หากย้อนรอยประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในแต่ละชุมชน แต่ละสังคม ล้วนเต็มไปด้วยความขัดแย้งในทุกช่วงเวลา แม้กระทั่งสังคมไทยของเราช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็เกิดความขัดแย้งทางความคิดค่อนข้างสูง นอกเหนือจากความสูญเสียและความเจ็บปวดแล้วเราได้บทเรียนอะไรบ้าง หากมนุษย์สามารถเอาชนะและก้าวผ่านความขัดแย้งได้ วิกฤติดังกล่าวก็จะสอนให้เรารู้จักยอมรับความแตกต่าง การประนีประนอม และการหาข้อตกลงร่วมกันเพื่อให้สังคมรุดหน้าต่อไปได้
คาธ คือนิยายวายจากปลายปากกานักเขียนมากความสามารถอย่าง “ปราปต์” ซึ่งได้รับการสร้างเป็นซีรีส์แพร่ภาพทางช่อง GMM25 ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มสองคน ซึ่งมีแนวคิดที่ผิดแผกกันคนละขั้ว คนหนึ่งมีแนวคิดอนุรักษนิยม ส่วนอีกคนเป็นตัวแทนของฝ่ายหัวก้าวหน้า แม้ความเห็นจะไม่ลงรอยกันแต่ทั้งสองก็เรียนรู้ความต่างของกันและกัน และปรับตัวเข้าหากัน นักแสดงนำของซีรีส์เรื่อง คาธ ได้แก่ ‘เฟิร์ส’ คณพันธ์ ปุ้ยตระกูล รับบท ‘อักก์’ สารวัตรนักเรียนผู้มุ่งมั่นสืบทอดกฎระเบียบอันดีงามของโรงเรียน และ ‘ข้าวตัง’ ธนวัฒน์ รัตนกิจไพศาล รับบท ‘อายัน’ นักเรียนใหม่ที่พร้อมตั้งคำถามต่อกฎระเบียบอันคร่ำครึ ออลฯ มีโอกาสได้สนทนากับสองหนุ่ม สองสไตล์ ถึงบทบาทที่ฉีกแนวจากตัวตน การทำงานร่วมกัน และแนวคิดอันผิดแผกของพวกเขาทั้งสอง
‘เฟิร์ส’ คณพันธ์ ปุ้ยตระกูล
เฟิร์สเล่าถึงวัยเด็กของตนว่า มีอุปนิสัยชอบคล้อยตามคน ตามเพื่อน ใครทำอะไรก็ทำด้วย “เฟิร์สไม่แน่ใจว่าชอบเข้าสังคมหรือแค่ไม่อยากเหงา เวลาอยู่คนเดียวแล้วเบื่อเลยชอบจอยกับเพื่อน เพื่อนไปห้องน้ำ ไปด้วย เพิ่งกลับมาไม่ถึง 5 นาทีก็ไปอีกแล้ว เฟิร์สไม่เกเร แต่ไม่จัดเป็นเด็กเรียนขนาดนั้น ไม่ค่อยตั้งใจเรียนในห้อง แต่ชอบฟังตอนเพื่อนติว จับใจความเร็ว ก็จะได้ความรู้ตอนนั้นไปสอบ”
เฟิร์สมีโมเดลลิ่งทาบทามและเริ่มแคสต์งานบันเทิงตั้งแต่มัธยมปลาย แต่ก็ไม่เคยผ่านและได้งานเลย แม้ว่าจะอยู่ชมรมละครเวทีและเรียนรู้การแสดงจากผู้มีประสบการณ์ จนเกือบเรียนต่อมหา’ลัยในสาขานี้ ทว่าเขาก็ตัดสินใจไม่สานต่อและเลือกเรียนด้านการจัดการธุรกิจออนไลน์แทน วงการบันเทิงจึงเหมือนอยู่ใกล้ตัวเขาก็ไม่ใช่อยู่ไกลก็ไม่เชิง แต่แล้วโชคชะตาก็ชักพาให้เขาเข้าสู่วงการบันเทิงในที่สุด เมื่อเฟิร์สได้รับตำแหน่งเดือนคณะ จนไปเข้าตา GMMTV และเรียกมาแคสต์บท ด้วยความสามารถทางการแสดงที่มีติดตัว เขาจึงสามารถอิมโพรไวส์บทจนถูกใจผู้กำกับ และได้แสดงซีรีส์ เป็นนักแสดงในสังกัด GMMTV
