วัคซีนคือทางออก โรคโควิด-19

-

แม้จะย่างเข้ากลางปี 2564 แล้ว แต่สถานการณ์ของโรคโควิด-19 (COVID-19) ที่แพร่ระบาดทั่วโลกนั้น ก็ยังคงดำเนินต่อไป และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้โดยเร็ว ในประเทศไทยของเราเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และมีความรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ เป็นอันมาก ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดที่พุ่งสูงขึ้นจนทำลายสถิติ และดูจะไม่ค่อยเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เว้นแต่เราจะมี “วัคซีน” เพียงพอต่อแก่การป้องกันโรค

 

แผนที่โลก เปรียบเทียบอัตราส่วนจำนวนโดสของวัคซีนโรคโควิดที่ประเทศต่างๆ ได้ฉีดไปแล้ว

 

นับเป็นโชคดีของมวลมนุษยชาติ ที่วัคซีนป้องโรคโควิดได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อย่างที่ไม่เคยมีการทำสำเร็จในโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆ แถมเป็นวัคซีนสำหรับเชื้อไวรัสกลุ่มโคโรนาไวรัส (coronavirus) ซึ่งไม่เคยมีสำหรับมนุษย์ ขนาดวัคซีนสำหรับโรคซาร์ส (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS) ซึ่งเกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสในมนุษย์เช่นเดียวกับโรคโควิด ก็ยังไม่สามารถพัฒนาจนสำเร็จและนำออกมาใช้งานได้จริง ส่วนใหญ่มักทำไปจนถึงการทดสอบระยะต้นเท่านั้น

แต่จากการที่เชื้อไวรัสซาร์สโควีทู (SARS-CoV-2) ซึ่งเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิดนั้น ได้ถูกแยกเชื้อสำเร็จตั้งแต่ปลายปี 2562  และลำดับพันธุกรรมของมันก็ถูกถอดรหัสสำเร็จด้วย จนได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลกในวันที่ 11 มกราคม 2563 จึงมีการริเริ่มพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคโควิดขึ้น เกิดทั้งความร่วมมือและการแข่งขันกันอย่างกว้างขวางระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเวชภัณฑ์ต่างๆ ประมาณกันว่า จนถึงเดือนมิถุนายน 2563  มีการลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาล รวมแล้วหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (คูณ 30 เมื่อคิดเป็นเงินบาท) เพื่อพัฒนาวัคซีนโควิดทั่วโลก

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยบอกไว้ว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิดคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 18  เดือน (หรือหนึ่งปีครึ่ง) จึงจะพัฒนาสำเร็จ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 2563 ได้กระตุ้นให้องค์กรความร่วมมือและบริษัทต่างๆ เร่งมือยิ่งขึ้นและย่นระยะเวลาที่วางแผนไว้ แค่เดือนมีนาคมเท่านั้นก็เริ่มมีวัคซีน 4 ตัวแรกที่สร้างสำเร็จในห้องปฏิบัติการ และเข้าสู่กระบวนการทดสอบ

 

วัคซีนหลากหลายชนิดได้รับการพัฒนาและนำมาใช้กับเชื้อไวรัสโรคโควิด ทั้งวัคซีนเชื้อเป็น (attenuated virus) วัคซีนเชื้อตาย (inactivated virus) วัคซีนไวรัลเวคเตอร์(viral vector vaccine) วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA vaccine) และอื่นๆ

 

หลังจากวัคซีนผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองแล้ว ก็จะถูกทดสอบในอาสาสมัคร โดยเริ่มจากเฟสที่หนึ่ง (phase I) เพื่อทดสอบเบื้องต้นถึงความปลอดภัยและปริมาณโดส (dose) ของวัคซีนที่จะใช้ในอาสาสมัครไม่กี่สิบคน จากนั้นจึงเป็นการทดสอบเฟสที่สอง (phase II) เพื่อวัดระดับภูมิคุ้มกัน ระดับของโดสที่เหมาะสม และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นในอาสาสมัครจำนวนหลายร้อยคนขึ้นไป  แล้วค่อยเป็นการทดสอบเฟสที่สาม (phase III) ซึ่งจะทดสอบในอาสาสมัครจำนวนมาก หลายพันหรือหลายหมื่นคน ในหลายพื้นที่ศึกษาที่มีการระบาดจริงของโรค เพื่อดูประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีน (vaccine efficacy) ในการป้องกันการเกิดโรค รวมทั้งติดตามดูผลข้างเคียง

