นานาอาหารที่ห้ามให้สุนัขในบ้านกิน

-

นานาอาหารที่ห้ามให้สุนัขในบ้านกิน

ถ้าถามว่า สัตว์ชนิดใดที่ผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศนิยมเลี้ยงกันมากที่สุด คำตอบหนึ่งที่น่าจะได้ยินก็คือ สุนัข  ซึ่งเป็นเพื่อนของมนุษยชาติมาเนิ่นนานหลายพันปี และนับวันยิ่งเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากขึ้น มีสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งขนาด หน้าตา หรือแม้แต่นิสัย ได้รับการเพาะเลี้ยงปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาตามความชอบของผู้เลี้ยง

แต่การเลี้ยงดูสุนัขของเราให้มีสุขภาพดี มีร่างกายแข็งแรง ไม่ป่วยเป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย ก็จำเป็นต้องใส่ใจดูแลความเป็นอยู่ของพวกมัน รวมถึงอาหารของสุนัข ก็ควรเลือกให้เหมาะสมด้วย ไม่ใช่เพียงแค่แบ่งอาหารแต่ละมื้อของเราให้สุนัขกิน เพราะมีอาหารหลายอย่างที่แม้คนเราจะบริโภคได้อย่างปลอดภัย แต่อาจเป็นอันตรายแก่สุนัขได้

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าอาหารหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผักผลไม้ ร่างกายของมนุษย์สามารถย่อยเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ได้ แต่กลับกลายเป็นสารพิษหรือวัตถุอันตรายสำหรับร่างกายของสุนัข ความปรารถนาดีที่เจ้าของอยากให้สุนัขได้รับสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จึงกลายเป็นการทำร้ายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นี่ยังไม่นับรวมถึงการให้อาหารแก่สุนัขมากจนเกินไป เลยเกิดโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่นๆ

ตัวอย่างพื้นๆ ของความผิดพลาดจากความไม่รู้ของผู้เลี้ยง คือ การให้สุนัขกินเนื้อไก่ติดกระดูก เพราะเชื่อตามกันมาว่าสุนัขมักชอบแทะกระดูกเล่น แต่กระดูกไก่นั้นแตกหักได้ง่าย กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แหลมคม และอาจตำติดคาหลอดอาหาร หรือแม้แต่เข้าไปแทงทะลุกระเพาะและทางเดินอาหารได้ จึงควรแกะฉีกเอาเฉพาะส่วนเนื้อไก่ให้เป็นอาหารแก่สุนัข ซึ่งก็ต้องระวังอีกด้วยว่าสุนัขของท่านนั้นแพ้โปรตีนในเนื้อไก่หรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าสุนัขจะเป็นสัตว์กินเนื้อตามธรรมชาติ แต่บางตัวอาจเกิดอาการแพ้เนื้อไก่ เนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อแกะ ฯลฯ ได้

แล้วกระดูกหมูกับกระดูกวัวล่ะ สุนัขกินได้อย่างปลอดภัยหรือไม่? คำตอบก็คือ “ไม่ปลอดภัย” เช่นกัน เพราะกระดูกหมูกระดูกวัวนั้นเมื่อถูกนำไปต้มหรือให้ความร้อนแล้ว ก็สามารถแตกหักได้ง่ายเหมือนกระดูกไก่ อาจแทงเนื้อเยื่อในช่องปาก ติดคอ ทิ่มหลอดอาหาร ทะลุกระเพาะ อุดตันลำไส้ จนต้องผ่าตัดช่วยชีวิต เพื่อเอาเศษกระดูกออกมา

ยิ่งพวกสุนัขตัวโตๆ ยิ่งชอบกลืนกระดูกชิ้นเล็กเข้าไปทั้งอัน ถ้าจะให้สุนัขแทะกระดูกหมูกระดูกวัวเล่น ก็ต้องเป็นกระดูกขนาดใหญ่ และเป็นกระดูกจากเนื้อดิบ ถึงจะไม่แตกเป็นชิ้นเล็กๆ  แต่ก็ต้องระวังการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค เช่น เชื้อแซลโมเนลลา (Salmonella) เชื้ออีโคไล (E. coli) หรือเนื้อเริ่มเน่าเสียถ้าเก็บไว้หลายวัน รวมทั้งควรให้สุนัขอยู่ในสายตาของเจ้าของด้วย เผื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการแทะกระดูก จะได้นำส่งคลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์อย่างทันท่วงที

