มรกต: คิดคะนึงถึงความรักไม่มีที่สิ้นสุด

-

มรกต  เป็นพระราชนิพนธ์แปลเล่มล่าสุดของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า  กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี  เป็นนวนิยายขนาดสั้น  ผลงานประพันธ์ของจางเจี๋ย (ค.ศ.1937– ปัจจุบัน)  นักเขียนสตรีผู้มีชื่อเสียงในวงวรรณกรรมจีนร่วมสมัย  จางเจี๋ยสร้างสรรค์งานประพันธ์จำนวนมากในเวลากว่าสามทศวรรษ  และได้รับรางวัลระดับชาติหลายรางวัล  มรกตได้รับรางวัลนวนิยายขนาดกลางดีเด่นแห่งชาติเมื่อ ค.ศ.1984

ฉากท้องเรื่องของมรกตเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนช่วงก่อนปฏิวัติวัฒนธรรมในสมัยเหมาเจ๋อตุง มาจนถึงสมัยสี่ทันสมัยตามนโยบายของเติ้งเสี่ยวผิง  จางเจี๋ยใช้แก่นเรื่อง “คนและความรัก” ซึ่งนิยมนำเสนอในผลงานส่วนใหญ่ของเธอ (ตามที่ปรากฏในประวัติผู้แต่ง)  โครงเรื่องเป็นเรื่องราวของสองหญิงหนึ่งชาย  ผู้หญิง 2 คน รักผู้ชายคนเดียวกัน แต่นวนิยายเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอการชิงรักหักสวาทเช่นนวนิยายรักส่วนมากของไทย  ผู้แต่งใช้ตัวละครเอกเพียง 3 ตัวเพื่อนำเสนอภาพแทนของมนุษย์ที่ซับซ้อน  มีปมขัดแย้งในใจ  แต่ละคนให้คุณค่าและนิยามของความรักต่างกันไป

นวนิยายเรื่องนี้แสดงแนวคิดสตรีนิยมที่นำเสนอด้วยมุมมองของนักเขียนหญิง ผู้หญิง 2 คนคือ  หลูเป่ยเหอ และ เจิงลิ่งเอ๋อร์ จึงเป็นคู่เปรียบเทียบที่น่าสนใจซึ่งจะกล่าวถึงภายหลัง  ส่วนจั่วเวย เป็นลูกชายโทนของครอบครัวร่ำรวยมีบารมี  เป็นผู้ชายที่ “ไม่เอาไหน” เรียนหนังสือไม่เก่ง  ความรู้ไม่แน่น  ความคิดไม่เฉียบคม  ตัดสินใจไม่เป็น ไม่เป็นผู้นำ  เห็นแก่ตัว ขี้ขลาด  ไม่มีอุดมการณ์  เจ้าสำอาง  ถือตัว  รักใครไม่เป็น  แต่ก็มีผู้หญิง  2 คน  ที่รักเทิดทูนเขาอย่างจริงจัง ทุ่มเทชีวิตเสียสละเพื่อเขา  ดังที่ หลูเป่ยเหอ กล่าวกับ เจิงลิ่งเอ๋อร์  ว่า หลายปีผ่านมาเราแข่งขันกันเพื่อความรักของผู้ชายคนหนึ่ง  ต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อเขา  ในที่สุดเราสองคนก็พบว่ามันไม่คุ้มเลย  ส่วนเขาไม่รู้เลยว่าเราต้องเสียสละแค่ไหน  หรือเขาคิดว่ามันควรเป็นเช่นนั้น (หน้า 112)

 

 

