกาส ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ผู้จัดหลายๆ ท่านที่เล็งเห็นว่าเสียงเราเข้ากับละครเรื่องนั้น ผมก็คิดว่าตัวเองเหมาะกับการถ่ายทอดเพลงละคร เพราะเวลาเราร้องแล้วเห็นภาพตาม พอมาอยู่สังกัด Loveis มีการประชุมกับทีมว่าจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ยังไงให้หลุดจากละครที่คุ้นชิน เพื่อเปิดไปสู่แฟนๆ กลุ่มที่ไม่ค่อยรู้จักเรา ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง”

 

2.

หากพูดถึง turning point หรือจุดพลิกผันในชีวิตของกัน คงเป็นอื่นไม่ได้นอกจากช่วงเวลาที่เขาได้เป็นแชมป์เดอะสตาร์ปี 6 ซึ่งเปลี่ยนชีวิตของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดจะเข้าวงการบันเทิงให้กลายเป็นดาวชั่วข้ามคืน “ความฝันในการเป็นนักร้องนักแสดงไม่เคยมีอยู่ในหัว เรารู้ว่าไม่ใช่คนหน้าตาดี เป็นแค่เด็กดำคนหนึ่งที่ชอบเล่นกีฬา เมื่อก่อนฝันอยากเป็นนักบอลทีมชาติด้วยซ้ำ แต่ชีวิตก็พลิกผัน หลังจากชูถ้วยแชมป์เดอะสตาร์ คนที่ดูแลคิวงานแจ้งว่านับแต่นี้ไปอีกสองเดือนไม่มีวันว่างเลยนะ จากคนที่เป้าหมายชีวิตไม่แน่นอน กลายเป็นทำงานทุกวัน เรียกว่าเป็นเดอะสตาร์รุ่นห้างแตก ช่วงที่ยุ่งทุกวันก็แวบคิดเหมือนกันว่านี่คือชีวิตที่ต้องการรึเปล่าวะ แต่เรามาเส้นทางนี้แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ผมมักนึกถึงคำสอนของพี่เบิร์ด (ธงชัย แมคอินไตย์) ซึ่งได้เจอตอนอยู่ในบ้านเดอะสตาร์ว่า วงการนี้ใครก็เข้ามาได้ หน้าตาดีหน่อย ร้องเพลงเพราะหน่อย แต่จะทำยังไงให้อยู่ได้นานคือสิ่งสำคัญกว่า ผมจำคำพูดนี้ไว้ตลอด เพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าชีวิตจะเดินไปไกลแค่ไหนก็ต้องไม่ลืมจุดเริ่มต้น เรามาจากไหน ใครที่ทำให้เรามีวันนี้”

แล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตการทำงานคือช่วงเวลาไหน เราถามต่อ “ตอนที่แสดงละครเรื่องแรกเรือนแพ ผมไม่เข้าใจเลยว่าการแสดงคืออะไร ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นพระเอกได้ด้วยซ้ำ เพราะเราเคยอัดวิดีโอตัวเองแล้วรู้สึกเด๋อมาก ทำไมตลกขนาดนี้ คิวแรกๆ ที่ถ่าย ผู้กำกับก็วิจารณ์ว่า กันรู้ไหมเสน่ห์ตอนเล่นละครเทียบไม่ได้กับตอนร้องเพลงเลย แล้วช่วงแรกผมถ่ายซีนหนึ่งกว่าจะผ่านต้องเล่นถึงสิบเอ็ดสิบสองเทค จนเกรงใจนักแสดงผู้ใหญ่ที่ร่วมฉาก ผมนอยด์มาก แต่พอได้เรียนการแสดงกับหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) เรียนรู้จากผู้กำกับ เริ่มเข้าใจและรักการแสดง มันไม่ใช่การไปทำท่าโน้นท่านี้ในฉาก แต่คือความเข้าใจและเชื่อในตัวละครนั้นๆ หลังจากนั้นพี่ผู้กำกับที่เคยด่าก็บอกเราว่า ตอนนี้เสน่ห์การแสดงของกันเท่ากับเสน่ห์เวลาร้องเพลงแล้ว เรารู้สึกปลดล็อคเลย พอเข้าใจ เวลาอยู่ในกล้องก็ไม่รู้สึกเด๋อแล้ว เพราะนี่คือตัวละครไม่ใช่ตัวเราเอง”

