เงินฝืด – เงินเฟ้อ คือเครื่องบ่งชี้ที่ดีถึงสภาวะเศรษฐกิจ
พอจั่วหัวแบบนี้ หลายคนอาจขยาดว่าเรื่องราวที่เล่าคงจะยากและน่าปวดหัว แต่ความจริงแล้วความรู้เรื่องเงินฝืดและเงินเฟ้อที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจนั้นง่ายมาก หากพูดในหลักการพื้นฐาน และยังเชื่อมโยงไปสู่เรื่องการเงินการลงทุนที่สำคัญต่อการตัดสินใจได้อีกด้วย
เงินฝืด คือ ของทั่วไปถูกลงเมื่อเทียบกับเงินในกระเป๋า
เงินเฟ้อ คือ ของทั่วไปแพงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินในกระเป๋า
สรุปโดยง่ายก็คือ เงินฝืดของถูก เงินเฟ้อของแพง และชีวิตเราก็วนเวียนอยู่กับคำว่าเงินฝืดและเงินเฟ้อทุกเมื่อเชื่อวัน คำถามอย่างง่ายที่สุดคือเงินฝืดหรือเงินเฟ้ออย่างไหนจะดีกับเศรษฐกิจมากกว่า?
คำตอบคือ เงินเฟ้อ (แบบอ่อนๆ)
เงินเฟ้อแบบอ่อน ๆ ในที่นี้คือเงินเฟ้อในระดับ 1.5 – 3.0% สักประมาณนี้กำลังดี ของจะค่อย ๆ แพงในขณะที่ประชาชนยังสามารถเพิ่มค่าแรงของตัวเองขยับตามไต่ไปได้ ความจริงเงินเฟ้อกับค่าแรงก็เหมือนงูกินหาง เพราะต้นทุนค่าสินค้าและบริการที่จำเป็นต้องขึ้นทุกปีคือค่าแรง (ถ้าไม่ขึ้นค่าแรง พนักงานที่ไหนจะอยากทำงานต่อ ถูกไหม?) ดังนั้น เมื่อบริษัทขึ้นค่าแรงพนักงาน สินค้าของบริษัทจึงขึ้นราคาด้วย นั่นเลยกลายเป็นเงินเฟ้อ เหตุผลหลักที่ทำให้พนักงานอยากได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นนั่นเอง
เงินเฟ้อแบบอ่อน ๆ จึงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี
หากตั้งใจฟังข่าวเศรษฐกิจ เรามักได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่ารัฐบาลตั้งเป้าเงินเฟ้อไว้ที่ระดับอ่อน ๆ จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป เพราะเงินเฟ้อน้อย ๆ กระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ค่าแรงค่อย ๆ เพิ่ม แล้วก็แสดงว่าเศรษฐกิจดีด้วย เพราะสินค้าบริการขึ้นราคา นั่นแปลว่าคนมีกำลังซื้อ เงินกำลังหมุนอยู่ในระบบ
ตรงกันข้ามกับเงินฝืด
สิ่งที่แย่สำหรับเศรษฐกิจคือเงินฝืด สินค้าบริการราคาต่ำลง ฟังดูเหมือนจะดี เพราะคนจะได้ซื้อของถูก แต่เปล่าเลย นั่นหมายถึงเศรษฐกิจแย่จนผู้ประกอบการต้องยอมขายสินค้าและบริการราคาต่ำเพื่อเอาเงิน นั่นเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจแย่แล้ว เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใครอยากขายของราคาถูกลงกว่าเดิมหรอก
และเมื่อผู้ประกอบการขายสินค้าราคาต่ำลง
นั่นนำมาซึ่งรายได้มวลรวมของประเทศชาติที่จะลดต่ำลงด้วย รายได้ลดลง ภาษีที่เก็บได้ก็ลดลง กระทบกันไปเป็นลูกโซ่ ทั้งภาษีบุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อเงินหายไปจากระบบ นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดี เศรษฐกิจฝืดเคือง และอาจนำมาซึ่งการถดถอยในที่สุด