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้คนทั้งสามมีความสัมพันธ์กัน คือการที่จั่วเวยเขียนป้ายโจมตีผู้บริหาร โดยมีเจิงลิ่งเอ๋อร์คัดลอกด้วยลายมือที่สวยงาม  เมื่อมีการสอบสวน   หลูเป่ยเหอซึ่งแอบรักจั่วเวย  และรู้ดีว่าจั่วเวยเป็นคนเขียนป้าย ใช้อำนาจหน้าที่ของเลขาธิการสาขาพรรคของชั้นปี ซึ่ง “มีหน้าที่หาฝ่ายขวามาลงโทษให้ได้ตามจำนวนที่ถูกกำหนดมา” (หน้า 38) สอบสวนเจิงลิ่งเอ๋อร์ต่อสาธารณะ  แต่ไม่ว่าจะถูกประณามด่าว่ารุนแรงอย่างไร  เจิงลิ่งเอ๋อร์ก็สารภาพผิดเพียงคนเดียว ไม่ยอมซัดทอดคู่รัก  เธอจึงถูกตัดสินว่าเป็นฝ่ายขวาและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดน  จั่วเวยหมดรักเธอแล้ว  แต่ต้องการ “ทำให้ตัวเองดูดีมีคุณธรรม” (หน้า 44)  จึงขอใบรับรองการจดทะเบียนสมรสไปให้เธอพร้อมชุดแต่งงาน  คืนนั้นทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา  พอรุ่งเช้าเจิงลิ่งเอ๋อร์ก็ฉีกใบทะเบียนสมรสและบอกว่าทั้งสองได้แต่งงานกันแล้วและแยกทางกันแล้ว ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก เป็นการจากลาชั่วนิรันดร์ เจิงลิ่งเอ๋อร์กล่าวในตอนหลังว่า เธอต้องการ เสียงสะท้อนของความรัก ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนต่างตอบแทน (หน้า 81) จั่วเวยทั้งอยากร้องไห้และอยากหัวเราะ เขารู้สึกโล่งกายสบายใจที่เจิงลิ่งเอ๋อร์ตัดสินใจเช่นนั้น  จากนั้นเจิงลิ่งเอ๋อร์ก็เดินทางไปอยู่ในชนบทห่างไกล เมื่อมีข่าวลือว่าเธอมีลูก  จั่วเวยก็หวั่นใจว่าใช่ลูกของเขาหรือไม่  เมื่อมีข่าวลืออีกครั้งว่าของลูกเจิงลิ่งเอ่อร์เป็นลูกไม่มีพ่อ  จั่วเวยก็รู้สึกว่าตนเองได้ปลดเปลื้องจากบาป

หลูเป่ยเหอเป็นผู้หญิงเก่ง เป็นผู้นำ แต่ขาดเสน่ห์ เธอแต่งตัวด้วยเสื้อกางเกงสีเทาตัวใหญ่ปิดบังรูปร่าง ผมตัดสั้นแค่หูติดกิ๊บตัวโตไม่เปลี่ยนแปลงไปตามแฟชั่นใดๆ เธอเป็นคนปิดตัวเอง มีระยะห่างกับผู้อื่น  เธอจึงชอบความมัวสลัวของบ้านเก่าแก่แห่งตระกูลจั่ว อันเป็นฉากเปิดของนวนิยายเรื่องนี้ ในด้านความรัก หลูเป่ยเหอเป็นผู้หญิงแบบจารีตนิยม  ต้องการมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เธอแต่งงานกับจั่วเวยทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้รัก  และเล่นละครเป็นสามีภรรยากันยาวนานกว่า 20 ปี  ในบ้าน เธอยอมเป็นช้างเท้าหลัง  เก็บเสื้อผ้าที่สามีถอดทิ้งไม่เป็นที่  หารองเท้าให้สวม  นำเบียร์มาเสิร์ฟ  ปรนนิบัติแม่สามีที่ไม่ชอบหน้าเธอ  เมื่อเจิงลิ่งเอ๋อร์ถามในภายหลังว่าเธอไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงานหรือ  หลูเป่ยเหอตอบว่าไม่หรอก  มีความสุขมาก  เราไม่เคยทะเลาะกันเลย มีความสุขเหมือนกับคนหนึ่งเป็นนายที่ทำอะไรได้ตามใจชอบ  อีกคนเป็นทาสที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดซื่อสัตย์ (หน้า 112)  หลูเป่ยเหอถือเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องผลักดันสามีและลูกให้ก้าวหน้า  เธอพยายามรบเร้าให้ลูกชายสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อความมั่นคงในอนาคต  ในที่ทำงาน  เธอเป็นรองเลขาธิการพรรคของสถาบันและเป็นรองผู้อำนวยการสถาบันการวิจัย เธอผลักดันให้สามีเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยสำคัญ  เธอเป็นจอมวางแผน  เป็นผู้หญิงร้ายลึก เธอน่าจะมีส่วนในการขจัดเจิงลิ่งเอ๋อร์ออกไปจากชีวิตของจั่วเวยและต่อมาแต่งงานกับเขา เมื่อรู้ดีว่าสามีไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าโครงการไมโครโค้ด เธอก็วางแผนให้เจิงลิ่งเอ๋อร์ผู้มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์ในระดับที่นานาชาติยกย่องมาร่วมทำงานเป็นผู้ช่วย เพื่อให้ จั่วเวยมีหน้ามีตา  มีเกียรติยศ  สามารถมั่วงานนี้ไปจนเกษียณได้ (หน้า 30)   แผนการนี้แม้แต่จั่วเวยก็รู้สึกว่าพวกเขาสองคนร่วมมือกันถือโอกาสจากคนคนเดียวที่เคยใช้มา” (หน้า 52)  แต่จั่วเวยก็ซ่อนหน้าลึกในหมอน ปัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป คิดเสียว่าเขาไม่ใช่คนวางแผน  หลูเป่ยเหอต่างหาก