ผลงานที่เรียกว่าทลายกำแพงและเข้าถึงศาสตร์การแสดงที่สุดของกัน เขาเลือกละครเวทีมิสไซง่อนเป็นคำตอบ “ละครเวทีเรื่องนี้ทางทีมต่างประเทศเป็นผู้คัดเลือกนักแสดง มีคนไปสมัครกันมาก จริงๆ แล้วผมไม่คิดจะสมัครด้วยซ้ำ เพราะตัวละครเป็นฝรั่ง เป็นทหารจี.ไอ. แล้วเราหน้าโคตรไทย แต่พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) บอกให้ลองเล่นๆ ดู  ผมฟังเพลงคืนเดียวแล้วไปร้องเลย เพลงก็ยาก คีย์สูง แต่เราดันร้องถึง แล้วคนที่เขาหมายมั่นไว้ดันร้องไม่ถึง ทีมงานฝรั่งเลยเลือกเรา เป็นโอกาสที่เข้ามาอย่างไม่คาดคิด”

 

 

มิสไซง่อนยังจัดว่ายากที่สุดในบรรดาละครเวทีที่กันแสดงมาด้วย  “ถ้าจัดลำดับงานในวงการบันเทิงที่ยากที่สุด ผมให้ละครเวที เพราะเป็นศาสตร์ที่รวมทุกแขนงทั้งร้องและแสดง และยังต้องใช้สมาธิสูงมาก ต้องเตรียมตัวให้ดี ตัวอย่างสี่แผ่นดิน เล่น 100 รอบ คนอาจคิดว่าลิปซิงค์ ไม่นะครับ ร้องสดทุกรอบ บางครั้งเสียงหายก็ต้องฉีดยาเพื่อให้เสียงกลับมาภายในเย็นนั้น ซึ่งได้ผลดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวส่งผลเสียต่อร่างกาย เราก็ต้องยอม ทุกคนก็ยอม ละครเวทีเราห้ามป่วย ห้ามตาย ใครเล่นแทนไม่ได้ และในบรรดาละครเวทีที่เล่นมาผมยกให้มิสไซง่อน คือเรื่องที่ยากที่สุด เพราะเพลงที่ร้องเป็นทำนองเพลงต่างประเทศ จึงมีโน้ตสูงๆ ต่ำๆ ต่างจากเพลงไทย แล้วทั้งเรื่องไม่มีบทพูดสบายๆ ทุกคำใส่ทำนอง ต้องร้องแทนพูดทั้งเรื่อง จึงยากกว่าที่แล้วมา แต่พอผ่านไปได้ก็พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด ละครทีวีก็ง่ายขึ้น หรือการร้องเพลงก็รู้วิธีโปรเจ็คต์เสียงให้ร้องได้นานหลายชั่วโมง”

เราถามศิลปินหนุ่มว่าผลงานชิ้นไหนที่นับว่าเป็นมาสเตอร์พีซของเขา “ลูกกรุงครับ เรารักเรื่องนี้มากๆ รักตั้งแต่ที่มาของเรื่อง พี่บอยเขาเขียนพล็อตเรื่องนี้มานาน แต่หาคนเล่นไม่ได้ จนผมได้แชมป์เดอะสตาร์ปี 6 เขาก็เล็งๆ ให้เรามารับบทตั้งแต่ตอนนั้น แต่ด้วยจังหวะที่ไม่ลงตัว บทยังไม่เสร็จดี ตัวผมไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ก็เลยยังไม่ได้เล่น จนวันหนึ่งพี่บอยเรียกผมไปคุยแล้วบอกว่า ‘พี่ว่าถึงเวลาของกันแล้ว’ ผมรู้สึกได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ นี่คือละครที่เขียนขึ้นเพื่อรอเรารับบท  เราได้ถ่ายทอดเรื่องราวความรักผ่านบทเพลงลูกกรุง ตอนถ่ายทำก็มีความสุขมาก จึงรักเรื่องนี้มากครับ”

