วิกฤติ – เจียระไน – นักลงทุน

-

ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ

คำพูดนี้อาจใช้ไม่ได้ในบางช่วงบางเหตุการณ์บางจังหวะของชีวิต แต่ถ้ามองในแง่มุมการลงทุน นี่นับว่าเป็นสัจธรรมหนึ่งของโลกการเงินและการลงทุน เพราะหากราคาสินทรัพย์กำลังพุ่งลง นั่นหมายถึงใครสักคนกำลังจะมีกำไรจากการลงนี้ อาจเป็นนักลงทุนที่ช้อนซื้อสินทรัพย์เก็บไว้เพื่อขายต่อเมื่อราคากระเตื้องขึ้นในอนาคต หรืออาจเป็นนักเก็งกำไรที่เปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในฝั่งขาย (short derivatives) ทำกำไรในช่วงราคาขาลง นั่นเป็นเหรียญที่มีทั้งสองด้าน คือกำไรและขาดทุน

มีคำกล่าวที่พูดกันซ้ำ ๆ ในตลาดหุ้นว่า “หากลงทุนยังไม่ถึงสิบปี ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าสามารถเอาชีวิตรอดในตลาดหุ้น” นั่นเพราะการจะสอบผ่านเป็นนักลงทุนที่กล้าแกร่งพอในระยะยาว ต้องฝ่าฟันวิกฤติใหญ่มาได้สักครั้ง และอาจต้องรอเวลาถึงสิบปี เพราะโดยทั่วไปแล้ว ทุกสิบปีตลาดหุ้นจะเกิดวิกฤติใหญ่สักครั้ง วิกฤติใหญ่ที่ว่าเป็นวิกฤติแบบไหน สังเกตได้ง่าย ๆ คือ วิกฤติใหญ่จะเป็นวิกฤติที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงกว่า 50% ยกตัวอย่าง หากวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 1,600 จุด ถ้าตลาดลดลงถึง 800 จุด นั่นก็แปลว่าเป็นวิกฤติใหญ่แล้ว

หากย้อนภาพไป วิกฤติใหญ่ที่เคยมาเยือนตลาดหุ้นไทย ได้แก่ วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 1997 กับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 ส่วนวิกฤติอื่นมักเป็นวิกฤติขนาดเล็กเท่านั้น (ดัชนีลดลงกว่า 30% แต่ไม่ถึง 50%) เช่น วิกฤติราคาน้ำมัน ปี 2015 หรือวิกฤติโรคระบาดโควิด ปี 2020 ตัวผมเองก็ถือได้ว่ายังสอบไม่ผ่านโจทย์นี้ เพราะผมเริ่มต้นลงทุนมาในปี 2014 หลังจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ 4 ปี ตลาดหุ้นอยู่ในระดับสูงแล้ว และผมยังไม่เคยเจอวิกฤติใหญ่สักครั้งเลยในชีวิตการลงทุน 8 ปีของผม

แต่ในทุกวิกฤติเล็กวิกฤติน้อยย่อมให้บทเรียนแก่ผมเสมอ แม้ว่าตลาดหุ้นจะไม่เกิดวิกฤติใหญ่ แต่หากมองหุ้นรายตัว ปรากฏการณ์ที่ราคาหุ้นที่ผมถือมีราคาลดลงกว่า 50% ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่นัก (หุ้นที่ผมถือเคยลดลงสูงสุด 95% จากราคาซื้อ) ผมค้นพบว่าผมได้เรียนรู้อะไรมากมายผ่านช่วงเวลาดังกล่าว วิกฤติตลาดหุ้นก็คงเหมือนลมพายุในอีกแง่หนึ่ง เมื่อพายุมา นั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่บางครั้งลมพายุเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับฝน เหล่าต้นไม้ใบหญ้าที่เหลือรอดก็เติบโตขึ้นทุกครั้งหลังจากฝนพรำ

ผมค้นพบตัวเองว่าช่วงวิกฤติเป็นช่วงเวลาที่ผมจะสร้างความมั่งคั่งได้มากที่สุด หุ้นที่ให้ผลตอบแทนในระดับมากกว่า 100% ของผมหลายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่ได้ผลตอบแทนเกิน 500% ล้วนมาจากช่วงวิกฤติ หรือหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในชีวิต ผลตอบแทนประมาณ 900% ก็เป็นหุ้นต่างประเทศซึ่งผมช้อนซื้อมาในช่วงที่เกิดวิกฤติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีคนได้รับผลประโยชน์จากช่วงเวลาอันเลวร้าย ทุกครั้งที่พายุเริ่มตั้งเค้า ผมจะถามตัวเองว่า ผมบุหลังคาไว้ดีพอหรือไม่ และผมจะตักตวงประโยชน์จากหยาดฝนอย่างไรดี

ไม่ใช่แค่ผม แต่ดูเหมือนนักลงทุนระดับโลกหลายคนต่างสร้างเนื้อสร้างตัวจากช่วงเวลายากลำบากของตลาดหุ้น ยกตัวอย่าง เบนจามิน เกรแฮม นักลงทุนที่ได้รับฉายาว่าเป็นผู้ให้กำเนิดการลงทุนแนวเน้นคุณค่า (value investing : VI) ก็เริ่มต้นหลักการลงทุนนี้ในช่วงหลัง Great Depression ของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนผู้มีความมั่งคั่งสูงที่สุดในโลกจากการลงทุน ก็มีโอกาสช้อนซื้อหุ้นจำนวนมากในช่วงวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติดอทคอม หรือวิกฤติซัพไพรม์