เจิงลิ่งเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่น่าประทับใจมาก เธอเป็นลูกสาวชาวประมง  มีพรสวรรค์ในวิชาคณิตศาสตร์ และพัฒนาความรู้ด้วยตนเองตลอดเวลา  แม้ในยามที่ตกอับถึงที่สุด  ถูกประณามว่าเป็นฝ่ายขวา  ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองชายแดนเล็กๆ มีชีวิตยากลำบาก  เธอก็ยังสามารถเขียนบทความเรื่องการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ จนเป็นที่ยกย่องในระดับนานาชาติ เจิงลิ่งเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ใจเด็ด ผู้แต่งนำเสนอคุณสมบัตินี้ด้วยเหตุการณ์หลายอย่าง คือ  การ  sit-up ถึง 400 ครั้งทั้ง ๆ ที่ชนะคู่แข่งขันไปแล้ว  การว่ายน้ำดำน้ำเพื่อช่วยจั่วเวยให้รอดชีวิตจากวังน้ำวน  เธอยอมรับการถูกประณามด่าว่าและประจานว่าเป็นฝ่ายขวาโดยไม่ปริปากซัดทอดจั่วเวย  เธอฉีกใบรับรองการสมรสหลังเป็นภรรยาชั่วคืนเดียวแล้วจากลาเขาไปชั่วนิรันดร์ เธอไม่ตอบโต้เมื่อถูกชาวบ้านรังเกียจและรังแกเพราะท้องไม่มีพ่อและถูกกล่าวหาว่าเป็นโสเภณี  เธอต้องเดินและคลานไปโรงพยาบาลเพราะไม่มีใครช่วยเหลือและได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายไร้จรรยาบรรณจากบุคลากรทางการแพทย์ อันเป็นความโหดร้ายซึ่งสังคมจีนในขณะนั้นกระทำต่อผู้ที่เป็นฝ่ายขวา  เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีชีวิตอดมื้อกินมื้อแต่ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากจั่วเวย  เธอเป็นทั้งพ่อและแม่ของเถาเทาดังในเรียงความที่เขาเขียนส่งครู  หลังจากเถาเทาจมน้ำตาย  ชีวิตเธอเหมือนสิ้นสุด  แต่ก็ฟื้นคืนได้อีกครั้งด้วยความรักในวิชาการความรู้

