ในรอบปีที่ตึงเครียดจากภาวะโรคระบาด รวมถึงถูกจำกัดการท่องเที่ยวนอกประเทศ ซีรีส์รักวัยรุ่น Dash & Lily ถือว่าเป็นยาบำบัดชีวิตสำรับดีมีทั้งสรรพคุณ ดูแล้วยิ้มสบายใจแถมเหมือนได้ไปเที่ยวใจกลางนิวยอร์กช่วงคริสต์มาส
แม้บทหนังจะค่อนข้างตามสูตรสำเร็จ แต่การเล่าเรื่องที่สนุก นักแสดงนำที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว รวมถึงการเลือกโลเคชั่นและกำกับภาพก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ คนทำหนังสามารถทำให้ “สถานที่” อย่างนิวยอร์กโปรยเสน่ห์ให้คนดูหลงใหลเหมือนตัวละครอีกตัวหนึ่ง (คล้ายกับซีรีส์เรื่อง Emily in Paris ที่ทำให้คนดูเหมือนได้ไปเที่ยวปารีสพร้อมตัวละคร) รวมถึงทำให้คนที่รักร้านหนังสือหรือการอ่านน่าจะตกหลุมรักเรื่องนี้ไม่ยาก
Dash & Lily ความยาวสั้นๆ แค่ตอนละ 20 กว่านาที มีทั้งหมด 8 ตอน เรื่องเปิดฉากขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม ช่วงไม่กี่วันก่อนคริสต์มาส แต่บรรยากาศรื่นเริงในเมืองก็เริ่มต้นแล้ว
แดชเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่อินกับเทศกาลแห่งความสุขนี้ แถมยังออกจะรู้สึกยี้ๆ ด้วย เขาบรรยายว่ามันคือ “เทศกาลที่น่าชังที่สุดของปี การฝืนแสดงอาการยินดี ผู้คนบ้าคลั่ง นักร้องเพลงประสานเสียงที่เมาจนลืมเนื้อเพลง รวมถึงคู่รักที่ไร้เดียงสามากเสียจนเกิดผิดพลาดมาตกหลุมรักกันในเทศกาลนี้”
ตรงข้ามกับลิลี่ คริสต์มาสคือช่วงเวลาที่เธอรอคอย เป็นเทศกาลที่เธอบรรยายว่าคือช่วงที่ดีที่สุดของปี มีความทรงจำดีๆตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ที่รักกันในวันนี้ ทุกปีเธอออกไปร้องเพลงประสานเสียงต่อด้วยฉลองอบอุ่นแบบพร้อมหน้าในครอบครัว ยกเว้นปีนี้ที่พ่อแม่ขอปลีกตัวไปฮันนีมูน ส่วนคุณตาของเธอก็ไปต่างเมืองเพื่อพบแฟน เหลือพี่ชายที่เพิ่งคบกับแฟนใหม่ ปีนี้ลิลี่จึงไม่มีใคร
ลิลี่ใฝ่ฝันว่าจะพบใครซักคนในช่วงคริสต์มาส แล้วพี่ชายของเธอก็เสนอไอเดียสมุดบันทึกสีแดงที่ลิลี่เขียนหน้าปกว่า “นายกล้ามั้ย…” แอบเอาไปสอดไว้ในชั้นของร้านหนังสือแห่งหนึ่ง
ในสมุดปกแดงมีคำใบ้ท้าให้คนเจอสมุดเล่มนี้แก้ปริศนาแล้วทำตามคำสั่ง แต่ปริศนาเหล่านั้นก็แฝงความเนิร์ดและคนรักการอ่านที่ไม่ถึงกับเป็นคอวรรณกรรมตัวยงก็อาจยอมแพ้
