ในวงการช่างภาพสถาปัตยกรรมของเมืองไทย คงไม่มีใครไม่รู้จัก สมคิด เปี่ยมปิยชาติ หรือ พี่คิด กันอย่างแน่นอน แต่ “ธุรกิจหนังสือ” ฉบับนี้ ขอพาผู้อ่านมารู้จักเขาในอีกบทบาทหนึ่ง เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังหนังสือภาพดีไซน์สุดเท่ในนามของ “สำนักพิมพ์ Fullstop” เรามาร่วมไขข้อสงสัยว่าจากช่างถ่ายภาพที่เคยเป็นตำนาน เมื่อต้องมารับหน้าที่เป็นทั้งเจ้าของและบรรณาธิการสำนักพิมพ์ เขาจะบริหารและจัดการธุรกิจได้อย่างไร

สมคิดเคยทำงานด้านสถาปนิกมา 3 ปี ก่อนมาเป็นช่างถ่ายภาพด้านสถาปัตยกรรมอีก 10 ปี จนสามารถมีสตูดิโอถ่ายภาพของตัวเอง ถ้าจะให้ถ่ายรูปต่อก็ทำได้ แต่เขากล่าวว่าความตื่นเต้นมันลดลงแล้ว การถ่ายภาพมีสิ่งจำเป็นสองอย่าง หนึ่งคือความแข็งแรงของร่างกาย และสองคือการกระตุ้นตัวเองให้หาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ การคร่ำหวอดอยู่ในวงการถ่ายภาพมากว่า 10 ปี ทำให้สมคิดเริ่มเห็นว่าแนวทางถ่ายภาพมันซ้ำๆ เดิมๆ เขาจึงร่วมก่อตั้งนิตยสาร Summer พร้อมรับหน้าที่บรรณาธิการฝ่ายภาพ เพื่อกระตุ้นตัวเองให้สามารถถ่ายภาพในแนวทางของตัวเองได้โดยไม่ต้องรับจ้างใคร
ระหว่างทำนิตยสาร Summer ประมาณ พ.ศ.2544-2545 สมคิดเริ่มหันเหมาทำหนังสือเล่มควบคู่กันไป เพราะค้นพบว่านิตยสารยังไม่ใช่ตัวตนที่เขากำลังค้นหา สิ่งที่เขาต้องการคือการต่อยอดภาพถ่ายที่ถ่ายมาในแต่ละครั้ง ไม่ใช่ถ่ายแล้วก็จบกันไป เขาคิดว่าสามารถนำภาพถ่ายมาเพิ่มมูลค่าได้ หนังสือเล่มแรกที่ดำเนินตามแนวคิดนี้ ภายใต้ชื่อสำนักพิมพ์ Fullstop จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นชุดภาพถ่ายที่เขาถ่ายเฉพาะ ‘พื้น’ ขณะเดินทางที่ยุโรป มาสร้างเป็นโปรเจ็กต์ Walking Stories เรื่องพื้น ๆ โดยเชิญนักเขียน 7 คน มาร่วมรังสรรค์เรื่องราวจากภาพถ่ายชุดนี้ด้วย หลังจากนั้นเขาก็ทำหนังสือชุดเดิมออกมาอีก แต่ครั้งนี้เชิญนักวาดการ์ตูน 7 คนมาวาดภาพ ผลปรากฏว่าเป็นที่นิยมกว่าเล่มแรก จึงเป็นการจุดประกายให้ทำหนังสือภาพวาดอย่างจริงจัง
หากภาพถ่ายชุด Walking Stories เรื่องพื้น ๆ วางขายในนามของสมคิด คาดเดาว่าจะต้องเป็นหนังสือที่ขายดีได้ไม่ยาก แต่ที่เขาไม่ทำเช่นนั้นเพราะไม่ต้องการใช้สถานะของการเป็นคนที่มีชื่อเสียง อยากให้คนสนใจที่ตัวผลงานมากกว่า และการที่ไม่มีชื่อเสียงทำให้ต้องคิดงานออกมาให้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาของการดีไซน์รูปเล่มให้มีลูกเล่น สามารถเปิดพลิกไปมา รูปแบบตัวหนังสือไม่ตายตัว ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างนี้จะทำให้คนที่อ่านมองเห็นคุณค่าของตัวงาน ถือเป็นการบรรลุจุดประสงค์ในการทำหนังสือของเขาแล้ว อย่างไรก็ดี เป้าหมายจริงๆ คือหนังสือเล่มนั้นต้องไม่เจ๊ง
“ทำให้งานมันเท่ ทั้งยังได้ตัวเลขที่เป็นรายได้และกำไร แต่ทำแล้วต้องมีความฝัน ไม่ใช่ทำเพื่อเอาตัวเลขอย่างเดียว”
