หากคุณต้องตายในวันนี้ คุณจะบอกอะไรแก่คนที่คุณรักและไม่รักเป็นคำพูดสุดท้าย? อยากพูดอะไรกับคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งชาวโลก? คุณจะพูดสิ่งที่คุณรู้สึกจริงๆ หรือไม่? คุณจะพูดทุกอย่างที่คุณปิดบังมาทั้งชีวิตหรือไม่?
มีความเชื่อว่าคนใกล้ตายย่อมพูดความจริง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหกอีกแล้ว
นี่คือบันทึกคำพูดสุดท้ายจริงๆ ของนักโทษประหารหลายคน
…………………
นักโทษ เจฟฟรีย์ อัลเลน บาร์นีย์
วันประหาร 16 เมษายน 1986
คำพูดสุดท้าย “ผมเสียใจสิ่งที่ผมทำไป ผมสมควรรับโทษแล้ว พระเยซูทรงโปรดให้อภัยลูกด้วย”
…………………
นักโทษ ธอมัส แอนดี แบร์ฟุต
วันประหาร 30 ตุลาคม 1984
คำพูดสุดท้าย “ผมหวังว่าวันหนึ่งเราสามารถหันกลับมามองความชั่วร้ายที่เรากำลังกระทำอยู่ในตอนนี้ เหมือนแม่มดที่ถูกเผาตายทั้งเป็น ผมต้องการให้ทุกคนรู้ว่าผมไม่ถือโทษโกรธเคืองพวกเขา ผมให้อภัยทุกคน ผมหวังว่าคนที่ถูกผมกระทำจะให้อภัยผม…
“ผมสวดมนต์ทั้งวันสำหรับภรรยาของเหยื่อ ให้ขับความขมขื่นออกไปจากหัวใจเธอ เพราะความขมขื่นนั้นจะทำให้เธอตกนรกเหมือนบาปอื่นๆ ผมเสียใจในทุกเรื่องที่ผมกระทำต่อคนอื่น ผมหวังว่าพวกเขาจะยกโทษให้ผม”
…………………
นักโทษ วิลเลียม พรินซ์ เดวิส
วันประหาร 14 กันยายน 1999
คำพูดสุดท้าย “ผมอยากบอกครอบครัวผมว่าผมเสียใจแค่ไหนในวิญญาณของผมและในหัวใจของผม ต่อหัวใจคนทั้งหลายที่เจ็บปวดเพราะการกระทำของผม ผมอยากขอบคุณพวกนักโทษประหารด้วยกันที่แสดงความรักต่อผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมหวังเช่นนั้นโดยการบริจาคร่างกายของผมให้วงการวิทยาศาสตร์และอวัยวะบางส่วนเพื่อช่วยคนบางคน…”
…………………
นักโทษ เจอรัลด์ ลี มิตเชลล์
วันประหาร 22 ตุลาคม 2001
คำพูดสุดท้าย “ผมเสียใจต่อชีวิตที่ผมพรากจากพวกคุณ ผมขอให้พระเจ้ายกโทษให้ และผมขอพวกคุณอย่างเดียวกัน ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมเสียใจในสิ่งที่ผมทำ…
“สำหรับครอบครัวของผม ผมรักทุกๆ คน จงเข้มแข็ง รับรู้ว่าความรักของผมอยู่กับพวกคุณเสมอไป ผมรู้ว่าผมกำลังกลับบ้านไปหาพระเจ้า จงหลั่งน้ำตาแห่งความปีติเพื่อผม”
…………………
นักโทษ รอเบิร์ต แอนโธนี แมดเดน
วันประหาร 28 พฤษภาคม 1997
คำพูดสุดท้าย “ผมขอโทษต่อความสูญเสียและความเจ็บปวดของพวกคุณ แต่ผมไม่ได้ฆ่าคนเหล่านั้น หวังว่าเราจะเรียนรู้บางสิ่งเกี่ยวกับตัวเราและคนอื่น และเราจะเรียนรู้ที่จะหยุดวงจรความเกลียดชังและการแก้แค้น และมาหาคุณค่าในโลกนี้…”
