สีดาหาย

-

รามเกียรติ์เป็นวรรณคดีสำคัญที่โบราณนำมาปรุงเป็นบทสำหรับมหรสพยอดนิยมคือ หนังใหญ่และโขน สาระสำคัญของเรื่องนี้คือการสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ และในที่สุดฝ่ายทศกัณฐ์ก็แพ้ไปอย่างราบคาบ มูลเหตุของสงครามครั้งนั้นปรากฏในคำพากย์รามเกียรติ์ครั้งกรุงเก่า วรรณคดีเพชรน้ำเอกสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งประเดิมเริ่มเรื่องด้วยตอนสีดาหาย อันเป็นที่มาของสงครามรามเกียรติ์

ทศกัณฑ์พญายักษ์แห่งเกาะเเก้วพระนครลงกาทราบเรื่องจากนางสำมนักขาผู้เป็นน้องสาวว่า พระรามพระลักษณ์พร้อมด้วยนางสีดาจากบ้านเมืองไปบวชเป็นฤษีอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวารี สีดานั้นรูปงามนักควรเป็นศรีแห่งกรุงลงกา นางสำมนักขาพบเข้าจะฉวยอุ้มมาถวายทศกัณฐ์ แต่กลับถูกพระลักษณ์ตัดตีนสินมือจนบาดเจ็บสาหัส นางบรรยายรูปโฉมนางสีดาให้ทศกัณฐ์ฟังว่า

๏ วรพักตร์เพ็ญแผ้วเพียงจันทร์        ปรางเปล่งงามพรรณ

พิมลเกศก่องไร

๏ นาสิกแสล้มละไม                    เอี่ยมโอษฐ์วิไล

วิลาศเนตรปานนิล

๏ ขนงก่งกลวงศิลป์                    กลีบบุษป์โกมิน

ลออดั่งกรรณกัลยา

๏ บงกชดุจถันกัณฐา                   สบสรรพอังคา

พยพอุดมสมกาย

๏ จะสรรโฉมเสมออย่าหมาย          ทิพรูปอาจอาย

วิมลทรงสีดา

๏ แม้นได้ไว้กรุงยักษา                 จะเฉลิมลงกา

พิภพเป็นศรีเมือง    ความจริงสำมนักขาหลงรูปพระรามอยากจะได้เป็นผัว จึงเข้าตบตีนางสีดาจนถูกพระลักษณ์ทำโทษ ทศกัณฐ์หลงใหลได้ปลื้มตามคำน้องสาว จึงให้มารีศแปลงเป็นกวางทองรูปงามไปลวงนางสีดา นางเห็นเข้าก็อยากได้มาเลี้ยง จึงทูลพระรามขอให้ตามจับ พระรามตามใจสีดา สั่งให้พระลักษณ์ดูแลสีดาอยู่ที่อาศรม แล้วออกติดตามกวางทอง “มาแปดโยชน์หย่อนวิถี เดชะกำลังพี ริยภาพหน่อภุชพงศ์” ระยะทางหนึ่งโยชน์เท่ากับประมาณ 16 กิโลเมตร พระรามตามกวางแปลงไปถึง 8 โยชน์ เท่ากับ 128 กิโลเมตร ไกลโขเชียวแหละ พระรามเห็นผิดสังเกตจึงแผลงศรไปยังกวางแปลง