แต่บังเอิญคนที่เจอคือแดช แล้วยิ่งบังเอิญที่ทั้งคู่เป็นคอวรรณกรรม เป็นหนอนหนังสือเหมือนกัน ทั้งแดชกับลิลี่ไม่ได้พบกันเลย แต่เขียนบันทึกไว้ในสมุดเพื่อให้อีกคนมาตามเก็บไปอ่าน มีทั้งการเล่าชีวิตส่วนตัวควบคู่กับปริศนาที่ท้าให้อีกฝ่ายหาคำตอบหรือไม่ก็คำท้าให้ทำอะไรบางอย่าง แล้วสมุดเล่มนี้ก็คือสื่อกลางความสัมพันธ์ที่พาทั้งสองคนค่อยๆ เติบโตผ่านสถานที่ต่างๆ ในนิวยอร์กโดยคนดูร่วมเดินทางไปด้วย
Dash & Lily อาจมีคริสต์มาสในความหมายที่ตรงข้ามกัน แต่ความมีอะไรเหมือนกันนั้นมากกว่า แล้วหนึ่งในความเหมือนกันก็คือทั้งคู่ถูกประสบการณ์ไม่ดีในอดีตเหนี่ยวรั้งไว้ การรู้จักซึ่งกันและกันช่วยให้ทั้งคู่หลุดจากอดีตนั้น
แดชมีประสบการณ์คริสต์มาสเป็นฝันร้ายตั้งแต่วัยเด็กที่พ่อแม่บอกเรื่องหย่าร้าง คำพูดปลอบใจว่าเขาจะได้มีงานคริสต์มาสปีละสองครั้ง (พ่อและแม่แยกกันจัดให้) ไม่ได้ช่วยให้เขาดีขึ้น เขาอธิษฐานกับซานตาคลอสให้ทั้งคู่ไม่เลิกกันก็ไม่สมหวัง นั่นคือครั้งแรกที่คริสต์มาสไม่ใช่เทศกาลความสุขของเขา แล้วแต่ละปีเมื่อถึงเทศกาลนี้แม่ก็จะไปฉลองที่อื่น พ่อ (ที่เลิกกับแม่แล้ว) ก็มักจะควงหญิงหน้าใหม่ๆ มาฉลอง แล้วปีล่าสุดยิ่งแย่กว่าทุกครั้งเมื่อแฟนขอบอกเลิก
ในขณะที่เขากำลังทำใจได้และมีความสุขกับชีวิตใหม่ที่สนิทสนมกับลิลี่ เขาก็เริ่มไขว้เขวเมื่อแฟนเก่ากลับเข้ามาในชีวิต
กรณีของแดช คือตัวอย่างความสัมพันธ์ที่ช่วยให้เราเข้าใจหลายๆ คนที่แม้เลิกกับแฟนไปแล้วแต่ก็ยังตัดใจไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าการคืนดีนั้นไม่ได้มีความสุขนัก แต่ก็ยังอยากทำเพียงเพราะนั่นคือ safe zone หรือพื้นที่ปลอดภัยซึ่งเจ้าตัวคุ้นเคย
แฟนเก่าของแดชคอยช่วยเหลือเขามาตลอด เป็นเหมือนทั้งที่พึ่งพิงและที่ปรึกษา แน่นอนว่านั่นช่วยให้แดชเอาตัวรอดในสถานการณ์ยากๆ ได้ แต่แดชก็ไม่รู้ตัวว่าข้อเสียในความสัมพันธ์แบบนี้คือ ทำให้เขาไม่รู้จักโตเพราะแฟนจะเป็นคนแก้ปัญหาให้เสมอ แล้วก็เหมือนที่เพื่อนของเขาว่าไว้ แม้แฟนเก่าคนนี้ดีแค่ไหน แต่เวลาอยู่ด้วยกันแดชแทบจะไม่เคยได้พูดเต็มที่ในสิ่งที่ตัวเองคิด เขาไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองเพราะมีแฟนคอยเป็นกระบอกเสียงหรือตัวกลางแทนเสมอ