ผลจากการแข่งขันพัฒนาวิจัยกันขนานใหญ่ ทำให้เกิดวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 หลากหลายประเภท ตั้งแต่วิธีการผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคยกัน จนถึงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ยังไม่เคยมีการนำมาใช้กับโรคระบาดอื่น แต่ส่วนใหญ่แล้ว วัคซีนที่ได้รับการพัฒนานั้นอาศัยโปรตีนส่วนหนามของเชื้อไวรัสโรคโควิด มาเป็นสารแอนติเจน (antigen) หลักสำหรับการกระตุ้นร่างกายของเราให้สร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดี (antibody) เพื่อสู้กับเชื้อโรค

วัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated virus vaccine) เป็นเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนที่คุ้นเคยกันมากที่สุด โดยนำเอาอนุภาคของไวรัสมาเลี้ยงเพิ่มปริมาณ แล้วทำให้เสียสภาพด้วยความร้อนหรือด้วยสารฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) เพื่อไม่ให้มันสามารถจะเพิ่มจำนวนได้อีกในร่างกายของเรา แต่ยังคงกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันร่างกายได้ ตัวอย่างของวัคซีนกลุ่มนี้ที่คนไทยรู้จัก ก็ได้แก่วัคซีนจากประเทศจีน คือ โคโรนาแวค (CoronaVac) ของบริษัทซิโนแวค (Sinovac) และวัคซีน BBIBP-CorV และวัคซีน WIBP-CorV ของบริษัทซิโนฟาร์ม (Sinopharm)

วัคซีนอีกประเภทหนึ่งซึ่งคนไทยเริ่มคุ้นเคย คือ วัคซีนชนิดที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ หรือเรียกว่า วัคซีนไวรัลเวคเตอร์ (viral vector vaccine) ยี่ห้อที่มีชื่อเสียงคือ วัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา  (Oxford–AstraZeneca) ซึ่งวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) และวัคซีนสปุตนิควี (Sputnik V) ของประเทศรัสเซีย วัคซีนในกลุ่มนี้จะใช้ไวรัสชนิดที่ไม่เพิ่มจำนวนในร่างกายมนุษย์ เช่น อะดีโนไวรัส (adenovirus) มาเป็นเปลือกห่อหุ้มสารดีเอ็นเอ (DNA) ที่ใช้สำหรับสร้างโปรตีนของไวรัสซาร์สโควีทู เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย

ส่วนวัคซีนที่นับว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด แต่ก็ได้ถูกนำมาใช้ฉีดกันแพร่หลาย คือ วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA vaccine) ซึ่งมีหลักการคล้ายวัคซีนไวรัลเวคเตอร์ แต่จะอาศัยสารเอ็มอาร์เอ็นเอมาเป็นสารพันธุกรรมในการสร้างโปรตีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และใช้อนุภาคไขมันระดับนาโน (lipid nanoparticle) เป็นพาหะ นำส่งเข้าไปในเซลล์ร่างกายแทนอะดีโนไวรัส ตัวอย่างของวัคซีนประเภทนี้ คือ วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer–BioNTech) และของบริษัทโมเดิร์นนา (Moderna) นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนอื่นๆ เช่น ชนิดกินเข้าไปทางปาก หรือพ่นเข้าจมูก ที่กำลังได้รับการพัฒนาด้วย

ปัญหาที่น่าหนักใจเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 นั้น นอกจากปริมาณการผลิตที่มีอย่างจำกัด ราคาที่สูง และขาดการกระจายไปให้ถึงประเทศที่ยากจนแล้ว ยังเจอกับข่าวลือความเชื่อผิดๆ จากกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลข้างเคียงที่รุนแรงจนอาจเสียชีวิต ผลกระทบระยะยาว  รวมถึงความวิตกกังวลว่าวัคซีนจะไปเปลี่ยนโครงสร้างพันธุกรรม เหมือนทำให้เรากลายเป็นจีเอ็มโอ

ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และทุกภาคส่วนของไทย จึงต้องช่วยกันปรับแก้ความเชื่อเหล่านี้ให้ถูกต้อง ก่อนที่ผู้คนจะไม่กล้าฉีดวัคซีนกัน จนส่งผลให้เราไม่อาจหาทางออกจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้

 

แพทย์กำลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา

คอลัมน์ : คิดอย่างวิทยาศาสตร์

เรื่อง: รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

ภาพ: รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์,freepik

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!