‘บุ๋น’ นพณัฐ กันทะชัย : สำเร็จได้ไม่ต้องรีบ

-

หากมองเพียงผิวเผินอาจคิดว่าชื่อเสียงของ ‘บุ๋น’ นพณัฐ กันทะชัย ได้มาง่ายๆ ตามสูตรสำเร็จ คือการได้แสดงในซีรีส์วาย ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น และ ด้ายแดง Until We Meet Again The Series ซีรีส์แจ้งเกิดก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนผู้ชมชาวไทยและต่างชาติพากันชื่นชอบ ส่งผลให้บุ๋นที่แม้รับบทตัวรองก็โด่งดังไม่แพ้นักแสดงนำ เกิดกระแสคู่จิ้น ‘บุ๋น-เปรม’ มีแฟนคลับติดตามจำนวนมากในทันที ดูเหมือนเป็นชีวิตที่เหมาะกับคำว่าโชคดี ทว่าหากมองย้อนเส้นทางในวงการบันเทิงของเขาอย่างถี่ถ้วนจะพบว่า กว่านักแสดงหนุ่มจะได้ลิ้มรสความสำเร็จนั้น ไม่ง่ายดายอย่างที่คิด และไม่ใช่ความโชคดีที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน บุ๋นใช้เวลาถึง 7 ปี เริ่มต้นจากบทเล็กๆ แสวงหาโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็ถึงวันของเขา นี่คือบทสนทนาว่าด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา มุมมอง และตัวตนของเขา

 

 

วัยเด็กของบุ๋น

“ตอนเด็กๆ ผมมีความฝันอยากเป็นนักโบราณคดี เพราะชอบดูสารคดีประวัติศาสตร์โลก พวกฟอสซิลไดโนเสาร์ แต่พอโตขึ้นเห็นว่าเขาขุดค้นไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรให้เราค้นหา เลยยุติความฝันนี้ ส่วนนิสัยในวัยเด็กนั้น ผมซนมาก มักมีเรื่องมีราวเข้ามาในชีวิต คนชอบหมั่นไส้ ไม่รู้ทำไม อยู่เฉยๆ ก็มีเรื่อง” บุ๋นเล่าถึงตัวเขาในอดีต

“แต่ช่วง ม.ต้น เราเป็นเด็กไม่กล้าแสดงออก แทบจะไม่ถ่ายรูป ไม่กล้าเดินห้างคนเดียว พูดยังแทบไม่พูดเลย กลัวคน ตอนนั้นเราตัวเล็กสู้ใครไม่ได้ มาเปลี่ยนแปลงตอนขึ้นม.ปลาย เริ่มสูงขึ้น เริ่มซ่า มีเรื่องไปทั่ว เหมือนเอาคืนนั่นแหละ แล้วก็โดดเรียน จริงๆ เรียกว่าไม่เข้าเรียนเลยจะถูกกว่า แม่ส่งผมที่โรงเรียนตอนหกโมงเช้า หกโมงครึ่งผมออกนอกโรงเรียน ปีนรั้วไปนั่งเล่นร้านเกมทั้งวัน เหลวไหล เกเร

“จุดเปลี่ยนน่าจะเป็นช่วง ม.5 ผมได้อ่านแม็กกาซีนซึ่งสัมภาษณ์ ‘กัปตัน’ ชลธร เขาหาเงินส่งตัวเองเรียนโรงเรียนนานาชาติ กลายเป็นแรงบันดาลใจของเราที่อยากทำงานหาเงินแบบนั้นบ้าง บ้านบุ๋นแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หาเงินเลี้ยงครอบครัวเองทุกอย่าง ภาพที่เห็นประจำคือแม่ตื่นตีห้า กลับบ้านสี่ห้าทุ่ม ทำงานแทบทุกวัน หยุดวันเดียวคือวันเสาร์ อันที่จริงเงินเดือนของแม่ไม่น้อยเลย ถ้าแม่อยู่คนเดียวคือชีวิตสบาย มีกินมีใช้เหลือๆ แต่แม่มีลูกสองคนที่ต้องส่งเสีย และลูกเรียนมหา’ลัยเอกชนทั้งคู่ ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก เราจึงอยากทำงานหาเงินเพื่อแบ่งเบาภาระบ้าง และอีกอย่างคือผมเริ่มคิดได้ว่าไม่อยากเรียนจบไปแล้วครูด่าไล่หลัง โล่งอกที่จบๆ ไปเสียที อยากให้ครูยินดีกับการเรียนจบของเรา จึงเริ่มทำตัวดีขึ้น”

