ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่สาธุชนคนดีทุกท่าน ได้เวลาเติมธรรมะเข้าสู่หัวใจกันอีกแล้วนะโยม แป๊บเดียวผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้วนะโยม โยมว่าเร็วไหม จะว่าเร็วก็เร็วครับหลวงพี่ จะว่าช้าก็ช้าเหมือนกันครับ อ้าวทำไมเป็นแบบนั้นละโยม
คืออย่างนี้ครับหลวงพี่ ปีไหนเศรษฐกิจดี ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ชีวิตมีความสุข ผมรู้สึกว่าปีนั้นจะผ่านไปเร็วมาก แต่ปีไหนเศรษฐกิจแย่ ธุรกิจแย่ ชีวิตเจอแต่เรื่องแย่ๆ รู้สึกว่าปีนั้นทำไมผ่านไปช้าอะไรแบบนี้ เมื่อไหร่จะผ่านเรื่องแย่ๆ นี้ไปซะที
เอ้อ จริงด้วยโยม ไม่ใช่แค่โยมหรอกที่เป็นแบบนั้น อาตมาก็เคยเป็นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย คนสวย คนขี้เหร่ พระเถร เณรชี ก็เป็นเหมือนกัน ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุธรรม ไม่เป็นพระอรหันต์
ถ้าเรามองตามหลักกาลเวลา ทุกคนก็มี 24 ชั่วโมงเหมือนกัน ชั่วโมงหนึ่ง ทุกคนก็มี 60 นาทีเท่ากัน อาทิตย์หนึ่ง ทุกคนก็มีเจ็ดวันเท่ากัน
มันแปลกนะโยม ทำไมคนเรามักพูดว่า ไม่มีเวลาทำสิ่งโน้น สิ่งนี้ ทำไมวันนี้ผ่านไปเร็วจัง แต่หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า ทำไมวันนี้นานจัง เมื่อไหร่จะค่ำสักที ทำไมทรมานอย่างนี้
ที่จริงแล้ว เวลาก็เดินไปตามปกตินั่นแหละโยม แต่ที่ต่างกันคือใจของเรา ความรู้สึกของเราต่างหากเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้เวลาเร็วขึ้นหรือช้าลง
โยมทุกท่าน วันหนึ่งเราทำงานแปดชั่วโมงเท่ากัน วันใดที่มีความสุข ทำงานแป๊บเดียวดูนาฬิกา อะไรหมดเวลาแล้วเหรอ ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย อะๆๆ ตกลงไม่ทำอะไรใช่ไหม (ต้องหาอะไรทำ เดี๋ยวจะหมดเวลางานเสียก่อน) คือเวลาของความสุขจะผ่านเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว
แต่ถ้าวันนั้นโยมทำงานด้วยความทุกข์ ยิ่งเราไม่พอใจใครสักคน ทำงานไปด้วย มองเขาไปด้วย อึฮือๆ ดูมันๆ กูด่ามันยังยิ้มหน้าระรื่นอีก แบบนี้เวลาก็จะผ่านไปอย่างช้าๆ เพราะว่าใจเราเป็นทุกข์ไม่ได้อยู่ที่เวลา
เมื่อพูดถึงเวลา ลองมาฟังเรื่องนี้ดูนะโยม ว่ามันจะเป็นอย่างไร มีชายคนหนึ่งได้เสียชีวิต วิญญาณของเขาล่องลอยไปในที่แห่งหนึ่ง ขณะเมื่อกำลังจะเข้าประตู คนเฝ้าประตูถามว่า
“เจ้าชอบกินหรือเปล่า? ที่นี่มีแต่ของกินอันวิเศษสุด
เจ้าชอบนอนหรือเปล่า? ที่นี่จะนอนนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรบกวน
เจ้าชอบเล่นสนุกไหม? ที่นี่มีของเล่นทุกอย่างให้เลือก
เจ้าเบื่อทำงานใช่ไหม? ที่นี่รับรองว่าไม่ต้องทำอะไร และไม่มีใครบังคับเจ้า”
วิญญาณนั้นรู้สึกดีใจมาก สิ่งนี้แหละที่เราต้องการ เราอยากอยู่ที่นี่ อิ่มแล้วก็นอน นอนพอแล้วก็เล่น เล่นไปกินไป พอผ่านไป 3 เดือน เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงไปหาคนเฝ้าประตู
วิญญาณนั้นจึงพูดว่า “ใช้ชีวิตทุกวันอย่างนี้ ไม่เห็นจะดีตรงไหน เล่นมากจนเกินไป ก็ไม่เห็นจะสนุกอะไร กินอิ่มเกินไป ก็ทำให้อ้วนขึ้นเรื่อยๆ นอนมากเกินไป ก็ทำให้ความรู้สึกเฉื่อยชา ของานให้ข้าทำหน่อยได้มั้ย?”
“ขอโทษ ที่นี่ไม่มีงานให้ทำ” ยามเฝ้าประตูตอบ
ผ่านไปอีก 3 เดือน วิญญาณนั้นทนไม่ได้แล้วจริงๆ จึงพูดกับยามอีกว่า “ข้าทนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ให้งานข้าทำ ข้ายอมตกนรกดีกว่า”
ยามตอบว่า “เจ้านึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์หรือ? ตรงนี้คือนรกต่างหาก มันทำให้เจ้าไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องสร้างสรรค์ ไม่มีอนาคต ค่อยๆหลอมละลาย การทรมานลักษณะนี้ทรมานยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับขึ้นภูเขามีด หรือลงกระทะทองแดง ซึ่งเป็นความทรมานทางกาย
เห็นไหมโยม เมื่อใดก็ตามที่เรามีความทุกข์ใจ เวลาก็จะช้าลง ที่เป็นแบบนั้นเพราะใจเราเป็นตัวกำหนด
สิ่งที่กำหนดชีวิตให้เราไม่หลงเพลิดเพลินในเวลา ให้เรากำหนดเวลาตามพุทธพจน์คือ “วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่” วันคืนไม่ได้ล่วงผ่านแค่กาลเวลา แต่ยังกลืนกินสรรพสิ่งไปด้วย เราต้องมากำหนดรู้ตัวเราว่า ทำดีหรือชั่วมากกว่ากัน
โยมทุกท่าน การทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำ หินจะจมน้ำทันที ต่อให้เราอ้อนวอนขอพรจากผู้วิเศษ หินนั้นก็ไม่สามารถลอยน้ำขึ้นมาได้ ผลกรรมชั่วน่ะหนักนะ มันจะทำให้ชีวิตของเราจมปลักอยู่กับโคลนตมแห่งบาปกรรม
อาตมาขอให้ทุกท่านจงเลือกทำแต่กรรมดี จงตั้งใจอย่างกล้าหาญ พยายามทำแต่กรรมดีๆ โดยไม่เกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย เลื่อมใสในความดี สิ่งเหล่านี้จะเป็นคำอวยพรอย่างสูงสุด ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะกรรมดีย่อมส่งผลให้ผู้กระทำดีมีความสุข มีความเจริญ เจริญพร
คอลัมน์: ธรรมะอมยิ้ม / เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์