            นอกจากกระดูกแล้ว ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่ห้ามให้สุนัขกิน แม้ว่าดูเหมือนมันจะชอบกินก็ตาม ตัวอย่างเช่น “ช็อกโกแลต” โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกดาร์กช็อกโกแลต นั้นมีสารเคมีชื่อว่า เมทิลแซนทีน (methylxanthine) ที่เป็นพิษเป็นภัยแก่สุนัขเนื่องจากไปกระตุ้นกระบวนการเมทาบอลิซึมในร่างกาย ถ้าสุนัขกินช็อกโกแลตเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจท้องเสียและอาเจียนได้ ขณะที่ถ้ากินเข้าไปมากๆ จะทำให้เกิดอาการชัก หัวใจเต้นไม่คงที่ตามปรกติ และถึงตายได้ในที่สุด

กระเทียม หัวหอม หอมแดง ต้นหอมจีน ต้นหอมฝรั่ง และพืชอื่นๆ ที่อยู่ในวงศ์เดียวกันนี้ ล้วนเป็นอันตรายแก่สุนัขได้ถ้ากินเข้าไป เนื่องจากมีสารประกอบตามธรรมชาติกลุ่มที่เป็นอนุพันธ์ของซัลเฟอร์ (หรือกำมะถัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พืชกลุ่มนี้มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว) แม้ว่าร่างกายคนเราจะย่อยสลายสารพวกนี้ได้และไม่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ แต่กลับเป็นพิษร้ายแรงแก่สุนัข โดยก่อให้เกิดอาการโลหิตจางเนื่องจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง เหงือกของสุนัขจะมีสีซีดลง ไม่แดงสดใส หัวใจเต้นเร็วผิดปรกติ อ่อนเพลีย และล้มป่วย พิษที่อยู่ในกระเทียมและหัวหอมนี้อาจออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า หรือหลายวันให้หลัง จึงจำเป็นต้องคอยเฝ้าดูอาการอย่างต่อเนื่อง ถ้าสงสัยว่าสุนัขกินเข้าไป

            องุ่น (รวมถึงลูกเกด) ก็เป็นผลไม้ที่ทราบกันดีว่าเป็นพิษเป็นภัยแก่สุนัข และห้ามให้กินแม้เพียงแค่ลูกเดียวก็ตาม เพราะอาการอาจกำเริบได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ขาดน้ำ จนถึงไตล้มเหลวและเสียชีวิต แม้งานวิจัยจะยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่าเป็นเพราะสารเคมีตัวใดในองุ่นที่ก่อให้เกิดอาการเช่นนั้น

สุนัขบางตัวอาจมีปัญหาในการย่อยน้ำตาลแล็กโทสที่อยู่ในนม คล้ายกับเราหลายคนที่ตอนเด็กๆ เคยกินนมแม่หรือนมวัวได้ แต่เมื่อโตขึ้นและเลิกดื่มนม ร่างกายจึงหยุดผลิตเอนไซม์ที่จะช่วยย่อยน้ำตาลแล็กโทส และเกิดอาการไม่สบายท้อง ท้องเสียหรือท้องอืดเมื่อดื่มนม จึงไม่ควรให้กินอาหารหรือขนมที่มีส่วนผสมของนม เช่น ไอศกรีม

กระแสความเชื่อที่เผยแพร่กันในโลกโซเชียล เรื่องให้สุนัขกินอาหารดิบ เช่น เนื้อดิบ เครื่องในดิบ ไข่ดิบ โดยอ้างว่าจะทำให้สุนัขมีขนเป็นเงางาม สุขภาพผิวและฟันดีขึ้น มีพลัง  ฯลฯ ก็ก่อให้เกิดปัญหาแก่สุขภาพของสุนัขได้อันเนื่องจากการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรค ซ้ำร้ายอาจแพร่มาสู่คนที่เป็นเจ้าของด้วย ตัวอย่างเช่น ไข่และเนื้อไก่อาจมีเชื้อแบคทีเรียแซลโมเนลาปนเปื้อนอยู่ ส่วนเนื้อหมูดิบ อาจมีตัวอ่อนของพยาธิตัวกลม Trichinella spiralis ที่ทำให้เกิดโรคทริคิโนซิส (trichinosis) เนื่องจากพยาธินี้กลายเป็นปรสิตในร่างกายของสุนัขที่กินเข้าไป เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องร่วง เป็นไข้ กล้ามเนื้ออักเสบ ฯลฯ ได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบเชื้ออีโคไล ชนิดที่ดื้อต่อยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (antibacterial-resistant E. Coli) ในสุนัขที่กินอาหารดิบเป็นประจำอีกด้วย และอาจแพร่มาสู่เจ้าของของมันได้

ดังนั้น อย่าปล่อยให้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความเชื่อตามๆ กันมา ทั้งความเชื่อพื้นบ้าน หรือที่เผยแพร่ในโลกโซเชียล ทำให้สัตว์เลี้ยงแสนรักของเราต้องเจ็บป่วยหรือแม้แต่เสียชีวิต เพียงเพราะสาเหตุจากอาหารมื้อสุดท้ายของมัน


คอลัมน์: คิดอย่างวิทยาศาสตร์

เรื่องและภาพ: รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!