นับหนึ่งในวงการบันเทิง

การเข้าสู่วงการบันเทิงของบุ๋นนั้น คือการดั้นด้นเสาะหาหนทางด้วยตนเอง ไม่ได้มีผู้ชี้นำหรือชักชวนเฉกเช่นเรื่องเล่าของดาราหลายคนที่มักอยู่ๆ ก็มีแมวมองมาทาบทาม หรือมีโมเดลลิ่งเห็นรูปในโซเชียลมีเดียแล้วสนใจ “ผมไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เล่นซีรีส์ แค่หาในเฟซบุ๊กว่ามีกลุ่มนักแสดง ผมก็ส่งโปรไฟล์และเดินทางไปแคสต์งานเอง ไม่มีสังกัด ไม่มีโมเดลลิ่งดูแลหรือป้อนงานให้แต่อย่างใด งานแรกที่ได้คือเป็นเอ็กซ์ตราหรือตัวประกอบ ที่เต้นอยู่ข้างหลังไกลๆ หรือนั่งเฉยๆ ในฉาก อย่าว่าแต่บทพูด หน้ายังแทบไม่เห็นเลย ตอนนั้นคิวหนึ่งได้ 1,000-1,500 บาท ไปที่กองตั้งแต่ตีห้าเลิกกองสี่ทุ่ม ผมออกสี่คิวได้ 4,000-5,000 บาท แค่นี้ดีใจแล้วนะ เพราะไม่ได้หวังสูง ค่อยเป็นค่อยไป อย่างน้อยเงินที่ได้นั้นเยอะพอจนไม่ต้องขอค่าขนมแม่”

นานไหมกว่าจะได้รับบทตัวหลัก เราถามบุ๋น “ประมาณ 7 ปีครับ ผมแคสต์งานและได้รับบทตัวประกอบมาตลอด 7 ปี อันที่จริงเคยได้เล่นซีรีส์เรื่องหนึ่ง เป็นตัวหลักด้วย ถ่ายทำจนเสร็จ ฉายเรียบร้อย แต่โดนโกงไม่ได้รับค่าตัว ผมล้มลุกคลุกคลานกับเส้นทางนี้มานาน ประจวบกับเรียนจบมหา’ลัยมาได้ประมาณหนึ่งปี ในหนึ่งปีนั้นเราลองแคสต์งานมาเรื่อย และทำงานพาร์ทไทม์ในห้างสรรพสินค้าด้วย  คิดว่าถ้าปีนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จอีกจะเลิกแล้วหางานประจำทำดีกว่า ไม่ควรเดือดร้อนพ่อแม่อีก จังหวะที่เกือบตัดใจก็ได้รับโอกาสให้เล่นซีรีส์ด้ายแดง

ซีรีส์พลิกชีวิต

“ช่วงที่บุ๋นกำลังจะถอดใจ พอดีมีโอกาสเดินพรมแดงงานหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ไปทำไมเหมือนกัน ไม่มีใครรู้จักเรา แต่ความรู้สึกแรกคือดีใจ คิดแค่ว่าจะได้เจอดาราหลายๆ คนในงาน แต่พอไปเดินจริงเราได้ยินเสียงคนซุบซิบกันว่า ใครวะ เราก็คิดนะ กูมาทำไมวะ ไม่มีใครรู้จักเราเลย นอยด์เหมือนกัน แต่กลายเป็นว่างานนั้นทำให้พี่ ‘นิว’ ศิวัจน์ สวัสดิ์มณีกุล ผู้กำกับซีรีส์ด้ายแดง เจอเรา บุ๋นเลยได้รับเลือกให้แสดงซีรีส์นี้