๏ มารีศครั้นต้องศรศรี                  ตกยังธรณี

ก็ร้องด้วยเพโทบาย

๏ ศัพท์เรียกเฉกเสียงนารายณ์        ว่าพี่จำตาย

เพราะเลศอันกวางราญรอน

ระยะทางห่างไกลถึง 8 โยชน์ (128 กม.) เสียงมารีศร้องเป็นกลลวงได้ยินไปถึงสีดา นางจึงให้พระลักษณ์ตามไปช่วย สีดาอยู่อาศรมเพียงลำพัง ทศกัณฐ์ซึ่งซุ่มสังเกตการณ์สบโอกาสก็แปลงรูปเป็นโยคีเข้าไปหา สีดาที่อาศรม พูดจาหว่านล้อมชักชวนให้นางไปอยู่กรุงลงกากับทศกัณฐ์ ฝ่ายสีดาก็กล่าวตำหนิที่โยคีเป็นพวกพาลไปเข้ากับมารอาธรรม์ ทศกัณฐ์นึกโกรธแต่ข่มใจสาธยายปลอบโยนอีกยืดยาว ครั้นนางไม่เออออด้วยก็กลายร่างคืนเป็นยักษ์ร้ายใช้มือช้อนแผ่นดินเอานางสีดาขึ้นท้ายราชรถพาไปยังกรุงลงกา

๏ ปลอบพลางยื่นมือบไคล                 ช้อนแผ่นดินใน

สถานราชสีดา

๏ ขึ้นใส่บนท้ายรถา                        สถานนั้นคณนา

ได้โยชน์ในแคว้นมณฑล

ระหว่างทางได้พบกับพญานกสดายุ ซึ่งเป็นเพื่อนของท้าวทศรถบิดาของพระราม สดายุจำนางสีดาได้ก็เข้าขัดขวาง เกิดการต่อสู้กันเป็นโกลาหล จนราชรถของทศกัณฐ์ถูกทำลายย่อยยับ ทศกัณฐ์สู้สดายุไม่ได้ แต่ในที่สุดทศกัณฐ์ถอดแหวนพระอิศวรจากนิ้วของนางสีดาขว้างไปถูกสดายุพ่ายแพ้บาดเจ็บสาหัส ทศกัณฐ์จึงอุ้มนาง สีดาเหาะไปยังกรุงลงกา นั่นเป็นมูลเหตุของศึกชิงนางในรามเกียรติ์

ขณะที่สดายุต่อสู้ขัดขวางทศกัณฐ์นั้น ข้าวของต่างๆ ที่ติดตัวนางสีดาไปก็ร่วงหล่นอยู่ในป่า เช่น แหวนพระอิศวรที่ทศกัณฐ์ขว้างสดายุ สดายุคาบไว้คืนพระราม ต่อมาพระรามให้หนุมานนำไปถวายนางสีดา ข้าวของบางอย่างกลายสภาพเป็นต้นไม้ เช่น ช้องนาง (เครื่องประดับรวบผมด้านหลัง) กระเช้าสีดา สไบสีดา ดังที่ปรากฏในกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ รัตนกวียุคปลายอยุธยา

๏ กระจายสยายช้องนาง              ผ้าสไบบางนางสีดา

ห่อห้อยย้อยลงมา                                 เเต่ค่าไม้ใหญ่สูงงาม

๏ กระจายสยายคลี่ซ้อง               นงพงา

สไบบางนางสีดา                                   ห่อห้อย

ยื่นเลื้อยเฟื้อยลงมา                                โบยโบก

แต่ค่าไม้ใหญ่น้อย                                  แกว่งเยื้องไปมา ฯ

ยังมิหนำอวัยวะหลายส่วนที่นางสีดา (ทำ) หายคราวนั้น ยังแปรสภาพเป็นต้นไม้ได้อย่างประหลาด คือ นมทั้งสองข้าง กลายเป็นผลน้ำเต้า อวัยวะลึกลับที่ลักษณะเป็นกลีบๆ กลายเป็นผลมะเฟือง อวัยวะหลืบเร้น กลายเป็นผลละมุดสีดา ครูบาอาจารย์ทางเครื่องรางของขลังสั่งสอนสืบมาว่า “น้ำเต้าเหลือง มะเฟืองเปรี้ยว สะพานหัวเดียว ละมุดสีดา” เป็นของต้องห้าม เพราะเป็นอวัยวะที่นางสีดา (ทำ) หาย


คอลัมน์: ตะลุยแดนวรรณคดี เรื่อง: บุญเตือน ศรีวรพจน์  ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!