หลายคนที่อ่านอยู่อาจตั้งคำถามว่า วิกฤตินั้นเลือกเจียระไนเฉพาะนักลงทุนที่เก่งหรือเปล่า แล้วสำหรับคนธรรมดา ๆ ล่ะ จะสามารถหาประโยชน์อะไรได้บ้างจากช่วงวิกฤตินี้ ไม่แปลกหากนักลงทุนเก่ง ๆ จะหาเงินได้แม้ในช่วงเวลาอันยากลำบากที่สุด แต่สิ่งที่ผมจะบอกนั้นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้เช่นกัน แน่นอนว่าผลตอบแทนที่ได้อาจไม่โดดเด่นหรือสูงถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตเทียบเท่านักลงทุนที่ศึกษามากกว่าหรือรับความเสี่ยงมากกว่า แต่ก็ยังพอสามารถหาเงินได้จากช่วงเวลาเหล่านี้

 

วิธีการที่ผมแนะนำสำหรับมือใหม่คือการซื้อถัวเฉลี่ย หรือ dollar cost average (DCA) กล่าวคือนักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์ในจำนวนเท่า ๆ กันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกเดือน ทุกสองเดือน ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร ขึ้นหรือลง นักลงทุนก็จะยังคงซื้อหุ้นไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจภาวะตลาด สนใจเพียงอย่างเดียวว่าสินทรัพย์ที่ซื้อยัง “ดี” ในระยะยาวอยู่หรือไม่ หากดีก็ซื้อต่อไป ช่วงที่ตลาดตก เราจะได้สินทรัพย์ในราคาต่ำมาก และเมื่อราคาสินทรัพย์กลับมากระเตื้อง เราก็จะได้ผลตอบแทนอย่างงาม

สิ่งที่ยากที่สุดในการทำ DCA คือการเลือกสินทรัพย์ เพราะผลสัมฤทธิ์จากการซื้อถัวเฉลี่ยจะผลิดอกออกผลเมื่อสินทรัพย์นั้นมีราคาปรับเพิ่มขึ้นในระยะยาว แน่นอนว่าถ้าเราตาไม่ดีเลือกสินทรัพย์ที่แย่มา เราอาจไม่ได้อะไรจากช่วงเวลาที่อดทนซื้อ ดังนั้นการลงทุนแบบ DCA จึงไม่ใช่การก้มหน้าก้มตาซื้อไปเรื่อยเปื่อย แต่คือการวางแผนและคิดอย่างเป็นระบบ เบื้องหลังวิธีการลงทุนที่แสนง่ายดาย เช่น การกดสั่งซื้อสินทรัพย์อัตโนมัติทุกเดือนไปเรื่อย ๆ นั่นแฝงอะไรอีกเยอะที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้

หลายคนอาจบอกว่า แบบนั้นก็ยากสิ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเลือกสินทรัพย์ได้อย่างแม่นยำ ผมก็มีคำตอบรอไว้สำหรับกรณีนี้แล้ว วิธีการเลือกสินทรัพย์ที่ง่ายดายแบบหนึ่งคือการซื้อกองทุนดัชนีหรือ Index Fund กองทุนรวมแบบนี้เป็นกองทุนรวมที่รวบรวมหุ้นที่เป็นตัวแทนของประเทศนั้น ๆ หรือตลาดหุ้นนั้น ๆ การลงทุนในกองทุนดัชนีจึงเปรียบเหมือนการลงทุนเหมาประเทศดังกล่าว ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจว่า คุณเชื่อว่าประเทศนั้นจะมีเศรษฐกิจที่ดีในระยะยาวไหม หากมีก็ซื้อกองทุนดัชนีถัวเฉลี่ยไปยาว ๆ เช่น ตัวแทนประเทศไทยก็คือกองทุนดัชนี SET index

ผมพูดอยู่เสมอว่า หากทุนนิยมไม่ล่มสลายไปเสียก่อน วิกฤติทางการเงินย่อมสร้างประโยชน์แก่ใครคนใดคนหนึ่งเสมอ แต่คำถามคือจะมีเราเป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่า ยิ่งเวลาผ่านไปนาน อยู่ในตลาดทุนนาน การเจอวิกฤติจะเป็นเรื่องเล็กน้อยลงเรื่อย ๆ เราจะเห็นภาพใหญ่มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น เอาใจไปผูกพันตัวเลขน้อยลง ยิ่งอารมณ์หวั่นไหวกับความวูบวาบของวิกฤติลดลงเท่าไหร่ สัญชาตญาณในการลงทุนของเราจะยิ่งแหลมคม และนั่นก็หมายถึงโอกาสที่จะสร้างเงินในช่วงเวลาอันย่ำแย่

นักลงทุนนั้นถือกำเนิดจากช่วงเวลาอันโหดร้าย ไม่ต่างกับเพชรที่ผ่านการเจียระไนมานานจนเข้ารูป


คอลัมน์ ใดใดในโลกล้วนลงทุน

เรื่องโดย “ลงทุนศาสตร์”

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!