“ถามว่าคาดหวังกับกระแสตอบรับแค่ไหน ใจจริงก็หวังอยู่บ้าง เพราะคิดไว้ว่านี่เป็นการทำงานวงการบันเทิงปีสุดท้าย หากไม่ดังคงไม่เอาแล้ว เลิก จำได้พูดกับพี่นิวว่าถ้าซีรีส์ออนแอร์ผมขอยอดฟอลโลว์เพิ่มจากเดิมหนึ่งแสนก็พอ ไม่หวังอะไรมาก แค่มียอดฟอลโลว์เยอะพอจะรับงานรีวิวสินค้าก๊อกๆ แก๊กๆ ได้เงินเดือนละสอง-สามหมื่นสำหรับเลี้ยงตัวเองพอแล้ว แต่กลายเป็นว่าซีรีส์เรื่องนี้พลิกชีวิตผมเลย จากเดิมมียอดฟอลโลว์แค่หนึ่งพันกว่าคน ไร้ตัวตนสุด ไม่ถึงหกเดือนสามารถแตะหลักล้านได้ ก้าวกระโดดมาก ตลอด 7 ปีไปไหนมาไหนไม่มีคนรู้จัก กลายเป็นเดินห้างแล้วมีคนเรียกเฮียวิน เฮียบุ๋น เดิมผมมีแฟนคลับ 2-3 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นพี่ๆ ที่รู้จักสมัยผมเป็นแฟนคลับ ‘กัปตัน’ ชลธร พี่ๆ เหล่านั้นเป็นแฟนคลับกัปตันเหมือนกัน สักพักพวกเขาย้ายมาเป็นแฟนคลับบุ๋นแทน (หัวเราะ) จากแฟนคลับไม่กี่คนก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้น”

 

 

บทบาท ‘วิน’ ในด้ายแดง เหมือนหรือต่างกับตัวตนของบุ๋น “แตกต่างนะ ตอนแรกที่อ่านบท แอบหนักใจเพราะเป็นคนหน้าหวาน ไปเล่นบทเฮียวินต้องไม่เข้ากับเราแน่เลย ปรากฏว่าพอซีรีส์ฉายคนดูอินกับตัวละคร เขาว่าเราตรงกับแคแรกเตอร์ก็ดีใจ ส่วนนิสัยเฮียวินกับบุ๋นแตกต่างเยอะเลย เฮียวินเขาเรียนเก่ง มีความรับผิดชอบสูง และใจดีกับคนไปทั่ว แต่บุ๋นนั้นถ้าไม่สนิทกับใครจะไม่เปิดใจเต็มร้อย และไม่ใจดีไปทั่วด้วยครับ”

จากความสำเร็จของด้ายแดง สู่การสร้างภาคแยก เชือกป่าน Between Us The Series ซึ่งเป็นการขยายเรื่องราวของคู่รองอย่าง วิน-ทีม “ผมไม่คาดคิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ เพราะในด้ายแดง ผมมีแอร์ไทม์ทั้งหมดไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ แล้วตั้งแต่ด้ายแดงฉายจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมาเกือบสามปี ด้วยสถานการณ์โควิดผสมโรงกับสุขภาพของนักเขียน จึงต้องเลื่อนการถ่ายทำไปเรื่อย แต่แฟนๆ ยังรออยู่เลย เป็นอะไรที่เกินคาดมาก ในเชือกป่าน คนดูจะได้เห็นภูมิหลังของตัวละครอย่างเฮียวินมากขึ้น เฮียวินตอนอยู่กับพี่น้องเป็นยังไง อยู่โรงเรียนเป็นแบบไหน เวลาอยู่ห้องคนเดียวทำอะไร เวลาดีใจกับเสียใจแสดงออกยังไง ผมต้องลงลึกกับบทมากขึ้น อีกทั้งต้องฟิตหุ่นด้วย จากด้ายแดงถึงปัจจุบันผมตัวใหญ่ขึ้นแล้ว แต่แขนขายังใหญ่ไม่พอ เพราะว่าเราเป็นคนแขนเล็ก ทำยังไงกล้ามก็ไม่ขึ้นสักที คงต้องพยายามให้หนักขึ้น และต้องฝึกว่ายน้ำด้วย เพราะบทเฮียวินเป็นรองประธานชมรมว่ายน้ำ อันที่จริงผมกดดันนะ กดดันมากในการรับหน้าที่ตัวแสดงหลัก กลัวทำได้ไม่ดีเท่าด้ายแดง คงต้องรอดูว่าผลจะเป็นยังไงครับ”

