กีฬาคือการแข่งขัน เมื่อมีการแข่งขันก็ต้องมีผลคือ แพ้ ชนะ หรือเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความสามารถของแต่ละฝ่าย กีฬาบางประเภทวัดกันที่กำลัง บางประเภทต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญ บางประเภทต้องใช้ไหวพริบและสติปัญญา
หมากรุกเป็นการเล่นแข่งขันที่มีมาแต่โบราณ โดยปกติเป็นการเล่นชิงไหวชิงพริบ ประลองทักษะและสติปัญญากันตัวต่อตัว ทั้งนี้อาจมีผู้ถือหางหรือผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายร่วมเป็นกำลังใจอยู่ด้วย กระดานหมากรุกทำด้วยแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมเป็นตาราง 64 ตา ตัวหมากรุกแบ่งเป็นสองฝ่าย มักใช้สีขาวกับสีดำ สมมุติตัวหมากรุกเป็นกองทัพ ประกอบด้วย เบี้ย (พลทหาร) เรือ ม้า โคน (นายกอง) เม็ด (องครักษ์) และขุน (แม่ทัพ) ตัวหมากแต่ละตัวมีวิธีเดินแตกต่างกัน
คำว่า “รุก” หมายถึง การใช้หมากตัวใดตัวหนึ่งวางในตำแหน่งที่จะกินตัวขุน ซึ่งเจ้าของตัวขุนฝ่ายที่ถูกรุกต้องใช้สติปัญญาในการแก้ไขหาทางหลบเลี่ยงแก้กลหมาก หากแก้ไม่ได้ก็ “เข้าตาจน” คือเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในหมากกระดานนั้น ส่วน “รุกฆาต” เป็นการวางหมากตัวใดตัวหนึ่งในตำแหน่งที่จะกินตัวขุนและตัวบริวารอื่นๆ ได้ ฝ่ายตรงข้ามต้องหลบขุน ยอมเสียตัวบริวารอื่นแทน ทั้งนี้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกฝ่ายตรงข้ามกินตัวหมากบริวารจนเหลือขุนเพียงตัวเดียว อีกฝ่ายหนึ่งต้องไล่ขุนจนกว่าจะจน ฝ่ายหนีต้องพลิกแพลงหลีกไป หากครบ ๖๔ ครั้งเท่าจำนวนตารางบนกระดานก็ถือว่าเสมอกัน ขณะที่กำลังเล่นอยู่หากฝ่ายใดเห็นว่าหมากฝ่ายตนเสียเปรียบ เล่นต่อไปก็ไม่มีทางชนะ อาจ “ล้มกระดาน” คือยกเลิกหมากกระดานนั้นแล้วตั้งใหม่
หมากรุกมีที่มาและแบบแผนจากการรบทัพจับศึก เป็นกีฬาโบราณซึ่งน่าจะเป็นที่นิยมมานานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรือก่อนหน้านั้น แรกเริ่มเดิมทีคงเป็นการเล่นแข่งขันของผู้ชายซึ่งต้องเป็นกำลังในกองทัพยามศึกสงคราม แต่ต่อมาก็เป็นที่นิยมแม้ในหมู่สตรีชั้นสูงซึ่งรวมถึงนางในราชสำนักด้วย
โคลงบทหนึ่งในโคลงกำสรวล ซึ่งนักวรรณคดีลงความเห็นว่า น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งในสมัยอยุธยาตอนต้น กล่าวถึงนางอันเป็นที่รักว่า
ปารนี้อรเช้าแม่ เกลาองค์ อยู่ฤๅ
ตั่งกระดานจตุรงคเมียง ม่ายม้า
ฤๅวางสกาลง ทายบาศก์
ฤๅกล่าวคำหลวงอ้า อ่อนแกล้งเกลาฉันท์ ฯ
