เวนิสตะวันออก

-

กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรมหานครแห่งความสุนทรีย์ที่ครั้งหนึ่งพ่อค้าชาวยุโรปขนานสมญาว่า “เวนิสตะวันออก” เพราะอุดมไปด้วยแม่น้ำลำคลอง ชุมชน วัดวาอาราม ตลอดจนสถานที่สำคัญๆ ล้วนตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำ จะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ก็ต้องอาศัยเรือพาย-เรือแจวไปตามลำน้ำคล้ายกับเมืองเวนิสในประเทศอิตาลี

ลำน้ำสำคัญสายหลักที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงกรุงเทพฯ และปริมณฑลคือ แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีกำเนิดจากแม่น้ำสายย่อยหลายสายไหลมารวมกันและไปออกปากอ่าวไทยในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการ ก็แลชื่อของแม่น้ำต่างๆ นั้นมักตั้งขึ้นตามตำบลที่แม่น้ำนั้นๆ ไหลไปออกทะเล เช่นไหลไปออกทะเลที่ตำบลท่าจีนก็เรียกว่า แม่น้ำท่าจีน ไหลไปออกทะเลที่ตำบลแม่กลอง ก็เรียกว่า แม่น้ำแม่กลอง สำหรับแม่น้ำเจ้าพระยานั้น แต่เดิมเรียกว่า “แม่น้ำ” เอกสารต่างชาติที่บันทึกไว้ในสมัยอยุธยาเรียกว่า “Menam River” ต่อมาภายหลังจึงได้ชื่อว่า แม่น้ำเจ้าพระยา เพราะไหลลงสู่ทะเลที่ตำบลบางเจ้าพระยา ซึ่งในเอกสารเก่าครั้งกรุงศรีอยุธยาเรียกบริเวณนั้นว่า “ปากน้ำเขียวบางเจ้าพระยา” ครั้นตั้งเมืองสมุทรปราการขึ้นที่ตำบลดังกล่าว ชื่อบางเจ้าพระยาก็สูญไป เหลือร่องรอยเพียงชื่อแม่น้ำเจ้าพระยาดังที่รับรู้เล่าเรียน

ก่อนจะสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พื้นที่ฝั่งธนบุรีเป็นเรือกสวนอุดมสมบูรณ์ มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีลำคลองมากมาย ซึ่งบริเวณที่มีลำคลองแต่ครั้งโบราณเรียกว่า “บาง” ได้แก่บางต่างๆ ซึ่งทางฝั่งธนบุรีมีหนาแน่นกว่าฝั่งพระนคร เช่น บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางระมาด บางเชือกหนัง บางพรม บางพลัด บางน้ำชน บางแวก บางเสาธง บางขุนนนท์ ฯลฯ

ครั้นสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นในรัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้ขุดคลองด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์และการปกครอง เช่น คลองหลอด คลองโอ่งอ่าง คลองมหานาค คลองรอบกรุง เป็นต้น คลองเหล่านี้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ต่อมาถึงรัชกาลที่ 4 ผู้คนในพระนครเพิ่มขึ้น จึงโปรดฯ ให้ขยายเขตพระนครออกไปทางด้านเหนือและขุดคลองผดุงกรุงเกษมขึ้นเป็นแนวเขต จะเห็นว่าคลองที่ขุดขึ้นพร้อมกับการสถาปนาและขยายเขตพระนครนั้น มักไม่ปรากฏคำว่า “บาง” อันเป็นชื่อบ้านชื่อตำบลอยู่หน้าชื่อคลอง ต่างกับคลองที่อยู่ทางฝั่งธนฯ

ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น โปรดฯ ให้ขุดคลองสำคัญ ๆ ขึ้นหลายสาย ซึ่งส่วนมากก็อยู่ทางฝั่งธนบุรี ชื่อคลองที่โปรดฯ ให้ขุดใหม่ก็มิได้ตั้งตามชื่อบ้านชื่อตำบล ทรงตั้งชื่อพระราชทานคล้องจองกัน เช่น มหาสวัสดี ภาษีเจริญ ดำเนินสะดวก ต่อมาถึงรัชกาลที่ 5 มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างคลองมหาสวัสดีกับคลองภาษีเจริญ คือ คลองทวีวัฒนา ชื่อคลองที่ขุดใหม่ก็คล้องจองกับคลองที่ขุดก่อนหน้า คือ มหาสวัสดี ทวีวัฒนา ภาษีเจริญ ดำเนินสะดวก ถึงวันนี้คลองมหาสวัสดีได้เปลี่ยนไปเป็นคลองมหาสวัสดิ์ ไม่คล้องจองเหมือนอย่างโบราณท่านคิด ทั้งดูเหมือนว่า มหาสวัสดี จะอาภัพกว่าคลองอื่น ๆ เพราะ ทวีวัฒนา ภาษีเจริญ และดำเนินสะดวก เลื่อนชั้นเป็นชื่อเขตชื่ออำเภอติดปากผู้คนชาวพระนคร