 

 

นอกเหนือจากเชือกป่านที่แฟนคลับรอคอย บุ๋นท้าทายตัวเองด้วยบทบาทซึ่งพลิกแคแรกเตอร์ของเขาอีกครั้ง “ตอนนี้กำลังถ่ายทำซีรีส์ในโปรเจ็กต์ Be My Boyfriend 2 จะมีทั้งซีรีส์และขึ้นคอนเสิร์ต เป็นครั้งแรกที่บุ๋นได้เล่นซีรีส์ตลก คอเมดี้จ๋า คล้ายๆหอแต๋วแตก แคแรกเตอร์ในเรื่องเล่นเป็นตัวเอง ตัวละครชื่อบุ๋น เป็นบุ๋นในแง่ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น โก๊ะ กรี๊ดทั้งเรื่อง ฉีกบุคลิกเราไปเยอะเลย ในความสนุกไม่เครียดนั้นมีความยากแฝงอยู่ เรื่องนี้ได้ร่วมงานกับนักแสดงผู้ใหญ่มากฝีมือ เช่น ‘พี่ติ๊ก’ กลิ่นสี, พี่ซานิ เกร็งนิดหน่อย เพราะผมต้องหัวไวรับส่งมุกให้ทัน พยายามฝึกซ้อมให้มาก อย่างในชีวิตประจำวันผมเริ่มยิงมุกใส่คนรอบข้าง ปกติผมไม่เล่นมุก คนใกล้ตัวบุ๋นจะรู้ดีถามพี่ช่างแต่งหน้าได้ ปกติบุ๋นขรึมๆ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเล่น แต่ตอนนี้คิดมุกอะไรได้ก็พยายามเล่นไว้ก่อน”

ยังมีบทบาทแบบไหนที่อยากแสดง “คนโรคจิตหรือโจ๊กเกอร์ รู้สึกว่าเป็นบทที่คนเข้าถึงยาก อยากลองดูสักครั้ง”

 

 

เราถามถึงงานเพลง ซึ่งบุ๋นมักมีโอกาสโชว์เสียงร้องอยู่บ่อยครั้ง “พูดตามตรงตอนนี้แทบไม่ใช่นักแสดงแล้ว ค่อนไปทางนักร้อง มีโปรเจ็คต์เพลงติดต่อเข้ามาเยอะ ทั้งเพลงประกอบซีรีส์ เพลงคัฟเวอร์ เพลงรีเมค อย่างโปรเจ็คต์ Be My Boyfriend 2 ก็ร้องเพลงด้วย อันที่จริงตัวผมเป็นคนไม่กล้าร้องเพลง ถ้าพูดถึงความสามารถและความมั่นใจเรื่องเพลงคือเป็นศูนย์เลย อย่างที่บอกผมเป็นคนไม่กล้าแสดงออก จำได้ว่าเคยร้องในรถ แล้วเพื่อนพูดขึ้นว่า ร้องอะไรอะ ตัวเราเลยเสียความมั่นใจและไม่กล้าร้องเพลงอีก ทว่าเมื่อมาเป็นนักแสดง ผมคิดว่าถ้ามีความสามารถหลายๆ ด้านไว้น่าจะดีกว่า จึงไปเรียนร้องเพลง กล้าร้องมากขึ้น พอได้ร้องยิ่งรู้สึกชอบ ตัวเราชอบมาตลอดแหละ แค่ที่ผ่านมาสูญเสียความมั่นใจไป”