อักก์
ซีรีส์เรื่องคาธ นั้นถือเป็นการแสดงซึ่งพลิกบทบาทของเฟิร์ส “คำว่า ‘คาธ’ มาจากสุริยคราสครับ เราชินกับการเขียน ‘คราส’ แต่จริงๆ สามารถเขียน ‘คาธ’ ได้เป็นคำโบราณ แนวเรื่องลึกลับ-โรแมนติก ตัวละครอายันสวมบทโดยข้าวตัง ย้ายเข้ามาเป็นเด็กใหม่ของโรงเรียน เพื่อสืบหาเงื่อนงำการฆ่าตัวตายของน้าชายซึ่งเป็นอดีตครูของโรงเรียนนี้ เมื่อใดที่มีคนทำผิดกฎระเบียบโรงเรียนก็จะเกิดอาถรรพ์ และยิ่งทวีความรุนแรงในวันใกล้สุริยคราส เรื่องราวจะพาผู้ชมไขปริศนา พร้อมกับการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร
“อักก์ที่ผมรับบทนั้น ภายนอกดูเป็นคนแข็งๆ ทื่อๆ แต่ภายในค่อนข้างอ่อนไหว ปากไม่ตรงกับใจ ไม่แสดงออกตามที่รู้สึก และพยายามหนีจากตัวตนแท้จริงซึ่งผิดจากที่ได้รับการปลูกฝังมา จึงกลายเป็นนิสัยที่มักหนีจากทุกอย่างที่ไม่ถูกต้อง วิธีการหนีของเขาคือการทำตัวอยู่ในกรอบ ยอมจำนนต่อกฎ
“สิ่งที่ผมชอบในแคแรกเตอร์นี้คือการที่ตัวละครมีพัฒนาการ ช่วงต้นคนดูอาจรู้สึกรำคาญเธอจัง ทำไมคิดแบบนี้ อยากขอคนดูให้โอกาสอักก์หน่อย ให้เขาได้เรียนรู้เติบโต รับรองว่าเขาจะไม่เป็นแบบนี้ไปตลอด ชื่อของอักก์แปลว่าพระอาทิตย์ ส่วนอายันแปลว่าการมาถึง การเจอกันของสองคนนี้ก็เหมือนสุริยคราส พอพระจันทร์กับพระอาทิตย์มาเจอกัน เกิดความมืดมิด จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนออก เกิดแสงสว่างใหม่อีกครั้ง เสมือนการตื่นรู้ การเปลี่ยนแปลงและยอมรับแนวคิดใหม่”
ตัวตนของเฟิร์สกับอักก์แม้ดูจะต่างกันคนละขั้ว ทว่าภายในใจลึกๆ ก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ “คนอาจคิดว่าเฟิร์สกับอักก์ต่างกันมาก แต่พอแสดงไปสักพัก เฟิร์สซึมซับบทจนไม่รู้สึกต่าง หลอมรวมกันไปหมด แต่ช่วงแรกๆ คงเป็นความเงียบ ความนิ่งของอักก์ที่ต่างจากเฟิร์ส เพราะผมพูดเยอะ ส่วนสิ่งที่เหมือนกันของเฟิร์สกับตัวละครอักก์คือการเป็นคนเก็บความรู้สึก เฟิร์สเพิ่งรู้ตัวหลังจากรับบทอักก์ว่าตัวเองเป็นคนเก็บความรู้สึกที่รอวันระเบิดนะ เฟิร์สเก็บทุกความรู้สึกทั้งดีและไม่ดี ความรู้สึกดีๆ ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว แต่ไม่ดีนี่สิ แทนที่จะระบายอารมณ์หรือพูดออกมาตรงๆ ผมเลือกปล่อยผ่าน เงียบดีกว่า ไม่อยากมีปัญหา ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ผมได้เรียนรู้ผ่านตัวละครอักก์คือ มีเหตุการณ์ที่เขาระเบิดและพังทลาย เป็นความรู้สึกที่แย่มาก และไม่อยากให้เกิดกับตัวเอง โชคดีที่ผมมีเพื่อนที่สามารถบ่นหรือระบายความรู้สึก เช่น ข้าวตัง ซึ่งช่วยให้ผ่อนคลายในหลายๆ ครั้ง”
