เป็นครั้งที่สามแล้วที่ ออล ได้มีโอกาสร่วมงานกับสาวๆ BNK48 ต้องบอกตามตรงว่าสาวๆ ยังคงน่ารักเสมอ แถมครั้งนี้นำความสดใสมาแจกผู้อ่านมากถึง 6 เท่า เพราะพวกเธอยกทีมมากัน 6 คน นำโดย โมบายล์ เนย น้ำหนึ่ง ปูเป้ วี และจีจี้ สำหรับวีและจีจี้นั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้ร่วมงานกัน ส่วนโมบายล์ เนย น้ำหนึ่ง ปูเป้ เราเคยสัมภาษณ์แล้วเมื่อครั้งพวกเธอแสดงภาพยนตร์เรื่อง ไทบ้านxBNK48 โดยเฉพาะโมบายล์ที่คราวนี้ควบตำแหน่งเซ็นเตอร์ของซิงเกิลใหม่ชื่อว่า ดีอะ ซึ่งเป็นซิงเกิลลำดับที่ 10 และยังเป็น original song หรือเพลงที่แต่งขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ไม่ได้นำเพลงจากวงพี่สาว AKB48 มาแปลเนื้อเหมือนที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไปอ่านบทสัมภาษณ์ของสาวๆ กับผลงานและการเติบโตของพวกเธอบนเส้นทางไอดอลกันดีกว่า
1.
โมบายล์เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าถึงคอนเซ็ปต์และความพิเศษในเพลงใหม่ของพวกเธอ
โมบายล์: ดีอะ เป็น original song ครั้งแรกของพวกเราที่ทีมงานไทยเป็นคนแต่งเนื้อร้องและทำนอง เล่าถึงบรรยากาศที่หญิงสาวจับกลุ่มเม้ามอยเรื่องหนุ่มๆ อย่างเช่นเวลาเราดูซีรีส์แล้วกรี๊ดพระเอกหรือกรี๊ดดารา คนนั้นก็งานดี คนนี้ก็ดีอะ แค่ได้มโนถึงก็มีความสุขแล้ว เพลงนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาตรงที่แต่ละคนมีท่อนร้องเดี่ยวของตัวเองด้วยค่ะ
เนย: และสมมติว่ามีบางคำที่ร้องแล้วรู้สึกไม่เข้าปาก เราสามารถปรึกษาคุณครูเพื่อแก้ไขเนื้อเพลงได้ แต่ถ้าเป็นเพลงที่แปลจากภาษาญี่ปุ่นนั้นเราไม่สามารถทำได้ เพราะค่อนข้างซีเรียสเรื่องความถูกต้องตามต้นฉบับ
น้ำหนึ่ง: หนูรู้สึกว่าความเป็น original song ทำให้เราทำงานง่ายขึ้น เพราะเพลงแปลส่วนใหญ่ในแต่ละท่อนจำนวนคำค่อนข้างมาก แล้วเรายังต้องจำเนื้อร้องให้ได้แบบเป๊ะๆ อีกทั้งเพลงญี่ปุ่นค่อนข้างร้องเสียงสูง พอเรานำมาร้องก็เกิดการโหนเสียงกันบ้าง แต่เพลง original song คุณครูแต่งให้พอดีกับเรนจ์เสียงของพวกเรา เลยร้องง่ายขึ้น สบายขึ้น ไม่ต้องรัวคำเหมือนแต่ก่อนค่ะ
การมีท่อนร้องเดี่ยวของตัวเอง สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ในการทำงานหรือไม่ เราถามสาวๆ ต่อ
จีจี้: ก็รู้สึกแปลกใหม่นะคะ เพราะแต่เดิมเราจะร้องรวม มีเพื่อนร้องด้วยกัน แต่พอต้องร้องคนเดียวก็เขินๆ นิดหน่อย ตอนเข้าห้องอัดครูจะบอกให้เราเป็นตัวของตัวเอง ลองร้องหลายๆ แบบ ครูจะคอยถามว่าใช่สไตล์เรารึยัง ก็ต้องแทรกเอกลักษณ์ของแต่ละคนเข้าไป ท้าทายดีค่ะ แฟนคลับก็จะได้รู้ว่าท่อนนี้ใครร้อง
วี: หนูตื่นเต้นค่ะ ยิ่งตอนออกงานเราจะแบ่งไปเป็นกลุ่มกลุ่มละหกคน ต้องร้องท่อนคนอื่น เราพยายามจะร้องให้คล้ายต้นฉบับที่สุด กดดันนิดหนึ่ง แต่สนุกดีค่ะ ไม่เคยทำแบบนี้เลย
ถามถึงเหตุการณ์ “ดีอะ” ที่สาวๆ แต่ละคนนึกถึงคืออะไร