                แม่น้ำลำคลองในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์จอแจคึกคักไปด้วยผู้คนและเรือแพ ประสาคนชราชอบของเก่า กระผมขอยกตัวอย่างตลาดน้ำอย่างไทยโบราณมาเป็นตัวอย่างให้ชาวเรารำลึกบรรยากาศตลาดเมืองบางกอกในอดีต

เห็นเรือนแพแลตลอดตลาดน้ำ                             อยู่ประจำแน่นเนื่องทั้งเมืองหลวง

สารพันสินค้าผ้าแพรดวง                                      ทั้งโหมดม่วงเลี่ยนหลินแลจีนเจา

มีเครื่องแก้วเครื่องทองของต่างต่าง                      มาตั้งวางเรียงรายจะขายเขา

ที่หน้าแพแม่น้ำล้วนสำเภา                                   เห็นปลายเสาธงริ้วปลิวปลาบตา

บรรทุกของเมืองไทยไปต่างต่าง                            ไม้แดงฝางสารพัดแกล้งจัดหา

ทั้งเอ็นหนังลูกกระเบาเขานองา                            เอาไปค้าเมืองจีนกินกำไร

ฯลฯ

นั่นเป็นภาพตลาดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาครั้งรัชกาลที่ 3 ตามที่หมื่นพรหมสมพัตสร หรือ เสมียนมี บันทึกไว้ใน “กลอนนิราศสุพรรณ” ตลาดน้ำที่มีชื่อเสียงมากในครั้งกระโน้นคือคลองบางกอกน้อย ซึ่งเสมียนมีพรรณนาไว้ใน “นิราศพระแท่นดงรัง” ว่า “เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย  บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ”

ตลาดน้ำในคลองบางกอกน้อยเป็นย่านการค้าหนาแน่นของชาวพระนครมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ดังที่หลวงจักรปาณี หรือ มหาฤกษ์ บรรยายไว้ใน “นิราศพระปฐม”

ดูชาวแพแซ่ซ้องขนของขาย                   ที่เรือพายขึ้นล่องนั้นของสวน

ทั้งเรือทุ่นเรือทอดจอดเป็นพวน                             ตลาดล้วนจ่ายจัดออกอัดแอ

ทั้งสองแถวแจวไปมิใคร่ตลอด                              ต้องเลี้ยวลอดหลีกลัดฉวัดแฉว

ทั้งไทยเจ๊กจีนแขกแปลกแปลกแล                        พวกชาวแพสารพันจะบรรจง

ขายเครื่องแก้วเครื่องทองของทั้งหลาย                                ทั้งผ้าลายม่วงแพรแลระหง

เสื้อกระเป๋าขาวม้าผ้าสบง                                    ที่รูปทรงสำอางเป็นช่างเย็บ

ล้วนสาวสาวน้อยน้อยนั่งร้อยเข็ม                        ฝีมือเม้มมิดเม้นไม่เห็นตะเข็บ

ไม่เจ็บหลังนั่งเพียรทั้งเจียนเล็บ                            ประกอบเก็บไรจุกเหมือนตุ๊กตา

วันนี้เวนิสตะวันตกในอิตาลียังรักษาร่องรอยชุมชนริมน้ำดั้งเดิมไว้ได้ แต่วิถีชุมชนริมคลองของเวนิสตะวันออกเปลี่ยนแปรไปตามวันเวลา ตลาดน้ำเหลือเพียงตำนานความทรงจำ คลองน้ำใสๆ เกือบจะไม่เหลือให้เห็น


คอลัมน์: ตะลุยแดนวรรณคดี

เรื่อง: บุญเตือน ศรีวรพจน์

ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!