โชคดีที่มีธรรม

-

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน พระมหาสมปองมาอีกแล้ว มาพร้อมกับ “ธรรมะอมยิ้ม” เหมือนเคย  

โยมทุกท่าน พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่มีรูปใดจะดึงดูดใจชายได้เท่ากับรูปของสตรี ไม่มีเสียงใดจะดึงดูดใจชายได้เท่ากับเสียงของสตรี ไม่มีสัมผัสใดจะดึงดูดใจชายเท่ากับสัมผัสของสตรี

ในทางกลับกัน  ไม่มีรูปใดจะดึงดูดใจสตรีได้เท่ากับรูปของบุรุษ ไม่มีเสียงใดจะดึงดูดใจสตรีได้เท่ากับเสียงของบุรุษ ไม่มีสัมผัสใดจะดึงดูดใจสตรีเท่ากับสัมผัสของบุรุษ

ไม่มีรสใดที่ยิ่งใหญ่เท่ากับรสของพระธรรม เพราะรสของพระธรรมทำให้ชื่นใจ ทำให้เราพบความสุขสงบเย็นได้

ดังนั้น  ท่านทั้งหลายจึงควรลิ้มรสที่เลิศ รสที่ประเสริฐ คือรสของพระธรรม เพราะเป็นรสที่ทำให้เกิดความสุข ความชื่นใจ  ความสงบเย็น เป็นรสที่ชนะรสทั้งปวง

 

โยมทั้งหลาย ไม่ว่ายุคไหน สมัยใด ธรรมะไม่เคยล้าสมัย แต่ทันสมัยใหม่เสมอ

ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเราจะมีสุขสมหวังดังใจปรารถนา หรือมีทุกข์จนหลั่งน้ำตา ปัญหาชีวิตประดังกันเข้ามา เราก็ต้องมีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว

ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้ในการใช้ชีวิตว่า เวลาสุขจงตักตวงความสุขอย่างมีสติไม่ประมาท  เวลามีความทุกข์  ก็จะได้เรียนรู้อย่างเท่าทัน เพื่อเป็นเกราะกำบังแก่จิตใจ

ถ้าให้เปรียบเทียบ ธรรมะก็เหมือนน้ำ

ธรรมชาติของน้ำคือความเย็นสบาย คลายความร้อน  เป็นประโยชน์แก่ร่างกายมนุษย์และสรรพสิ่ง ที่สำคัญน้ำแทรกซึมได้ทุกที่

ธรรมะก็เช่นกัน ไม่ว่าสังคมจะสงบเย็นหรือวุ่นวาย ธรรมะก็เป็นที่พึ่งของเราได้อย่างดี

เมื่อคนได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม ธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมไม่ให้ตกลงสู่ที่ต่ำ อย่าเพียงแต่ศึกษาเพราะมันจะไม่เกิดประโยชน์อันใด ขอฝากทุกท่านไว้ว่า ธรรมะใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ  ธรรมะใดก็มีค่าถ้าเราทำ

หลายท่านถามอาตมาว่า ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเราถือว่าเป็นยุคเทคโนโลยี  ยุคไอที ยุคของโลกไซเบอร์ ธรรมะมีความจำเป็นแก่ชีวิตในยุคนี้ไหม

โยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน เราก็ต้องมีสิ่งที่ชี้นำทางเพื่อให้เกิดแสงสว่าง มีปัญญาที่จะขจัดความเขลา  ไม่ให้เทคโนโลยีมีอิทธิพลเข้าครอบงำจนชีวิตเราตกเป็นทาสของเทคโนโลยี

 

โยมทุกท่าน บุคคลใดก็ตามที่มีปัญญา มีธรรมะในการดำเนินชีวิต ธรรมะเปรียบเสมือนดาวเหนือ เป็นแสงสว่างแห่งนักเดินทาง

บุคคลใดมีกัลยาณมิตรเหมือนมีดวงอาทิตย์ประจำตัว  ที่จะคอยให้แสงสว่างแก่ชีวิตและช่วยแก้ปัญหา

บุคคลใดมีธรรมะเป็นดังดวงปัญญา  ธรรมะและปัญญานี้จะชี้ทางสว่างเมื่อเรามืดมน

โยมทุกท่าน   คนเราเมื่อเกิดมาในโลกนี้  สิ่งหนึ่งที่ติดตัวติดใจเรามาด้วยคือ  รัก  โลภ  โกรธ  หลง  สมหวังบ้าง  ผิดหวังบ้าง  ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง   มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เรา

สิ่งที่ทำให้คนต่างจากสัตว์ คือมีความละอายชั่ว กลัวบาป  ไม่ว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ธรรมะก็ยังมีความจำเป็นแก่คนเสมอมา

เมื่อใดที่คนเราไม่สนใจธรรมะ ห่างเหินธรรมะ ไม่ใช้ธรรมะเป็นครรลองในการดำเนินชีวิต เมื่อนั้นโลกนี้ก็เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ  ความหลง หยิ่งทะนงในอัตตาของตนเอง  เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น กอบโกยทุกอย่างเพียงเพื่อตอบสนองความอยากของตนและพวกพ้อง

ดังนั้นฉบับนี้อาตมาขอหยิบยกธรรมะที่หลวงพ่อปัญญานันทะได้กล่าวไว้เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตคือ

มนุษย์เรานั้นมีหน้าที่ต้องทำ  และท่านได้กล่าวว่า  คนเรามีสามหน้าที่หลักๆ คือ

          หนึ่ง  หน้านอก   คือ  หน้าตา  ดูแลให้งามแบบสมวัย    

          สอง หน้าใน  คือ จิตใจของเรา   ต้องดูแลให้ดี   หมั่นพัฒนาจิตใจของตนเองให้มีความเข้มแข็ง

          สาม หน้าที่   คือ  ความรับผิดชอบ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน   ครอบครัว   และความรับผิดชอบต่อสังคม

ท่านได้กล่าวสรุปไว้ว่า   หน้านอกบอกความงาม หน้าในบอกความดี หน้าที่บอกความสามารถ หน้านอกแต่งให้พอดี หน้าในและหน้าที่แต่งให้มากๆ

บางคนแต่งหน้านอกซะเลยเถิด  ออกจากบ้านหมางง  ไม่รู้ว่าจะเห่าหรือหอนดี แบบนี้มันก็เกินไปนะโยม

ก่อนจากกันไปอาตมาขอฝากเรื่องของหน้าที่นิดหนึ่งนะโยม

ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ครูกำลังสอนเรื่องหน้าที่ ครูได้บอกว่าครูมีหน้าที่สอนหนังสือให้แก่นักเรียน ให้อ่านออกเขียนได้

แล้วครูก็ถามนักเรียนคนหนึ่งว่า แม่ทำงานอะไร  มีหน้าที่อะไร

เด็กตอบว่า  แม่เป็นพยาบาล  มีหน้าที่ดูแลคนป่วยครับ

ครูก็ถามต่อไปว่า  พ่อหนูล่ะ

เด็กตอบว่า   พ่อผมทำงานหลายอย่างครับ  แล้วแต่ว่าแม่จะสั่งครับ คุณครู

สรุปว่า ธรรมะคือหน้าที่  ธรรมะนั้นเป็นของดี ใครทำหน้าที่ได้ดี รู้ได้ทันทีว่ามีธรรมะ

เจริญพร


คอลัมน์: ธรรมะอมยิ้ม

เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปตฺโต

ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!