แม้เพลงที่ร้องส่วนใหญ่เป็นแนวใสๆ แต่แนวเพลงที่เจ้าตัวชอบสุดคือเพลงเศร้า “บุ๋นชอบเพลงอกหัก ไม่ชอบเพลงโรแมนติกหรือเพลงรัก เป็นคนชอบเพลงเศร้าขยี้อารมณ์ ชอบฟังเพลงของวงไททศมิตร วงร็อคต่างประเทศ ตอนที่ร้องเพลงประกอบซีรีส์ด้ายแดงคือยากมาก เราไม่ค่อยฟังแนวนั้น แต่ให้ทำก็ทำได้ ทว่าถ้าให้เลือกอยากร้องเพลงเศร้ามากกว่า มีศิลปินที่อยากร่วมงานด้วย เช่น ‘พี่โดม’ จารุรัตน์, ‘พี่แก้ม’ วิชญาณี, ‘พี่กัน’ นภัทร, ‘พี่อ๊อฟ’ ปองศักดิ์

“ถ้าถามว่าระหว่างงานแสดงกับงานเพลงชอบอะไรมากกว่ากัน ต้องบอกว่าชอบทั้งสองอย่าง เพราะเป็นความสุขอันแตกต่าง เวลาแสดงเราได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น เวลาร้องเพลงเราได้ถ่ายทอดความเป็นตัวเอง คนละแบบเลย ทว่าผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะ การแสดงให้คะแนนตัวเอง 4-5 คะแนน ส่วนการร้องเพลงแค่ร้องได้ไม่เพี้ยน แต่ไม่ถึงกับไพเราะ ให้แค่ 3 คะแนน มีหลายสิ่งที่ยังต้องพัฒนา”

 

 

สำเร็จได้ไม่ต้องรีบ

เชื่อเรื่องจังหวะชีวิตไหม เราถาม “บุ๋นไม่เชื่อเรื่องดวง บุ๋นเชื่อเรื่องความพยายาม แต่มีให้เห็นเหมือนกันที่น้องๆ บางคนเข้าวงการปีเดียวแสดงเรื่องแรกก็ประสบความสำเร็จแล้ว แต่เราไปทึกทักว่าเขาไม่พยายาม เขาแค่โชคดีไม่ได้ เขาอาจพยายามอย่างหนักแต่ที่เราไม่เห็น บางคนที่เราคิดว่าประสบความสำเร็จในเวลาอันสั้น แท้จริงเขาอาจพยายามมานานแล้วก็ได้

“อย่างตัวบุ๋นเอง มีคนเคยมองว่าความสำเร็จของบุ๋นในวันนี้ได้มาง่าย เพราะเขาไม่รู้ว่าเราใช้ความพยายามอยู่นานถึง 7-8 ปี เขาปรามาสว่าแค่แสดงซีรีส์วายก็ทำให้ดังได้แล้ว แต่จริงๆ สำหรับเรานั้นไม่ง่ายเลย ถ้ารู้ว่าเราพยายามอะไรมาบ้าง กว่าจะมีวันนี้มีต้นทุนที่เสียไป เช่นการแคสต์งานก็เสียเวลาทั้งวัน และหลายครั้งที่เสียเปล่า หรือการเรียนการแสดง เรียนร้องเพลงก็มีต้นทุน ก่อนบุ๋นจะเล่นด้ายแดง เราไม่มีสังกัดคอยซัพพอร์ตหรือดูแล เพราะฉะนั้นการเรียนเสริมทุกอย่าง การแสดง ร้องเพลง หรือเต้น เราออกเงินเองทั้งหมด พอเราตั้งใจและพยายามมากๆ แล้วไม่ประสบความสำเร็จสักที ก็ท้อแท้ใจเป็นธรรมดา แต่บุ๋นเข้าใจนะว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก ถ้าง่ายทุกคนก็รวยกันหมดแล้ว”

ช่วงเวลาที่เหนื่อยหรือท้อบุ๋นจัดการความรู้สึกยังไง เราถาม “เมื่อก่อนบุ๋นเคยเครียด เคยกดดันจนเกือบเป็นโรคซึมเศร้า เลยปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็ชวนไปเที่ยว พอได้ออกไปข้างนอกไม่อุดอู้อยู่ในห้อง ก็ไม่คิดวนเวียน และได้ระบายกับเพื่อนด้วย บุ๋นว่าเราควรหาคนรู้ใจไว้บ้างที่สามารถรับฟังความในใจของเรา การได้พูดได้ระบายช่วยปลดล็อกอะไรหลายอย่าง ดีกว่าเก็บไว้คนเดียว”

