หมอบอกเขาว่า “ถ้าหมาของคุณอาการไม่ดีขึ้น บางทีเราควรจะ…”
คำพูดไม่จบประโยคนี้แปลว่า “เราควรทำการุณยฆาตหมาของคุณ”
จอห์นบอกหมอว่า “ผมขอคิดดูก่อน”
เช็พอายุ 19 ในปีนี้ มันอยู่กับเขามาตั้งแต่เป็นทารก มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา
ตอนนี้มันอยู่ในวัยชรา ตามองไม่เห็นเพราะต้อกระจก ทรมานจากโรคข้ออักเสบ และตะโพกมีปัญหา
19 ปีก่อนเขากับแฟนสาวไปหาหมาที่ถูกทอดทิ้งมาเลี้ยง ทั้งสองตระเวนไปตามองค์กรคุ้มครองสุนัขจรจัดหลายแห่ง แต่ไม่ถูกใจหมาสักตัว จนกระทั่งสบตากับลูกหมาพันธุ์ Shepherd Mix ตัวนี้
มันอยู่ในกรงกับหมาอีกตัว อาจเป็นแม่ของมัน ทั้งสองหลงรักลูกหมาตัวนี้ทันที
ชื่อที่เจ้าหน้าที่เรียกมันคือ Tramp (แปลว่าหมาจรจัด) มันมีร่องรอยของการถูกรังแกและทำร้าย ดังนั้นตั้งแต่วันแรก มันก็ไม่ไว้ใจพวกคน
จอห์นอยู่ใกล้ชิดกับมัน เขาดูแลมันเหมือนเพื่อน เขาอยากให้มันคิดว่า เขาเป็นหมาเหมือนกัน ไม่ใช่มนุษย์ผู้เคยทำร้ายมัน
จอห์นตั้งชื่อหมาว่า Shep มาจากคำว่า Shepherd แต่เลือกสะกดเป็น Schoep ซึ่งเป็นยี่ห้อไอศกรีมในวิสคอนซิน
เช็พก็ชอบกินไอศกรีมสตรอเบอร์รี และครีมดาร์ก เชอร์รี แต่มันชอบรสวานิลลาที่สุด
กินเวลานานกว่าเช็พจะไว้ใจเขา และเมื่อมันไว้ใจเขา มันก็กลายเป็นเงาตามตัวเขามาสิบเก้าปี
…………………………..
ในปีหนึ่งจอห์นเลิกรากับแฟน เขากลายเป็นผู้ดูแลเช็พคนเดียว
หลังการเลิกรา จอห์นรู้สึกว่าโลกถล่มทลาย เขาจมในอาการซึมเศร้าอย่างหนัก หลายปีนั้นเขาผ่านชีวิตอย่างยากลำบาก จนถึงขีดที่เขาทนแทบไม่ไหว
คืนหนึ่งเขาพาเช็พไปเดินริมทะเลสาบมิชิแกน ทันใดนั้นความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายก็ผุดวูบ
เขายืนอยู่ตรงจุดนั้นนานราวหนึ่งชั่วโมง จิตฟุ้งซ่าน สมองขบคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เขาไม่อยากอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว เขาบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาแล้ว
วูบหนึ่งเขาก้มลงมองดูเช็พ มันกำลังจ้องมองเขาอยู่ แววตาของมันต่างจากทุกวัน ราวกับว่ามันมีประสาทสัมผัสใจของเขาตอนนี้
การสบตานั้นทำให้เขาได้สติ เขาพาหมาเดินออกจากจุดนั้น ทั้งคนและหมาเดินทั้งคืนจนกระทั่งแสงแรกของวันอาบร่างทั้งสอง
วันนั้นเขากล่าวคำขอบคุณต่อเช็พ
เขาบอกในเวลาต่อมาว่า “บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าผมจะอยู่ตรงนี้ถ้าผมมีเช็พอยู่ด้วยในคืนนั้น
เขาผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่ การงานไม่ได้เรื่อง ไม่มีเงินมากพอซื้ออาหารหมาดีๆ ได้ แต่ตลอดเวลานั้นเขารู้สึกว่ามีเพื่อนสี่ขาอยู่เคียงข้าง
ตอนนี้เช็พกำลังทรมาน โรคข้ออักเสบทำให้มันนอนไม่หลับ เดินแทบไม่ได้ แต่เขาไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาข้อด้วยเลเซอร์ครั้งละ 200 ดอลลาร์ เพื่อลดความเจ็บปวดของหมา
…………………………..