อักก์มีมุมมองต่อกฎระเบียบของโรงเรียนว่าคือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ไม่ตั้งคำถาม ไม่คิดว่าสิ่งที่ถูกปลูกฝังนั้นผิด แตกต่างจากเฟิร์สซึ่งมองว่าหากกฎระเบียบที่ใช้นั้นไม่เข้ากับยุคสมัย ทำไมเราจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เข้าใจว่ากระบวนการเปลี่ยนนั้นไม่ง่าย แต่ถ้าไม่ลองเริ่มก็จะไม่มีทางเกิดการเปลี่ยนแปลง
เราตั้งคำถามกับนักแสดงหนุ่มถึงซีนที่ผู้ประท้วงการใส่ยูนิฟอร์มแล้วถูกครูใหญ่ลงโทษให้เป็นผู้นำท่องกฎระเบียบโรงเรียน หากเขาเป็นนักเรียน และมีทางเลือกคือ 1.สามารถใส่ชุดไปรเวตได้ แต่ยังต้องเข้าแถวก่อนเข้าเรียนแล้วปฏิญาณกฎโรงเรียน หรือ 2. สวมยูนิฟอร์มตามกฎโรงเรียน แต่ไม่ต้องเข้าแถวเพื่อท่องกฎอีกแล้ว เขาจะเลือกข้อใด เฟิร์สตอบว่า “อยากเลือกทั้งคู่สลับกันแล้วแต่อารมณ์ วันไหนอยากทำอย่างไหนก็เลือกอย่างนั้นได้ไหม (หัวเราะ) ถ้าต้องเลือกข้อเดียวเฟิร์สเลือกใส่ชุดไปรเวต ไม่ชอบให้ใครมาจี้ มาพร่ำบ่น บังคับ ก็ใส่ชุดยูนิฟอร์มให้มันจบเรื่อง แต่จะมีคำถามในใจว่าแล้วการท่องกฎโรงเรียนมีผลดียังไง”
การสวมบทอักก์ยังส่งผลให้เฟิร์สปรับเปลี่ยนมุมมองไปจากเดิม “ผมได้เรียนรู้เรื่องการยอมรับตัวเอง กล้าบอกความต้องการหรือความรู้สึกออกไปตรงๆ ไม่ปล่อยผ่าน ช่างมันเถอะ หรือเก็บไว้ในใจแบบที่มักทำ หลายครั้งที่ผมอยู่รวมกับคนเยอะๆ พอเห็นบรรยากาศเงียบ ผมจะชวนคุยโดยอัตโนมัติ เพราะคิดว่าถ้าปล่อยไว้เฉยๆ จะอึดอัดกันรึเปล่า ถ้าอย่างนั้นฉันชวนทุกคนคุยดีกว่า ทั้งที่ผมก็อยากนั่งเงียบๆ พักผ่อนเหมือนกัน แต่ฝืนร่าเริงเพื่อสร้างบรรยากาศ การยอมรับตัวเองสอนให้รู้ว่าถ้าเราไม่อยากลุกขึ้นมาเฮฮา เราไม่ต้องทำก็ได้ เรานั่งเฉยๆ ได้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องการกิน ที่ผ่านมาถ้าถามว่าจะกินอะไรกันดี มักตอบว่า อะไรก็ได้ กินได้หมด จนตัดสินใจไม่ได้สักที ปัจจุบันผมเรียนรู้ที่จะบอกความต้องการออกไปตรงๆ บ้าง