 

 

คำดูหมิ่นกลายเป็นแรงผลักดันให้นักแสดงหนุ่มยังคงมุ่งมั่นจนมีวันนี้ คือ “บุ๋นจำคำเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่จำได้ว่าเราไปถ่ายงานหนึ่ง สักพักมีโมเดลลิ่งอีกฝ่ายเดินมาหาเรา ทะเลาะเรื่องอะไรกันสักอย่าง แล้วเขาก็ดูถูกเรา ไม่เห็นจะหล่อ ไม่เห็นจะหน้าตาดีเลย แถมไม่มีบทสำคัญด้วย คำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้เราฮึดสู้ สำหรับบางคนคำดูถูกอาจทำให้เสียใจคิดมาก แต่สำหรับบุ๋นคือแรงผลักดัน อะไรที่ไม่ใช่ เราจะตอกกลับไปแรงๆ ไม่ใช่การใช้กำลัง แต่ทำให้เขาเห็นความสามารถ แล้ววันหนึ่งจะไปยืนอยู่เบื้องหน้าให้รู้ว่าเราก็ทำได้ นอกเหนือคำดูถูกยังมีแม่ที่เป็นเป้าหมายให้เราไม่ยอมแพ้ เราอยากเห็นแม่สบาย ไม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเลี้ยงดูเรา”

            อย่างไรก็ตาม เมื่อความสำเร็จมาเยือน เขาก็ต้องลิ้มรสสิ่งที่มาพร้อมชื่อเสียง นั่นคือกระแสวิพากษ์วิจารณ์ “บทเรียนที่สอนให้ผมรู้จักการอยู่วงการบันเทิงอย่างแท้จริงคือกระแสดราม่า ผมโดนพูดไม่ดีในทวิตเตอร์ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรับมือด้วยการแรงมาแรงกลับ ไม่สนอะไรทั้งนั้น พิมพ์ไม่ดีมาผมก็พิมพ์ตอกกลับเลย แต่กลายเป็นว่ายิ่งเราตอบโต้ยิ่งบั่นทอนสุขภาพจิตเราเอง ต้องมานั่งเครียดว่าจะพิมพ์ตอบยังไง จึงเรียนรู้ถ้าจะอยู่ตรงนี้ให้ได้ต้องรู้จักปล่อยวาง ไม่อ่าน ไม่สนใจ เป็นธรรมดาที่มีคนรักย่อมมีคนเกลียด ถ้าติเพื่อก่อเป็นเหตุเป็นผล เรารับฟัง แต่ถ้าวิจารณ์ในทางเสียหายอย่างเดียว เราไม่ฟัง และถ้าล้ำเส้นเกินก็แจ้งความเลย เดี๋ยวนี้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มีบทลงโทษแรงพอสมควร”

 

 