กันสารภาพว่าตอนแรกไม่ได้ผูกพันกับเพลงลูกกรุงนัก แต่ด้วยหน้าที่การงานจึงซึมซับและชอบในบทเพลงลูกกรุงยิ่งขึ้น “ผมไม่ได้ผูกพันมากเท่าคุณพ่อ แต่เราซึมซับจากที่คุณพ่อชอบฟังเพลงของคุณอาสุเทพ วงศ์คำแหง คุณอาชรินทร์ นันทนาคร ส่วนผมออกแนวลูกทุ่งมากกว่า เพราะเราประกวดร้องเพลงลูกทุ่งตั้งแต่เด็ก แต่เราสามารถประยุกต์เทคนิคจึงร้องได้หลายแนว ร้องลูกกรุงก็ได้ พอมาเป็นพระเอกละครลูกกรุง และเป็นผู้ตัดสินในรายการ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ เลยใกล้ชิดเพลงลูกกรุงมากขึ้น ตอนนี้คือผูกพันแล้วก็อินครับ” กันยังกล่าวถึงการเป็นผู้ตัดสินในรายการ The Golden Song เวทีเพลงเพราะว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่อีกอย่างของเขา “ผมว่าการเป็นผู้เข้าแข่งขันแล้วได้แชมป์ก็สุดยอดแล้ว แต่การเป็นคนตัดสินว่าความฝันของใครจะได้ไปต่อไหม มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก เป็นเกียรติมากๆ เลยครับ”

 

 

3.

เราถามกันว่าที่ผ่านมามีเหตุการณ์ไหนที่ยังตราตรึงใจไม่อาจลืมบ้าง “วันที่ชูถ้วยแชมป์เดอะสตาร์ คือช่วงเวลาที่ไม่ได้อยากลืม ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังจำได้ดี พ่อแม่ขึ้นมาบนเวที เฮ้ย เราคือเดอะสตาร์คนที่ 6 ของเมืองไทย และรายการถ่ายทอดสด คนดูรายการเยอะมาก เราทำอะไรไม่ถูกหูอื้อไปหมด” นอกจากนั้นยังมีประสบการณ์ที่ได้รับจากแฟนคลับ ซึ่งกันได้เก็บช่วงเวลานั้นด้วยภาพถ่ายไว้แล้ว “ที่บ้านมีรูปถ่ายคอนเสิร์ตแรกในชีวิต ซึ่งถ่ายร่วมกับแฟนๆ ที่มาดู เป็นความทรงจำที่มีความสุขมาก เราดีใจที่มีคนรักเรามากขนาดนี้ แม้ทุกวันนี้จะไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่เรารู้ว่ามีคนซัพพอร์ตอยู่ เราจดจำช่วงเวลาดีๆ เสมอ เวลาที่ผมซ้อมละครเวทีเลิกเที่ยงคืนตีหนึ่ง พวกเขาก็ยังนั่งรออยู่ รู้ว่าเราลงลิฟท์ตัวไหน พอลิฟท์เปิด ก็เหมือนเสียบปลั๊กไฟติด ทุกคนที่กำลังง่วงๆ กันก็ลุกขึ้นมา ดีใจที่เจอเรา ถ้าไม่รักกันจริงทำไม่ได้ ทุกวันนี้ผมไม่อยากใช้คำว่าแฟนคลับแล้ว เพราะพวกเราอยู่กันมานานเหมือนครอบครัวมากกว่า”

แล้วมีความผิดพลาดไหนที่เราจดจำไว้เป็นบทเรียนอยู่เสมอบ้าง “เป็นเรื่องการแสดงละคร เป็นศาสตร์ที่เราไม่รู้อะไรเลย คำวิจารณ์ที่ได้รับเคยคิดว่าเป็นคำด่า แต่จริงๆ คือคำสอน แล้วทำให้เราจดจำได้หมดเลยว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก หรือแม้กระทั่งทุกวันนี้ คนติเรา ด่าเรา สิ่งไหนแก้ได้ก็แก้ สิ่งไหนเหนือการควบคุมก็ปล่อยผ่าน แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราได้เรียนรู้เพื่อจะไม่กลับไปซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว”

 

 