จอห์นเคยได้ยินว่า คนไข้โรคข้ออักเสบบรรเทาอาการปวดได้โดยลอยตัวในน้ำ ดังนั้นเขาจึงพาหมาไปที่ทะเลสาบซูพีเรียร์ เขารู้ว่าในช่วงฤดูร้อน น้ำในทะเลสาบกำลังอุ่นสบาย หากให้หมาลอยตัวในน้ำ ก็น่าจะรู้สึกสบายขึ้น
ตั้งแต่นั้นคนกับหมาก็ลงน้ำราว 10 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง ขึ้นกับอุณหภูมิของน้ำ และอารมณ์ของหมา
การแช่น้ำทำให้มันรู้สึกดีขึ้น
ความจริงนี่มิใช่ครั้งแรกที่หมาลงไปในทะเลสาบซูพีเรียร์
สิบสามปีก่อนหน้านั้น หมาก็ลงน้ำ มันไม่ชอบน้ำนัก ทุกครั้งที่มันลงน้ำ มันจะไม่ว่าย แต่วางอุ้งเท้าบนไหล่ของเขา มันต้องการให้เขาอุ้ม แต่เขาพาหมาลงน้ำหลายปีจนมันเริ่มคุ้นกับน้ำ
เขาพาไปหมาไปในตอนเย็น เพราะต้อทำให้เช็พไม่สู้แสงจ้า
น้ำในทะเลสาบอุ่นสบาย เช็พนอนหลับทุกคืนที่เขาลอยตัวมันในทะเลสาบ แรงยกของน้ำช่วยคลายความปวดข้อ
เขารู้ว่าหมาคงอยู่อีกไม่นาน วันหนึ่งเขาขอให้เพื่อนช่างภาพ Hannah Stonehouse Hudson ถ่ายรูปเขากับเช็พเป็นที่ระลึก
เธอไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นหมาหลับในอ้อมแขนของเขา
ทั้งคู่อยู่ในน้ำราวห้านาที แล้วขึ้นมาจากน้ำก่อนที่หมาจะรู้สึกหนาวสั่น เขาไม่คิดว่าเธอทันถ่ายภาพนั้น แต่เธอบอกว่าเธอถ่ายรูปคนกับหมาไว้ได้หลายรูป
วันที่ 1 สิงหาคม 2012 เธอโพสต์รูปนี้ในโลกอินเทอร์เน็ต
หลังจากนั้นโลกโซเชียลก็ระเบิด ภาพคนกับหมาแตะหัวใจของชาวโลก
…………………………..
พลันคนทั้งโลกส่งสารมาให้กำลังใจเขา ยืนหยัดต่อไป
พลันทั้งคนและหมาก็มีชื่อเสียงจนตั้งตัวไม่ติด
เงินบริจาคหลั่งไหลมาเป็นค่ารักษาเช็พ เป็นจำนวนถึง 25,000 ดอลลาร์
เขารู้สึกตื้นตันใจ พูดไม่ออก ไม่เพียงเงินบริจาคที่ได้มากมากเกินพอรักษาเช็พ แต่แรงใจที่คนแปลกหน้ามอบให้ท่วมท้นจนทำให้เขาร้องไห้
วันหนึ่งเมื่อเขาพาเช็พไปที่คลินิกสัตวแพทย์ สัตว์แพทย์บอกเขาว่า มีคนส่งของมาให้เช็พมากมาย เช่น ยา glucosamine ที่ช่วยรักษาอาการไขข้อ ฯลฯ
เมื่อมีเงินรักษา เช็พก็รับการรักษาด้วยเลเซอร์ ช่วยลดความปวดและบวม มันเดินได้ดีขึ้น เร็วขึ้น มันก้าวขาได้กว้างขึ้น
มันนอนหลับได้ทั้งคืน ตอนกลางวันมันอยากออกไปเดินเล่นบ่อยขึ้น จอห์นพาหมาไปเดินทุกวัน ไปตามทางสายใหม่ๆ หมาเดินได้ดีขึ้น อาการกะเผลกลดน้อยลง หูของมันตั้งขึ้น และกระดิกหางของมันดีขึ้น
ด้วยเงินและแรงใจ เขาเชื่อว่ามันน่าจะต่อชีวิตเช็พไปได้อีกราวปีครึ่งถึงสองปี
บางวันเป็นวันดี คนกับหมาเดินไปตามหาด กิน นอน เดินเล่น
เมื่อเงินบริจาคเข้ามามากกว่าค่ารักษา เขาจึงคิดเอาเงินที่เหลือไปใช้ประโยชน์ เจ้าของหมา ช่างภาพ และสัตวแพทย์ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิ Schoep’s Legacy Foundation พวกเขาหวังจะช่วยหมาของคนยากจนอย่างเช็พอีกสัก 30-40 ตัว
มันก็คือไอเดีย ‘pay it forward’ สำหรับหมา
…………………………..
ภาพคนกับหมายังช่วยยกระดับจิตใจของคนซึมเศร้าอีกหลายคน
หลายคนที่เห็นรูปถ่ายนั้นแล้วรู้สึกอิ่มใจ ภาพหนึ่งภาพแทนคำล้านคำ ความรู้สึกซึมเศร้าก็ลดลง
เรื่องของจอห์นกับเช็พเป็นเรื่องของความรักข้ามพรมแดน มันข้ามพรมแดนของสายพันธุ์ ข้ามพรมแดนประเทศ มันชี้ว่าความรักเป็นเรื่องสากล คนแปลกหน้าคนละมุมโลกสามารถเชื่อมใจกันได้
และเมื่อนั้นโลกก็ดูสวยงามขึ้น
…………………………..
หมายเหตุ เช็พเสียชีวิตในเดือนกรกฎาคม 2013 อายุ 20
(ภาพโดย Hannah Stonehouse Hudson)
วินทร์ เลียววาริณ
winbookclub.com
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
คอลัมน์ ลมหายใจ / เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