อีกสิ่งที่นักแสดงหนุ่มต้องเสียไปเพื่อแลกกับชื่อเสียง นั่นคือความเป็นส่วนตัว “ผมไม่เคยบอกใครเลย เช่น มีครั้งหนึ่งผมไปเดินห้าง มีคนเดินตามแจ เข้าห้องน้ำก็ตาม จนเราไม่เข้าดีกว่า พยายามเดินให้เร็วเพื่อให้ห่างสายตาเขา ผมเจอทั้งเดินตามเข้าห้องน้ำ ขับรถตาม ตามไปถึงคอนโด ช่วงแรกที่เจอค่อนข้างหนักเอาการ พูดตามตรงผมไม่กล้าตำหนิเขา  เราไม่รู้ว่าควรทำยังไงถึงเหมาะสม เพราะเราได้ชื่อว่าเป็นบุคคลสาธารณะ เวลาออกนอกบ้านบุคคลสาธารณะควรพร้อมรับมือคนที่เข้ามาทักทายสิ แต่ถ้าเขาได้อ่านก็อยากบอกว่าช่วยเว้นระยะห่างหน่อย แม้ผมทำงานในวงการบันเทิง แต่ก็มีช่วงเวลาทำงานและช่วงเวลาส่วนตัว เวลาออกงานผมให้ถ่ายรูปเต็มที่ แต่นอกเวลางานเราอยากมีความเป็นส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่บุ๋นอยู่บ้านอยู่ในเซฟโซนแล้ว แต่ไม่สามารถถอดเสื้อผ้าหรือทำอะไรอย่างอิสระได้เลย เพราะมีคนคอยเฝ้าดูอยู่หน้าบ้าน อย่างไรก็ดี ระยะหลังเริ่มชิน ประจวบกับสถานการณ์โควิดทำให้ต้องเว้นระยะห่าง เหตุการณ์แบบนี้เลยลดลง ถือเป็นผลพลอยได้ บุ๋นดีใจที่แฟนคลับส่วนใหญ่เข้าใจ เวลาแฟนๆ เจอผมข้างนอกจะถามก่อน ถ่ายรูปได้ไหมพี่บุ๋น ไม่ได้ไม่เป็นไรนะ แต่ส่วนใหญ่มักให้ถ่าย เราเข้าใจว่าตอนนี้งานอีเวนต์จัดไม่ได้จึงไม่มีโอกาสเจอกันบ่อยนัก”

 

 

เราคุยต่อถึงสิ่งที่บุ๋นได้เรียนรู้จากการทำงาน “วงการบันเทิงก็คือวงการบันเทิงฮะ สมชื่อ มีคนที่เข้าหาเราเพราะอยากได้ประโยชน์จากเรา ผมจึงเรียนรู้ที่จะสร้างกำแพง ไม่เปิดใจให้ใครหมด ต้องหาทางปกป้องตัวเองด้วย และการทำงานในวงการนี้ยังได้ฝึกความอดทน ไม่ใช่ความอดทนในการทำงาน แต่เป็นความอดทนต่อแรงกดดัน ยั่วยุ พอเราอยู่ในที่แจ้งเป็นบุคคลสาธารณะ เด็กๆ ติดตามเราเยอะ จะใช้กำลังแก้ปัญหาแบบเมื่อก่อนไม่ได้ ต้องใจเย็น และอดทนให้มาก สุดท้ายคือการมีความรับผิดชอบ ถ้าไม่เกิดร้ายโดยไม่คาดคิดจริงๆ ผมพยายามไปถึงก่อนเวลานัดอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ไปรอเขาดีกว่าเขารอเรา ถ้าผู้ใหญ่เห็นก็เอ็นดู อย่าไร้ความรับผิดชอบให้คนมองไม่ดี ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้ด้วยตัวเองและได้รับคำแนะนำจากพี่นิว ผู้กำกับด้ายแดงด้วย เขาแนะให้เราวางตัวเป็น”

เราถามบุ๋นต่อว่า ความสำเร็จในวันนี้สมกับที่ใฝ่ฝันแล้วหรือยัง “สำเร็จแล้วครับ มีเงิน มีบ้าน บุ๋นเคยบอกให้แม่ลาออกจากงาน เดี๋ยวดูแลเอง แม่ไม่ยอม ยังทำงานงกๆ อยู่ แต่เราไม่ต้องขอเงินแม่อีกแล้ว ให้เงินท่านได้ ซื้อของ พาไปกินข้าว”

เราเห็นบุ๋นทวีตในทวิตเตอร์ว่าหมดแพชชั่นในวงการ จึงยกมาถามนักแสดงหนุ่ม เขาได้ทำสิ่งที่ฝันจนบรรลุเป้าหมายหมดแล้วหรือ “บุ๋นมีวันที่เหมือนผู้หญิงมีประจำเดือน ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนฉับพลัน นอยด์ โมโห หงุดหงิดง่าย วันนั้นเลยทวีตไปว่าหมดไฟ เพราะเราไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ รถมีแล้ว บ้านมีแล้ว ชื่อเสียงเงินทองพอมีบ้าง แล้วต้องทำอะไรต่อ แต่พอตื่นมาอีกวันก็กลับสู่สภาพเดิม คิดได้ว่าเฮ้ยเรามีหนี้อยู่นี่หว่า ไฟในการทำงานฟื้นขึ้นอีกครั้ง