ตลอดเวลาสิบกว่าปีในวงการบันเทิง กันเจอดราม่าไม่น้อย เขาฝังใจกับเรื่องราวร้ายๆ ไหม “ไม่ฝังใจครับ ปล่อย ลืม ผ่านไป” กันทำอย่างไรเวลาเผชิญเหตุการณ์หนักๆ  “ต้องยกเครดิตให้ครอบครัว เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรามีกำลังใจเดินหน้าต่อ บางครั้งเราก็รู้สึกว่า เฮ้ย นี่มันหนักไปรึเปล่า การเข้าวงการคืออยู่ถูกที่รึเปล่า ทุกข์มากกว่าสุขรึเปล่า แต่พอกลับไปเจอครอบครัวที่รอความสำเร็จของเรา หวนนึกถึงพ่อแม่ สิ่งที่เราสร้างให้เขา เออ เราหยุดไม่ได้ว่ะ เราต้องเดินต่อ แค่แม่ได้ยินเสียงผมนิดเดียวก็รู้แล้วว่าเราไม่โอเค แล้วคนเป็นแม่ ลูกเสียใจแค่ไหนแม่เสียใจมากกว่า ผมไม่อยากให้แม่ต้องเครียด เลือกที่จะสลัดทิ้งแล้วเดินหน้าต่อ รวมถึงแฟนคลับที่คอยให้กำลังใจเราเสมอ เราอยากทำให้เขามีความสุข ทำให้เขาไม่เสียดายที่เลือกรักเรา”

แล้วมีวิธีคลายความเครียดยังไง เราถามศิลปินหนุ่ม “ออกกำลังกาย ถ้าผมเครียดจะออกกำลังกาย แต่เบื่อง่ายจึงหากิจกรรมเปลี่ยนไปเรื่อย ช่วงหนึ่งชอบเล่นเซิร์ฟสเกต แต่ไม่ถึงเดือนก็เปลี่ยนไปปั่นจักรยาน ไปเล่นฟุตบอล แบดมินตัน หาอะไรเล่นไปเรื่อย หรือไม่ก็สังสรรค์กับเพื่อนสวนกุหลาบช่วยคลายเครียดได้เยอะ”

เคยมีช่วงที่ท้อจนอยากยอมแพ้ไหม เราสงสัย “มีหลายช่วงเลยครับ”

แล้วกันผ่านมาได้ยังไง “มีบางอย่างผ่านเข้ามาในช่วงเวลานั้นพอดี เช่นเหตุการณ์ล่าสุด ผมเจอหนักมาก กระทั่งผมเดินลู่ออกกำลังกายอยู่แล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหล คือผมไปอ่านคอมเมนต์ต่างๆ โห รุนแรงขนาดนี้เลยเหรอวะ จุดแรกที่เราเข้าวงการบันเทิง เราไม่ได้ตั้งใจมาทำอะไรแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะดังจากข่าวทำนองนี้ เราแค่อยากให้ทุกคนเห็นผลงานเรา โฟกัสที่งานของเรา แล้วทุกครั้งที่มีข่าวของผม ส่วนน้อยที่พูดถึงผลงาน ส่วนมากคือเรื่องอื่น ซึ่งเราไม่ได้อยากให้คนโฟกัส วันนั้นมีเพลงใหม่ของพี่แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก ชื่อเพลง 24 พฤษภา ซึ่งเนื้อเพลงท่อนหนึ่งร้องว่า ไม่เป็นดั่งฝัน อย่าผิดหวัง ให้ฟันฝ่า ถ้ามึงยังมีชีวิต และดวงอาทิตย์ไม่ร้างลา มึงจงฟังให้ดี ถ้าตีนยังยืนบนพสา จงอย่าเดินกลับหลัง อย่าหยุดยั้งกับศรัทธา ผมได้ฟังตอนเดินลู่ น้ำตาไหล แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้กูเริ่มใหม่ เนี่ยแหละครับจะมีอะไรบางอย่างเข้ามาดึงสติเราทุกครั้งที่ท้อ ทุกคนมีวันที่เหนื่อยที่ท้อ เราต้องหาสิ่งที่ช่วยฉุดเราขึ้นมาให้เจอ เพื่อจะได้กลับมาสู้อีกครั้ง”

 

 

4.