“นอกจากเรื่องมายด์เซ็ตที่เปลี่ยนไปหลังจากแสดงซีรีส์เรื่องนี้แล้ว ผมยังค้นพบจุดแฮปปี้กับการแสดงด้วย เฟิร์สเพิ่งเข้าใจหลังจากเล่นซีรีส์เรื่องนี้ว่าซีนดราม่าไม่จำเป็นต้องร้องไห้โฮนะ แค่น้ำตาคลอก็คืออารมณ์ดราม่าแล้ว เฟิร์สจำแนกระดับอารมณ์ได้ครั้งแรก ซีนนี้ต้องโวยวาย ซีนนี้แค่น้ำตาปริ่ม ซีนนี้น้ำตาคลอ ที่ทำได้เพราะเราเล่นแล้วอิน แสดงกับข้าวตังแล้วพบเมจิกโมเมนต์เยอะมาก อย่างหนึ่งคือพบการไล่ระดับของอารมณ์ จากที่เคยรู้สึกยากกับซีนดราม่าก็ไม่ยากขนาดนั้นอีกต่อไป”
เรื่องที่คาดไม่ถึง
เราถามนักแสดงซีรีส์คาธ ถึงเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอจากซีรีส์เรื่องนี้ “เฟิร์สไม่คิดว่าจะแสดงกับข้าวตังได้ดีขนาดนี้ เฟิร์สรู้ว่าข้าวตังแสดงเก่ง ช่วงแรกที่แสดงก็รู้ทันทีว่าเข้ากันได้ดี แต่พอยิ่งเล่นก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ไปได้ไกลกว่าที่คาดคิด ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีคนที่ทำให้ฉันแสดงแล้วรู้สึกอินได้มากเท่านี้”
นอกเหนือจากการแสดง เฟิร์สยังเล่าถึงเรื่องที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับตัวเขาด้วยว่า “จริงๆ เฟิร์สไม่ชอบพูด เฟิร์สชอบอยู่เงียบๆ แต่ภาพที่ทุกคนเห็นคือเฟิร์สคุยเก่ง เงียบไม่ได้หรอก อันที่จริงที่เฟิร์สพูดเยอะมาจากนิสัยที่กลัวคนอื่นรู้สึกไม่ดีเวลาอยู่กับเรา ถ้าไม่ชวนคุย ถ้าเฟิร์สเงียบใส่ เขาอาจรู้สึกไม่ดี จึงเลือกที่จะเอนเตอร์เทนเขา หลายครั้งเฟิร์สก็อยากนั่งเฉยๆ ไม่พูดอะไรบ้าง เวลาอยู่บ้านเฟิร์สเงียบมาก แล้วรู้สึกดีด้วย ช่วงนี้ยิ่งชอบเพราะโหมงานหนัก เจอผู้คนแทบทุกวัน จึงพูดตลอดจนเกินขีดจำกัด เลยโหยหาการอยู่เงียบๆ เพื่อพักผ่อน”
แม้จะเสียความเป็นส่วนตัวจากการทำงานวงการบันเทิงไปบ้าง แต่ก็แลกมาด้วยความรักและการสนับสนุนจากแฟนคลับที่เชื่อมั่นตัวเขาเสมอมา “เฟิร์สขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส ขอบคุณตัวเองที่ตั้งใจทำ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือผู้คนที่ติดตามเรา เพราะถ้าไม่มีคนดูเฟิร์สก็ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ไปทำไม เพื่อตอบโจทย์ชีวิตตัวเองเหรอ? เราได้คุณค่าแล้วยังไงต่อล่ะ ลึกๆ เราก็หวังให้คนชื่นชอบผลงานของเรา ดูสิ่งที่เราทำ จึงขอบคุณแฟนคลับมากๆ ที่ติดตามกันมา”