เมื่อยังสาวเธอเทิดทูนความรักแบบอุดมคติให้แก่จั่วเวย ยอมเสียทุกอย่างเพื่อเขา  ไม่ว่าจะเป็นอนาคตทางการเมือง  เกียรติยศชื่อเสียง  การงาน  ความเจริญก้าวหน้า  ความเท่าเทียม  เสรีภาพ  และศักดิ์ศรี ความเป็นคน (หน้า 37)  แต่หลังจาก 20 ปีผ่านไป  เมื่อกลับมาตามคำชวนเชิญของหลูเป่ยเหอ ได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองที่เธอเคยมีความสุขกับจั่วเวยคนรัก  เธอพบว่า  “เธอเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ทำให้ใจของเธอตื่นเต้นอาลัยอาวรณ์มิรู้วาย  ไม่ใช่จั่วเวยอีกแล้ว  แต่เป็นผืนแผ่นดินไพศาลที่เธอใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตอย่างไม่มีความรู้สึกอับอาย เธอได้อุทิศตนและทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีให้แผ่นดินที่เธอรัก” (หน้า 87)  และ เธอมีแต่ความรู้สึกรัก  รักอ่าว  รักโขดหิน  รักเพื่อนร่วมทางที่พบกันใหม่  รักความทรงจำ  รักชีวิตที่ผ่านไปแล้วเมื่อยังเด็ก  รักซูเปอร์ไมโครคอมพิวเตอร์ รักกลุ่มจัดเตรียมไมโครโค้ด  รักทุกอย่างยกเว้นจั่วเวย”  (หน้า 105)  เจิงลิ่งเอ๋อร์พบว่าเธอหลุดพ้นจากความรักส่วนตัวไปสู่ความรักสรรพสิ่ง  และได้ก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่งของชีวิต  นั่นคือ การมีชีวิตเพื่อทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อสังคม

ส่วนชื่อมรกต ของนวนิยายเรื่องนี้บ่งชี้ว่าหมายถึง เจิงลิ่งเอ๋อร์ โดยเฉพาะ เธอเป็นผู้หญิงสวย มีคุณค่า   แม้ว่าเธอจะไม่มีโอกาสครอบครองอัญมณีล้ำค่าประจำราศีเกิดซึ่งมีความหมายว่า “คิดคะนึงถึงความรักไม่มีที่สิ้นสุด”  แต่คุณสมบัตินี้ก็ดำรงอยู่ในตัวของเธอแล้ว  สะท้อนถึงอิสระและจิตใจอันเปิดกว้างของเธอผู้มอบความรักให้แก่ทุกสรรพสิ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ยังมีจุดเด่นของนวนิยายเรื่องมรกตอีกอย่างหนึ่งที่ควรกล่าวถึง คือ การใช้สัญลักษณ์ของทะเลที่สอดคล้องกับเจิงลิ่งเอ๋อร์ซึ่งเป็นลูกชาวประมง  เมื่อเธอร่างกายเจ็บป่วยอ่อนแอ พ่อของเธอดำน้ำหาอาหารทะเลมาบำรุงร่างกายของลูกสาวให้ฟื้นแข็งแรง  ครั้นผ่านความทุกข์เทวษมานานถึง 20 ปี  เธออยากซื้อมรกต อัญมณีประจำราศีเกิด เพื่อเป็นรางวัลชีวิตแก่ตนเอง แต่กลับได้ซื้อไข่มุกแท้ ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำตาอันบริสุทธิ์แห่งท้องทะเล  เจิงลิ่งเอ๋อร์มองเห็นพลังของทะเลที่ถาโถมเข้าใส่โขดหินไม่เคยหยุด  เห็นทะเลที่คายคืนสิ่งสกปรกทั้งหลายออกมาสู่ชายหาด ทะเลสง่างามยิ่งใหญ่  ยิ่งไกลออกไปเท่าใดทะเลก็เป็นสีน้ำเงินใสสะอาดเข้าทุกที  เธอเรียกทะเลว่า “ทะเลผู้ยิ่งปัญญาของฉัน” เพราะทะเลสอนให้เธอได้คิด  ทะเลในนวนิยายเรื่องนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ที่มีเอกภาพ  เปรียบดังจิตใจที่ใสสะอาด ปราศจากขยะและมลพิษของเจิงลิ่งเอ๋อร์

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงแปลนวนิยายจีนเรื่องมรกต ด้วยพระปรีชาสามารถในด้านภาษาจีนและภาษาไทยอย่างเยี่ยมยอด  เป็นแบบอย่างของศิลปะการใช้ภาษา และเป็นนวนิยายที่ให้ปรัชญาการดำรงชีวิตแก่ผู้อ่านคนไทยผ่านเรื่องราวแห่งความรักของตัวละคร


คอลัมน์: เชิญมาวิจารณ์

เรื่อง: ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!