การทำธุรกิจโดยไม่ละทิ้งความฝันนี้เอง ทำให้สมคิดยังไม่ทิ้งการแอบถ่ายรูประหว่างเดินทางไปขายหนังสือตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสะสมไว้สำหรับรวมเป็นเล่มของตัวเอง ผลงานรวมเล่มของเขาจึงวางอยู่ปะปนในหมู่หนังสือภาพของ Fullstop ด้วย “เราถ่ายภาพสนองความต้องการตัวเองแล้วแอบใส่ลงไปงาน มันเป็นพื้นฐานจากงานสถาปัตยกรรม เพื่อเชิญชวนให้ช่างภาพสถาปัตยกรรมมาดู แต่ในขณะเดียวกันคนทั่วไปสามารถสัมผัสถึงความเป็นสถาปัตยกรรมอยู่หน่อย ๆ โดยที่เราไม่ได้ยัดเยียดให้เขา”
การไปขายหนังสือตามงานต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติหรือตามต่างจังหวัด ทำให้ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกค้าซึ่งไม่รู้ว่าเขาคือเจ้าของสำนักพิมพ์ ทำให้เขาได้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา และได้ข้อสรุปถึงวิธีการทำหนังสือให้ดีและขายได้ “น้องๆ ที่ทำสำนักพิมพ์ต่าง ๆ มาถามพี่ว่าทำยังไงถึงจะอยู่ได้ พี่ก็แนะนำให้ใช้วิธีนี้คือต้องทำให้หนังสือดังก่อนที่หนังสือจะออก นักเขียนมีหน้าที่ต้องทำตัวเองให้ดัง ดังด้วยเรื่องงานก็ได้ หรือจะดังด้วยตัวตน เพื่อให้แฟนๆ เชื่อในงานของเขา ถ้าทำออกมาแล้วไปวางขายเลย มันไม่ใช่ยุคแบบนั้นแล้ว”
เมื่อถามว่าทำไมเขาลดราคาหนังสือครั้งเดียวในงานสัปดาห์หนังสือแค่ 15% เขาให้เหตุผลว่า “เพราะถ้าลดเยอะจนเกินไปจะทำให้เสียระบบทั้งหมด คนรอซื้อเฉพาะตอนลดราคา แล้วคุณค่าของหนังสือก็จะลดลง เราทำหนังสือให้คนที่ซื้อไปแล้วรู้สึกคุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ทำให้ราคาถูก แต่หมายถึงการทำหนังสือให้ดี ให้คุ้มค่ากับงานที่ลูกค้าควรจะได้มากกว่า” เหตุนี้เองจึงทำให้หนังสือของ Fullstop พิถีพิถันทั้งดีไซน์รูปเล่มและเนื้อหา
เนื้อหาหนังสือของ Fullstop มีการแบ่งโทนอารมณ์ไว้อย่างชัดเจน โทนสดใส เช่น งานของ “ศศิ” โทนดาร์ก เช่น งานของ “ทรงศีล ทิวสมบุญ” แล้วยังมีโทนกลางๆ อีกด้วย ไม่จำกัดหนังสือเพียงโทนใดโทนหนึ่ง เพราะหนังสือภาพ กราฟิก โนเวล หรือนิยายภาพ ควรมีหลากอารมณ์
สมคิดทำธุรกิจหนังสือภาพมาสิบกว่าปี จนมีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์และชัดเจน เขาสามารถให้คำแนะนำแก่คนรุ่นใหม่ นักเขียน หรือนักวาดที่สนใจที่ต้องการเปิดสำนักพิมพ์หนังสือภาพเป็นของตัวเองได้ เขามองว่าถ้ามีสำนักพิมพ์ใหม่ๆ เปิดตัวขึ้นเรื่อยๆ ผลิตหนังสือภาพออกมาเพิ่มขึ้น ตลาดหนังสือภาพก็จะเติบโต ขยายใหญ่จนเป็นแหล่งรวมที่จะช่วยกันดึงคนอ่านเข้ามาเลือกซื้อได้อย่างหลากหลาย เมื่อมีตลาดหนังสือภาพมากขึ้นแล้วก็จะสามารถกระตุ้นให้แต่ละสำนักพิมพ์แข่งกันด้วยคุณภาพและมาตรฐานของผลงาน
Fullstop ทำให้เราเห็นว่าความฝันและธุรกิจสามารถทำไปได้พร้อมกัน ถ้าเราดีไซน์มันออกมาให้ลงตัว
เรื่อง : กันยา
ภาพ : อนุชา ศรีกรการ