 

 

“บุ๋นอยากมีแบรนด์ของตัวเอง ทำธุรกิจส่วนตัว อยากทำเซรั่ม เครื่องสำอาง เพราะหลายคนชอบถามใช้ครีมอะไร เลยอยากให้เขาลองใช้ดู นอกจากนั้นอยากทำกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า งานเบื้องหลังก็อยากทำ อยากเป็นผู้กำกับ ทำซีรีส์สักเรื่อง ถ่ายทอดแนวคิดของตัวเอง บุ๋นเรียนนิเทศ พอทำงานเหล่านี้เป็น วันข้างหน้าถ้าสังขารเราอยู่เบื้องหน้าไม่ไหวก็ค่อยไปทำเบื้องหลัง” แล้วชื่อเสียงระดับไหนที่หมายใจไว้ เราถามบุ๋น “ถ้าเป็นไปได้อยากให้คนทั่วโลกรู้จัก แต่จะทำได้ไหมไม่รู้ ไม่คาดหวัง เพราะชื่อเสียงที่มีตอนนี้ดีพอแล้ว ยิ่งสูงยิ่งตกลงมาเจ็บ ผมเข้าใจธรรมชาติวงการบันเทิง มีขึ้นมีลง ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เลยไม่คาดหวังชื่อเสียงมากกว่านี้”

ความสุขของบุ๋นในวันนี้คือแฟนคลับและคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขา “ถ้าไม่มีแฟนคลับรับรองไม่มีเราอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรเขาซัพพอร์ตเราทุกอย่าง หรือถ้าเสียใจเขาพร้อมปลอบใจให้กำลังใจเรา ทำให้ยิ้มได้ บุ๋นเคยเป็นแฟนคลับดารา เข้าใจความยากลำบากของการตามไปเจอดารา เขาต้องไปรอตั้งแต่ห้างเปิด งานมีหนึ่งทุ่ม แต่แฟนคลับต้องไปรอตั้งแต่ตีห้าเพื่อจองที่หน้าเวที ต้องเสียค่ารถ ค่าโรงแรม ยิ่งคนที่อยู่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศยิ่งเสียค่าใช้จ่ายหนักกว่า เสียเวลาด้วย ดังนั้น บุ๋นพยายามพูดคุยกับเขาให้มากเท่าที่จะทำได้ ให้เขาดีใจที่ได้เจอเรา ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปแล้วก็ไป

 

 

“ความสุขของบุ๋นอีกอย่างคือแม่  ไม่ว่าเราจะล้มลุกคลุกคลานยังไงแม่ให้กำลังใจตลอด บุ๋นเจอมาทั้งเบี้ยวค่าตัว หลอกถ่ายรูป หนักสุดคือทักมาบอกว่ามีงานถ่ายชุดชั้นใน ให้เราถ่ายรูปส่งไปให้เขาดูก่อน แต่เราไม่ทำ ผมเจอมาเยอะ วงการนี้น่ากลัว ยิ่งบุ๋นไม่มีสังกัด เข้ามาแบบโนเนม ไม่มีคนดูแลหรือเลือกงานให้ ใครส่งงานอะไรมาเราต้องอ่านเอง กรองเอง แม่จะคอยเตือนให้ระวังโดนหลอก และเราก็โดนหลอกจริงๆ แต่วันที่โดนหลอกแม่ไม่ตำหนิผมเลย คอยปลอบบุ๋น ไม่เป็นไรนะ ทำไปเถอะ เดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง แม่จึงเป็นสิ่งสำคัญและความสุขของบุ๋นในวันนี้ครับ”


ขอบคุณสถานที่

ASAI Bangkok Chinatown Dusit International

531 Charoen Krung Rd, Pom Prap, Pom Prap Sattru Phai, Bangkok 10100

T: +66 2200 8999 Ext. 8993 E: asai.sales@dusit.com

www.asaihotels.com Instagram : asaihotels Facebook : ASAI Hotels


คอลัมน์: เรื่องจากปก

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!