ในวันที่เจอเรื่องดราม่าหนักๆ เฟิร์สจัดการความรู้สึกด้วยการระบายให้เพื่อนซี้ฟัง “บ่นให้ข้าวตังฟัง เฟิร์สสบายใจที่จะเล่าเพราะเขาฟังโดยไม่ตั้งคำถาม เอ๊ะ มันฟังจริงรึเปล่า (หัวเราะ) พอเล่าปุ๊บ หายเลย จบตรงนั้น ถ้าเป็นเรื่องหนักหน่วงหน่อยก็ใช้เวลาหลายวัน แต่ก็ดีขึ้นจากการเยียวยาของข้าวตัง การรับฟัง การอยู่เป็นเพื่อน”
ภาพอนาคตของนักแสดงหนุ่มที่วาดไว้คือ อยากทำงานแสดงอย่างต่อเนื่อง มีผลงานคุณภาพให้ได้ชม บทบาทในฝันคือการรับบทมาเฟียสายโหด หรือคนที่รวยมากๆ ซึ่งขัดแย้งกับตัวตนที่แท้จริง เป็นการสัมผัสประสบการณ์ชีวิตแบบหนึ่ง
‘ข้าวตัง’ ธนวัฒน์ รัตนกิจไพศาล
อายันซึ่งสวมบทโดยข้าวตังมีความเป็นแบดบอย ตรงข้ามกับตัวจริงที่ไม่มีรังสีความน่ากลัวเหล่านั้น ยิ้มง่าย ขี้อายหน่อย ข้าวตังคล้ายเด็กต่างจังหวัดคนอื่นที่ไม่คาดคิดว่าตนเองจะเข้าวงการบันเทิงได้ เพราะวงการบันเทิงดูเป็นเรื่องไกลเกินฝันและเป็นไปได้ยากที่โอกาสจะมาถึง เขาจึงเลือกเส้นทางที่ดูมีความเป็นไปได้มากกว่า นั่นคือการสมัครสอบเข้าคณะแพทย์ ทว่าคะแนนยังไม่มากพอจนติดคณะที่หวัง เขาจึงตัดสินใจรอสอบใหม่อีกครั้ง ระหว่างนั้นโอกาสที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น “มีพี่จาก GMMTV เห็นรูปผมในอินสตาแกรม ก็ทักผมเรียกให้มาลองเทสต์หน้ากล้อง ผมว่างอยู่เพราะเป็นช่วงอ่านหนังสือเตรียมสอบใหม่ เลยลงมากรุงเทพฯ ลองดู หลังจากนั้นอีก 3 เดือน เขาก็เรียกให้มาเซ็นสัญญา พอตัดสินใจทำงานด้านนี้ก็เบนเข็มไม่เป็นหมอแล้ว เลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์สิ่งแวดล้อมแทน แล้วมุ่งทำงานวงการบันเทิงควบคู่กันไป”
แม้ไม่เคยมีภาพตัวเองอยู่ในวงการบันเทิง แต่ข้าวตังก็ชื่นชอบการดูละครหรือภาพยนตร์ดราม่า แล้วจินตนาการว่าถ้าเป็นตัวเขาจะสื่ออารมณ์นั้นอย่างไร “ก่อนเล่นซีนดราม่า ข้าวตังจะยืนอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ มองตัวเอง จินตนาการให้เงาในกระจกของเราเป็นอีกคน พอเราคิดเรื่องเศร้าแววตาในกระจกก็จะสื่อแบบนั้น แล้วรับส่งอารมณ์ผ่านเงาของตัวเอง ผมทำเพียงเพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหม ตอนที่เล่นซีนดราม่าครั้งแรกความรู้สึกคือตื่นเต้น แต่ก็ท้าทาย นี่แหละที่เราอยากลองทำมาตลอด จากเด็กที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบอะไรก็รู้ตัวทันทีว่าการแสดงคือสิ่งที่ชอบ”