‘กัน’ นภัทร สรุปสิ่งที่เขาได้จากการโลดแล่นในวงการบันเทิงกว่าสิบปี “อันดับแรกวงการบันเทิงให้ชีวิตใหม่แก่ผม ให้ผมได้ทำสิ่งที่รัก และสามารถดูแลพ่อแม่ทดแทนบุญคุณได้ ปลูกบ้านสำเร็จ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้กินอาหารที่เมื่อก่อนคงไม่มีโอกาสได้กิน ทั้งหมดก็คือรายได้ที่ผมได้จากงานนี้

“อันดับต่อมา เราได้เรียนรู้คน เข้าใจคนมากขึ้น ซึ่งได้จากประสบการณ์ทำงาน การแสดง และเรื่องราวต่างๆ ที่พบพาน เราเลยดูคนเป็น รู้ว่าแต่ละคนเข้ามาหาเราเพราะอะไร บางคนรักเราจริง แต่บางคนก็มีอะไรแอบแฝง จึงเรียนรู้ว่าควรคบแต่ละคนแค่ไหน จริงๆ วงการบันเทิงก็เหมือนเหรียญสองด้าน ถ้ามองว่าสุขก็สุข ถ้ามองว่าทุกข์ก็ทุกข์ บางครั้งเราเหนื่อยมากๆ ที่จะไปต่อ อย่างไรก็ดี เราเลือกได้ว่าจะบาลานซ์ชีวิตยังไง ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองทำได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

“อันดับสุดท้าย เราได้เจอคนที่รักเรา ได้เจอแฟนๆ ที่คอยซัพพอร์ตเราเสมอ ไม่คิดว่าจะมีคนชื่นชอบผลงานเรา รักเรามากขนาดนี้ ถ้าผมไม่ได้เป็นเดอะสตาร์ก็คงเป็นพนักงานแบงค์สักแห่ง เพราะเราเรียนเศรษฐศาสตร์ เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่วงการนี้เปลี่ยนให้เราเป็น ‘กัน’ นภัทร ซึ่งมีคนรู้จัก มีชีวิตใหม่ ถามว่าสุขไหม มันก็มีความทุกข์ด้วยเหมือนกัน แต่เทียบกันแล้วความสุขมีมากกว่า ถือว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่เราต้องแลกมา”

ความสุขของกันในทุกวันนี้นั้นเรียบง่าย เพียงแค่ได้ทำงานที่เขารัก “ความสุขของผมอยู่รอบๆ ตัว เช่น ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือการได้ทำงานไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เล่นละคร ออกรายการทีวี เหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เรามีรายได้ มีโอกาสทำงานในวงการบันเทิงต่อไป คืออนาคตของเรา คือความสุขของเราครับ”

สุดท้ายนี้ ‘กัน’ นภัทร ผ่านงานมาหลากหลายแขนง ยังมีสิ่งไหนที่ใฝ่ฝันจะทำอีกบ้าง “ผมอยากทำธุรกิจ ส่วนตัวเป็นคนไม่กล้าเสี่ยง ทุกวันนี้ยังฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยๆ อยู่เลย ไม่กล้าเล่นหุ้นแบบคนอื่น แต่ผมมีความใฝ่ฝันอยากเปิดคาเฟ่ที่บ้านจังหวัดสุพรรณบุรี ผมเลี้ยงแคคตัส (ต้นกระบองเพชร) รวมๆ ที่ซื้อมาก็ราคาสูงพอสมควร แล้วเราก็ขยายพันธุ์ไปเรื่อย เลยถูกแม่บ่นตลอดว่าเรามีมากขนาดนี้ไม่คิดจะขายบ้างเหรอ ช่วงที่ผ่านมาจึงลองขายประมาณสิบต้น ได้เงินมาสอง-สามหมื่นเลย เออ สิ่งนี้ก็สร้างรายได้เหมือนกันนะ ผมจึงอยากทำคาเฟ่แคคตัส วางแผนทุกอย่างแล้ว รอแค่จะทำจริงเมื่อไหร่ ทว่าสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่แน่นอน รอดูก่อนดีกว่า เพราะถ้ามีล็อคดาวน์อีก รายได้ก็หายอีก ขอเก็บสตางค์อีกสักพักดีกว่าครับ”


Shanghai Mansion Bangkok

479-481 Yaowaraj Road, Samphantawong, Bangkok 10100

Tel. + 66 (0) 2221 2121

www.shanghaimansion.com

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!