นั่นดูเหมือนจะแย่ แต่ไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุด
สิ่งที่น่ากลัวอย่างมากของเศรษฐกิจ คือ ภาวะ stagflation อันเกิดจากการผสมกันระหว่าง stagnation หรือภาวะหยุดนิ่งของเศรษฐกิจ และ inflation หรือภาวะเงินเฟ้อ แปลง่าย ๆ ก็คือภาวะที่เงินเฟ้อแต่เศรษฐกิจกลับไม่ดี หลายคนอาจงงว่า ไหนบอกว่าเงินเฟ้อแล้วเศรษฐกิจจะดี นั่นต้องยอมรับว่า เงินเฟ้อบางประเภทก็ไม่ทำให้เศรษฐกิจดีเหมือนกัน
เงินเฟ้อแบบที่น่ากลัวคือเงินเฟ้อที่มาจากการขาดแคลนทรัพยากร
เงินเฟ้อแบบที่ดีคือเงินเฟ้อที่มาจากความต้องการที่สูงขึ้น คนต้องการของมากขึ้น ของก็ขึ้นราคา แต่เงินเฟ้อแบบที่ไม่ดีคือเงินเฟ้อที่มาจากการขาดแคลนทรัพยากร เช่น ภาวะสงคราม สินค้าไม่สามารถจัดส่งได้ เกิดการคว่ำบาตร สินค้าบางประเภทเลยแพงขึ้นอย่างมาก เพราะแหล่งวัตถุดิบได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการเมือง
เงินเฟ้อแบบนี้ทำร้ายเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
เพราะเงินเฟ้อที่มากเกินไปมักส่งผลให้ประชาชนเพิ่มรายได้ตามไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเงินเฟ้อที่มาจากสินค้าโภคภัณฑ์จำเป็นในชีวิตประจำวันอย่างค่าน้ำมันและค่าอาหารสด ซึ่งคนหลีกเลี่ยงการใช้ไม่ได้ น้ำมันอาจขึ้นได้ปีละ 100% แต่ในทางเป็นจริง รายได้ของคนขึ้นปีละไม่เกิน 10% ทั้งนั้น
เงินเฟ้อแบบนี้จึงนำมาซึ่งการถอยและท้อทางเศรษฐกิจ
เมื่อคนจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเหมือนเดิม ราคาทรัพยากรแพงขึ้น เงินในกระเป๋าเท่าเดิม นั่นหมายถึงคนจำเป็นต้องลดละเลิกกิจกรรมการใช้จ่ายอย่างอื่น เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มชะลอตัวไปจนถึงถดถอย ยิ่งภาวะเงินเฟ้อสูงคงอยู่นานเท่าไหร่ แนวโน้มที่เศรษฐกิจจะถดถอยอย่างรุนแรงก็มากขึ้น
ปรกติรัฐบาลจะสามารถบริหารเงินฝืดและเงินเฟ้อผ่านปริมาณเงินในระบบได้
เงินฝืดเกิดจากมีเงินในระบบน้อยไป รัฐต้องอัดฉีดเงินเข้าไป
ส่วนเงินเฟ้อเกิดจากการมีเงินในระบบมากไป รัฐต้องดึงเงินออกมา
แต่ปัญหาเงินเฟ้อจากการขาดแคลนทรัพยากร ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงจากปริมาณเงินในระบบ หากรัฐพยายามแทรกแซงโดยการดึงเงินออกจากระบบเพื่อลดภาวะความร้อนแรงของเงินเฟ้อ เศรษฐกิจก็อาจย่ำแย่ขึ้นอีกได้ เพราะเงินในระบบก็ไม่ค่อยเพียงพอต่อการใช้จ่ายอยู่แล้ว
เงินเฟ้อเงินฝืดจึงกลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวนักลงทุนมาก
ตัวเลขไม่กี่ตัวสามารถทำนายภาพเศรษฐกิจได้ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และแน่นอนว่านำไปสู่การรับมือเพื่อให้เราอยู่รอดปลอดภัยได้ในภาวะเศรษฐกิจอันย่ำแย่
นักลงทุนห้ามท้อ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจกำลังถอยก็ตาม
คอลัมน์: ใดใดในโลกล้วนลงทุน
เรื่อง: ลงทุนศาสตร์