เมื่อทราบรู้ว่าจะได้สวมบทอายัน และฉีกลุคจากบทบาทที่ผ่านมา ก็สร้างความตื่นเต้นให้แก่นักแสดงหนุ่มไม่น้อย “อายันเป็นคนตรงๆ กล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่คิด หัวสมัยใหม่ ไม่เชื่อกฎเกณฑ์เดิมๆ ถ้าถามว่าเหมือนหรือต่างกับข้าวตังตรงไหน ผมตอบไม่ได้เลย เพราะข้าวตังกับอายันอยู่ด้วยกันมานานจนแยกไม่ออกว่าส่วนไหนคืออายัน ส่วนไหนคือข้าวตัง อันที่จริงอายันอาจมีความเป็นข้าวตังส่วนหนึ่ง และส่วนหนึ่งของข้าวตังก็อาจเป็นอายัน ก่อนหน้านี้ผมเล่นซีรีส์ ต้นหน ชลธี ติดแคแรกเตอร์มาครึ่งปี จึงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นทุกครั้งหลังสวมบทบาทว่า แท้จริงแล้วข้าวตังเป็นคนยังไง แต่ก่อนนี้ข้าวตังมีนิสัยแบบไหน”
เมื่อถามถึงมุมมองต่อกฎระเบียบในเรื่อง อายันไม่เห็นด้วยกับกฎระเบียบที่ขัดกับยุคสมัย เช่น การห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในห้องเรียน หรือสวมเครื่องแบบที่ไม่เข้ากับสภาพอากาศ แม้ข้อกำหนดการแต่งตัวจะมีขึ้นเพื่อความเป็นระเบียบ แต่การจำกัดสิทธิ์นั้นก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ผลการเรียนดีขึ้นอย่างไร ข้าวตังเสริมขึ้นว่า “ข้าวตังเห็นด้วยกับอายัน เราคิดว่าข้อบังคับหลายอย่างมันมากเกินไป เช่น การตัดผม จะตัดหรือไม่นั้นก็ไม่มีผลต่อการเรียนอยู่ดี แถมทรงผมที่โรงเรียนกำหนดยังลดความมั่นใจของเราอีก แต่ข้าวตังคงไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นมานำแบบกลุ่มประท้วงในซีรีส์ คงสนับสนุนตามความเหมาะสมและสมเหตุสมผล”
หากข้าวตังเป็นนักเรียน และมีทางเลือกคือ 1.สามารถใส่ชุดไปรเวตได้ แต่ยังต้องเข้าแถวก่อนเข้าเรียนแล้วปฏิญาณกฎโรงเรียน หรือ 2. สวมยูนิฟอร์มตามกฎโรงเรียน แต่ไม่ต้องเข้าแถวเพื่อท่องกฎอีกแล้ว เขาเลือก “ใส่ชุดเครื่องแบบแต่ไม่ท่องกฎ ใส่เครื่องแบบก็ได้แต่ไม่อยากทำอะไรที่ไม่จำเป็นแก่การเรียน”
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการรับบทอายัน “คงเป็นคนกล้าขึ้นครับ ที่จริงข้าวตังเป็นคนไม่ค่อยกล้า เงียบกับคนไม่สนิท แต่ถ้าสนิทจะพูดไม่หยุด เพราะคิดมาก คิดเยอะก่อนจะพูดออกไป แต่พอได้สวมบทอายัน ข้าวตังพบว่าเราไม่จำเป็นต้องคิดเยอะขนาดนั้นก็ได้ เลยกล้าพูดออกไปมากกว่าเมื่อก่อน กล้าแสดงความรู้สึกออกไปตรงๆ”
เรื่องที่คาดไม่ถึง
เรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอจากซีรีส์เรื่องนี้ ก็คือเมจิกโมเมนต์ที่เกิดขึ้นระหว่างถ่ายทำ “ต้องเรียกว่ามีเยอะมากๆ จนจำไม่หมด มีซีนหนึ่งที่ไม่ใช่ซีนยาก เป็นซีนที่หุ่นผ้าซึ่งเอาไว้ใช้ประท้วงถูกเผา แล้วคนก็มุงกัน บางส่วนเชื่อว่าเป็นอาถรรพ์ของโรงเรียน บางส่วนเชื่อว่าเป็นฝีมือคนทำ อยู่ๆ ข้าวตังก็น้ำตาไหลทั้งที่ซีนนี้ไม่ต้องร้องไห้ แค่สงสัยใครทำ แต่พอนักเรียนที่เข้าฉาก 20-30 คนพูดว่า หยุดอาถรรพ์ๆๆ ส่วนอาจารย์ก็พยายามสลายการรวมตัวให้กลับไปเข้าห้องเรียน ข้าวตังร้องไห้เหมือนคนอกหักเลย ยกมือบอกขอไม่ถ่าย ไม่ไหวแล้ว พอมานั่งตั้งสติคิด เกิดจากความรู้สึกของอายันที่ต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ไม่ต้องการให้แตกแยก พอเหตุการณ์ปะทุขึ้นจึงรู้สึกแย่กับตัวเอง ความเสียใจพรั่งพรูออกมาจนผมน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ในเรื่องจะมีซีนที่ไม่คาดคิด แต่เกิดขึ้นเองแบบนี้เยอะครับ
07 “นิสัยส่วนตัวที่คนคาดไม่ถึง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เพื่อนชอบบอกว่าผมไร้สาระ (หัวเราะ) (เฟิร์ส: ไปทะเลด้วยกัน ข้าวตังไปนั่งดูรูปู แล้วถามว่าข้างในจะมีปูไหม แล้วมันก็นั่งดูปูเสฉวนอยู่อย่างนั้น) ก็เพลินๆ ครับ ดูปูเดินลงรู”
ในช่วงที่ตารางงานแน่น หากมีเวลาว่างเขาเลือกการออกไปเที่ยว เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และคลายความเครียด “คุยกับเฟิร์สอยากไปเที่ยวต่างประเทศกัน ปัญหาคือไม่มีเวลา อยากไปเดินเล่น ชิลล์ๆ ศึกษาวัฒนธรรมวิถีชีวิตในต่างแดน (เฟิร์ส: ปลอมมาก (หัวเราะ)) เอ้า จริงๆ นะครับ เวลาข้างตังไปต่างประเทศ ข้าวตังเดินไปเรื่อยๆ ได้ทั้งวัน มีครั้งหนึ่งไปญี่ปุ่น วันแรกเดินไป 20 กิโลเมตร แค่เดินเฉยๆ ไม่มีจุดหมาย ซอกแซกไปทั่ว ลืมเหนื่อยไปเลย”
ภาพอนาคตที่ข้าวตังวาดไว้นั้น เขาอยากเห็นตัวเองเดินทางท่องโลกกว้าง “ข้าวตังเคยวาดภาพตัวเองไปอเมริกา ถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็อยากเป็นบาร์เทนเดอร์ ไม่ใช่เพราะชอบดื่ม แต่อยากยืนหน้าบาร์ เฝ้าดูผู้คนใช้ชีวิต แต่ถ้าพูดถึงวงการบันเทิงอยากเห็นตัวเองเติบโตไปเรื่อยๆ เท่าที่ความสามารถและโอกาสจะพาไป ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง”
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ
โรงเเรม Oakwood Suites Bangkok
20 ซอยสุขุมวิท 24 ถนนสุขุมวิท เเขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์ 0 2059 2888
e-mail: reservations.suites-bangkok@oakwood.com
คำว่าเพื่อนมันพิเศษมากๆสำหรับเฟิร์สข้าวตัง
หลงรักเฟิร์สข้าวตังไม่ไหวว??⬛?