มนุษย์เราทุกคน ไม่ว่าคนธรรมดาหรือนักโทษประหาร ก็ต้องผ่านขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือการสำรวจจิตใจของตนเองก่อนตาย หากปรารถนาจะจากโลกไปอย่างสงบ หรือตายตาหลับ
นักโทษประหารที่กระทำผิดจริงจำนวนมากรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเอง แต่มันช้าไปแล้วที่จะแก้ไข
เรื่องที่น่าเสียใจแทบทั้งหมดเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ
การกระทำเรื่องเลวร้ายอาจเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เมื่อสติหลุด และผลเสียหายอยู่กับเราไปจนลมหายใจสุดท้าย
คำถามคือ เราจะป้องกันไม่ให้เกิดอารมณ์ชั่ววูบอย่างไร
เรารู้ว่าคือรักษาสติ แต่เราก็รู้ว่าเราไม่สามารถรักษาสติได้ตลอดเวลา ทุกคนมีจุดหลุด
บางทีสิ่งที่ช่วยเตือนสติเราได้คือเรียนรู้บทเรียนจากนักโทษประหาร ความสำนึกเสียใจของพวกเขาอาจทำให้เรามีสติดีขึ้น
เราทุกคนมีโอกาสมากกว่านักโทษประหาร เพราะเรายังไปไม่ถึงจุดที่เราลงมือทำความผิด
ไม่เพียงเรียนรู้เรื่องความเสียใจของจากนักโทษประหารเหล่านี้ เรายังควรปลูกฝังนิสัยคิดก่อนทำเสมอด้วย สงบจิต ระงับใจในทุกสถานการณ์
ในนาทีใกล้ตาย นักโทษประหารแทบทุกคนนึกถึงครอบครัวของตนเอง และเสียใจที่ไม่สามารถใช้ชีวิตที่เหลือกับครอบครัว เสียใจที่นาทีชั่ววูบ ตัดสินใจผิด ตกเป็นทาสของอารมณ์ชั่ววูบ
แต่เราทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในแดนประหารยังมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตที่เหลือของเราอย่างดี เราสามารถใช้บทเรียนจริงที่เจ็บปวดของคนเหล่านั้น มาเป็นบทเรียนของเรา เพื่อที่เราจะไม่ทำผิดแบบเดียวกัน เพื่อที่ในห้วงยามสุดท้ายของชีวิต เราจะไม่เสียใจที่ทำอะไรผิดพลาด
ผลของสติหลุด ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างใด หรือชอบธรรมหรือไม่ก็ตาม ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและจิตใจ ไม่ใช่แค่คนคนเดียว แต่หลายคน หรือทั้งสังคม ในพริบตา ชีวิตของพวกเขาและครอบครัวก็แตกสลาย
มีตัวอย่างมากมายที่คนขับรถปาดหน้ากัน ก็สามารถชักปืนออกมายิงอีกฝ่าย เพราะ ‘เราถูกลูบคม’ หรือ ‘มันไม่ยุติธรรม’
อารมณ์ชั่ววูบทำลายคนมามากมาย
การสูญเสียสติไปให้อารมณ์นั้นไม่มีอะไรดี
ความโกรธ อารมณ์ชั่ววูบป็นสิ่งอันตราย มันอาจเปลี่ยนชีวิตเราในพริบตา และเปลี่ยนชีวิตคนอื่น และครอบครัวอื่นๆ
และในท้ายที่สุด ในนาทีสุดท้าย ก็รู้สึกว่าความจริงแล้ว เราก็พอยอมกันได้นี่นา
วินทร์ เลียววาริณ
winbookclub.com
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
คอลัมน์: ลมหายใจ
เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