โคลงบทที่คัดมานี้ กระผมปรับอักขรวิธีให้อ่านง่ายขึ้น และเนื่องจากเป็นโคลงโบราณ ท่านผู้อ่านที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวรรณคดีอาจไม่สันทัด จึงขออธิบายความแบบง่ายๆ คือ กวีท่านถามหญิงคนรักที่กวีจากมา ว่าป่านฉะนี้น้องผู้เป็นนางในราชสำนัก (อรเช้าแม่ = อรชาวแม่ = นางใน) กำลังตั้งกระดาน (เล่น) หมากรุก มองไปที่ตัวม้า หรือว่าน้องกำลังทอดลูกเต๋าเล่นสกา หรือว่าน้องกำลังอ่านหนังสือคำหลวง หรือว่าน้องกำลังแต่งคำประพันธ์ นั่นแสดงว่า สาวชาววังครั้งกระโน้นเล่นหมากรุกเป็น และกีฬาดังกล่าวก็คงเป็นที่นิยมในราชสำนักด้วย
สำหรับชายชาตรีสมัยโบราณ หมากรุกเป็นการฝึกทักษะการแก้ปัญหาและประชันสติปัญญา ชาวบ้านระดับผู้นำสังคมรวมทั้งพระสงฆ์องค์เจ้ามักนิยมเล่นหมากรุก ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนแต่งงานนางพิม ศรีประจันผู้เป็นแม่ของนางพิมเตรียมการนิมนต์พระจากวัดแขวงเมืองสุพรรณฯ มาในพิธี ไปถึงวัดแค สมภารคงผู้เรืองอาคมกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการโขกหมากรุกอยู่หน้ากุฏิ
หมากรุกนั่งโขกกันตั้งแต่บ่ายโมงไปจนถึงรุ่งเช้าวันใหม่ รสชาติอย่างหนึ่งของหมากรุกคือ “โขก” เมื่อเดินตัวหมากที่มีขนาดเขื่อง เช่น ม้า หรือโคน ไปยังตาที่รุกไล่ฝ่ายตรงข้าม ต้องโขกหมากตัวนั้นลงบนกระดานอย่างแรงจึงจะได้อารมณ์
เอาหมากพลูใส่พานมิทันช้า ร้องเรียกบ่าวข้าลงเรือใหญ่
ถึงวัดแคขึ้นกุฎีรี่เข้าไป ศรีประจันนั่งไหว้แล้วว่าพลาง
สมภารผินหลังนั่งเล่นหมากรุก สบสนุกจับโคนเข้าโยนผาง
เข้ากลจะจนที่ตากลาง ศรีประจันเรียกค้างว่าเจ้าคุณ
ดีฉันมาหมายว่าจะนิมนต์ สมภารว่าไม่จนให้หลบขุน
ศรีประจันว่าดีฉันจะทำบุญ สมภารว่าเรือจุนเข้ารุกจน
กีฬาหมากรุกน่าจะเป็นการแข่งขันภูมิปัญญาที่สร้างความหฤหรรษ์บันเทิงแก่ผู้เล่นไม่น้อย กระผมเคยเห็นเซียนนอกจากการเล่นหมากรุกในลักษณะของหมากกระดานแล้ว คนแต่ก่อนท่านยังปรับเป็นรูปแบบของการแสดง “หมากรุกคน” คือ ตีตารางหมากรุกขนาดใหญ่ โรยเส้นปูนขาว ใช้คนแต่งตัวอย่างละครเป็นตัวหมาก ถืออาวุธ ตัวม้าก็สวมหัวม้า ตัวโคนก็สวมหมวกกลีบลำดวนอย่างขุนพล ตัวขุนก็สวมชฎา เป็นต้น ตั้งกระดานหมากแข่งขันกันจริงที่ขอบสนาม ตัวหมากบนกระดานเดินอย่างไรก็ขานให้ตัวหมากรุกคนเดินตามตารางในสนาม มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ เช่นเมื่อเดินหมากตัวม้าก็บรรเลงเพลงม้าย่อง ตัวหมากรุกคนก็ต้องแสดงกิริยาอาการด้วยนาฏลีลาของม้า เมื่อตัวหมากกินอีกตัวหนึ่งก็แสดงกิริยาฟันด้วยอาวุธ ปี่พาทย์ทำเพลงโอด ตัวที่ถูกกินล้มลงแล้ววิ่งออกจากสนามไปรวมอยู่ขอบสนามใกล้กับที่ตั้งกระดานหมากรุก เป็นที่สนุกสนานบันเทิง แม้คนที่เล่นหมากรุกไม่เป็นก็พลอยสนุกไปด้วย
แต่บางกระแสก็ว่า โขกหมากการเมืองสนุกกว่าโขกหมากรุกเป็นไหนๆ
คอลัมน์: ตะลุยแดนวรรณคดี
เรื่อง: บุญเตือน ศรีวรพจน์
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์