d.school เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของ Stanford และได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาบันซึ่งมีหลักสูตร Design Thinking ที่ดีที่สุดในโลก
Jane Chen ลูกครึ่งไต้หวัน–อเมริกัน เป็นนักศึกษาคนหนึ่งของ d.school และได้เข้าคลาสชื่อ Design for Extreme Affordability หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คนทั่วไปสามารถซื้อได้
กลุ่มของเจนได้รับบรีฟมาว่า ในประเทศกำลังพัฒนามีเด็กแรกเกิดถึง 4 ล้านคนเสียชีวิตภายใน 28 วันหลังคลอด ทั้งนี้เพราะน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์จึงไม่มีไขมันเพียงพอที่จะควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ถ้าเด็กเหล่านี้ได้เข้าตู้อบ ก็จะมีโอกาสรอดสูงขึ้น แต่โรงพยาบาลในประเทศยากจนนั้นมีตู้อบจำนวนจำกัด เพราะตู้อบหนึ่งตู้มีราคาสูงถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือหกแสนบาท
โจทย์ก็คือทำยังไงถึงจะสร้างตู้อบในราคาเพียง 1% ของราคาปัจจุบันหรือไม่เกิน 200 ดอลลาร์สหรัฐ
ถ้ามองแค่ว่านี่คือปัญหาเรื่องการจัดการต้นทุน เจนคงจะมองหาวิธีสร้างตู้อบราคาถูก ด้วยการหาวัสดุที่ถูกลง แต่ d.school สอนให้มองทุกอย่างลึกกว่านั้น เจนและเพื่อนเลยตัดสินใจเดินทางไปประเทศเนปาลเพื่อจะได้เข้าใจปัญหาให้ถ่องแท้
สิ่งที่พวกเธอพบก็คือ
– ร้อยละ 80 ของเด็กนั้นคลอดที่บ้าน ไม่ได้คลอดที่โรงพยาบาล
– บ้านส่วนใหญ่อยู่ในชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า
แค่ปัจจัยสองอย่างนี้ก็ทำให้แนวทางการสร้างตู้อบราคาถูกเป็นทางออกที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
สิ่งที่เจนและเพื่อนต้องทำคือสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องใช้ทั้งไฟฟ้าและความรู้ของหมอหรือพยาบาล
เจนและเพื่อนจึงออกแบบถุงนอนเด็กที่มีชื่อว่า Embrace Nest แปลตามตัวอักษรว่า “รังโอบกอด“
ในถุงนอนมีซองเก็บอุณหภูมิขนาด 1 ตารางฟุตที่ถอดออกมาแช่น้ำร้อนได้ น้ำร้อนนี้จะทำให้เจลคล้ายขี้ผึ้งในซองมีอุณหภูมิที่เหมาะกับร่างกายเด็กเล็ก และเมื่อคุณเอาซองเก็บอุณหภูมินี้ใส่เข้าไปใน Embrace Nest ก็จะช่วยให้ถุงนอนของลูกน้อยมีอุณหภูมิคงที่ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง
แน่นอนว่าถุงนอนนี้มีต้นทุนเพียง 200 ดอลลาร์สหรัฐตามโจทย์ที่ d.school ตั้งเอาไว้
เมื่อเห็นลู่ทางว่า Embrace Nest สามารถช่วยเหลือเด็กได้เป็นจำนวนมาก เจนและเพื่อนๆ จึงก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม (social enterprise) ที่ชื่อว่า Embrace Innovations ขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการเสียชีวิตของเด็กเกิดใหม่ทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าและเครื่องไม้เครื่องมือราคาแพง
นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่า ก่อนจะแก้ปัญหาอะไร ควรเข้าใจปัญหานั้นให้ลึกซึ้ง ไม่อย่างนั้นเราอาจไปผิดทางครับ
คอลัมน์: มุมละไม
เกี่ยวกับผู้เขียน: อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ ผู้เขียนหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน และ Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ เจ้าของบล็อก Anontawong’s Musings และ Head of People ที่ LINE MAN Wongnai
ประวัติผู้เขียน
รูปของผู้เขียน