จนเมื่อแดชรู้ตัวในตอนท้ายขณะนั่งโต๊ะกินข้าวกับพ่อ (และแฟนใหม่) แล้วบรรยากาศกลับมาตึงเครียดว่า “ความสัมพันธ์เก่า” ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยก็จริง แต่เขายังต้องพึ่งพาคนอื่นเหมือนเคย แต่ “ความสัมพันธ์ปัจจุบันกับลิลี่” ช่วยให้เขาเรียนรู้วิธีการที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นแบบมีวุฒิภาวะ (maturity) มากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งใคร นั่นคือการเติบโตและเป็นการบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ใหม่นี้คือความสัมพันธ์ที่ดีเพราะช่วยให้เขาเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ส่วนลิลี่ก็เคยถูกเพื่อนร่วมห้องกลั่นแกล้งล้อเลียน (bully) จนเธอฝังใจ และเสียความมั่นใจที่จะเข้างานปาร์ตี้หรือไปพบผู้คนใหม่ๆ เธอจึงโตมาในวงสังคมที่สนิทกับคนแค่ไม่กี่คน นอกจากครอบครัวที่น่ารักก็สนิทกับเพื่อนต่างวัยที่มีงานอดิเรกเป็นนักร้องวงร้องประสานเสียง ซึ่งนานๆ ก็จะเจอกันสักครั้ง ลิลี่จะชวนใครในกลุ่มนี้ไปเที่ยวด้วยก็ยาก เพราะเพื่อนร่วมร้องประสานเสียงมักเป็นรุ่นพี่หรือไม่ก็รุ่นลุงที่อยู่ในวัยทำงาน
แล้วทุกครั้งที่ลิลี่กระอักกระอ่วนใจเมื่อเข้าสังคม วิธีที่เธอคุ้นเคยคือ “หนี” แล้วก็กลับไปหา safe place ซึ่งก็คือครอบครัวหรือเพื่อนวงประสานเสียง
แต่ “ความสัมพันธ์กับแดช” ช่วยให้เธอกล้ามากขึ้น กล้ายอมรับตัวเองอย่างที่เป็นเพราะแดชยอมรับตัวตนของเธออย่างสนิทใจ ความต่างของเธอไม่ใช่ความแปลกประหลาดอย่างที่เธอคิด จริงอยู่ว่าในสังคมมีคนใจร้ายที่ชอบรังแกหรือมีเซ็ตติ้งที่ทำให้เรารู้สึกแปลกแยก แต่ในสังคมก็ยังมีคนดีๆ ยังมี setting ที่เหมาะกับเรา เพียงแต่เราไม่เคยเจอเพราะเราไม่ให้โอกาสตัวเองค้นหามัน ลิลี่จึงก็เริ่มต้นก้าวข้ามไปได้ทีละนิดโดยผ่านการช่วยเหลือของแดช
Dash & Lily นับได้ว่าเป็นซีรีส์ม้ามืดจาก Netflix และแม้ไม่โด่งดังเท่าเรื่องอื่นๆ ในปีนี้ แต่ก็มีเสน่ห์ที่คนดูส่วนใหญ่น่าจะตกหลุมรักได้ไม่ยาก แล้วเรื่องราวในหนังก็ยังเหมาะมากๆ ในการเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้จิตใจสำหรับดูในช่วงเวลา บรรยากาศดีๆ ส่งท้ายปีกับก้าวสู่ปีใหม่ซึ่งเป็นเทศกาลที่เราเคยสนุกสนาน ร่าเริงกว่านี้ แต่ปีนี้จำเป็นต้องหม่นลงเพราะโรคระบาด
แต่ก็เหมือนแดชกับลิลี่ ถ้าเรายังมีกันและกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีช่วยให้เติบโตผ่านอุปสรรค เราก็จะผ่านวันเวลาทุกข์ยากเหล่านั้นไปได้เพื่อรอฉลองปีใหม่ปีถัดไปเมื่อ
โควิด-19ถูกควบคุมได้สำเร็จ
สุขสันต์วันปีใหม่ผู้อ่านทุกท่านครับ
คอลัมน์: มองโลกผ่านจอ
เรื่อง: “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” (www.facebook.com/ibehindyou ,i_behind_you@yahoo.com)