วี: เวลาได้กลับไปอยู่กับครอบครัวค่ะ เพราะปกติหนูเป็นเด็กหอ เวลาได้กลับบ้านก็รู้สึกดีอะ
จีจี้: ตอนที่ได้ออกจากบ้านมาทำงานค่ะ อยู่บ้านเหงาๆ พอออกมาได้เจอเพื่อน ก็รู้สึกเอ็นจอย
น้ำหนึ่ง: การได้เข้ามาเป็น BNK48 และได้เจอมิตรภาพที่ดีมากๆ พวกเราได้ก้าวผ่านเหตุการณ์ยากลำบากมาด้วยกัน
เนย: หนูนึกถึงการได้ขึ้นคอนเสิร์ต พอหยุดอยู่บ้านนานก็ค่อยๆ ห่อเหี่ยว จนต้องไปเปิดดูคอนเสิร์ตเก่า พอดูแล้วก็รู้สึกตอนนั้นดีจัง อยากขึ้นคอนเสิร์ตอีก
โมบายล์: ของหนูเป็นการที่ได้ทำงานอดิเรกจนลุล่วง เช่น วาดรูปสำเร็จ ทำคลิปคัฟเวอร์เพลงแล้วมิกซ์เสียงเองได้สำเร็จ เป็นโมเมนต์ที่รู้สึกภูมิใจ รู้สึกดีอะค่ะ
ปูเป้: สำหรับหนูเป็นตอนที่ได้นอนโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกให้ตื่น (หัวเราะกันหมด)
ชุดประจำเพลงหรือชุดสำหรับ 16 เซ็มบัตสึนั้น ได้รับการออกแบบโดยมีเหล่านกสายพันธุ์ต่างๆ เป็นแรงบันดาลใจใช่ไหม
ปูเป้: คุณยุรี เกนสาคู ศิลปินนักออกแบบบอกว่าเวลาเรารวมตัวกันคุยเสียงดังเหมือนนก บนเสื้อมีลายนก 16 ตัวหลายสายพันธุ์ และนกก็กำลังแช่ออนเซ็นด้วย เพราะเวลาผู้หญิงแช่ออนเซ็นจะพูดคุยกันทุกเรื่อง เหมือนเราที่คุยจ้อกแจ้กกัน
โมบายล์: เราไม่เคยมีชุดเซ็มฯ โทนสีส้มกับสีฟ้าเลย ค่อนข้างแปลกใหม่ และชุดเซ็มฯ เพลงนี้ใส่สบายที่สุด เนื้อผ้าเมื่อก่อนอาจแข็งหน่อย ชุดนี้ผ้าจะนิ่ม แล้วชุดของแต่ละคนก็ค่อนข้างตรงแคแรกเตอร์ มีทั้งน่ารัก หวาน เท่ เปิดไหล่แอบเปรี้ยว แต่ชุดหนูปิดมิดชิดมาก คล้ายๆ นักมวย และมีพี่เลี้ยงนักมวยอยู่อีกคน (หัวเราะ) (โมบายล์มองไปที่น้ำหนึ่งซึ่งใส่หมวกแก๊ปเหมือนกัน)
เราถามโมบายล์ต่อถึงความรู้สึกของการรับหน้าที่เป็นเซ็นเตอร์อีกครั้ง ในครั้งแรกนั้นเธอได้จุดกระแสเพลงคุกกี้เสี่ยงทายและวง BNK48 จนเป็นที่รู้จักของทุกเพศทุกวัย แน่นอนว่าการกลับมาเป็นเซ็นเตอร์ย่อมเกิดความคาดหวังว่าเธอจะสร้างปาฏิหาริย์อีกหนได้หรือไม่
โมบายล์: หนูดีใจมากค่ะ ตื่นเต้นด้วยว่าจะทำออกมาได้ดีไหม ตอนเป็นเซ็นเตอร์ครั้งแรกนั้นหนูเพิ่งอายุ 15 ปี ยังเด็กอยู่ ตอนนี้ 19 แล้ว ก็โตขึ้น มีคนตั้งคำถามเยอะเหมือนกันว่าโมบายล์จะทำให้เพลงสำเร็จแบบคุกกี้เสี่ยงทายรึเปล่า หนูชิลล์ๆ ไม่ซีเรียส ไม่กดดันตัวเอง สนุกที่ได้อยู่กับเพื่อนๆ ได้เดินสายโปรโมทกับแก๊ง ทำงานอย่างมีความสุข สนุกไปกับเพลง หนูชอบเพลงนี้ด้วย สบายๆ แต่ก็คาดหวังนิดหนึ่ง
โมบายล์นอกจากจะโดนทักว่าสวยขึ้นแล้วยังชมทักษะการร้องเพลงที่พัฒนาขึ้นด้วย
โมบายล์: หนูชอบร้องเพลงตั้งแต่อนุบาลแล้ว เวลาดูการ์ตูนดูหนังก็จะร้องตาม แต่ไม่เคยเรียนร้องเพลงนะคะ ได้เรียนตอนเข้าวง แต่ว่าการจะหาเสียงของตัวเองให้เจอนั้นต้องฝึกร้องบ่อยๆ ด้วยความที่หนูชอบร้องอยู่แล้วก็จะเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยการฟังว่านักร้องเขาร้องยังไง แล้วนำมาปรับใช้ สมมติบางคนที่ร้องแล้วไม่รู้ว่าตัวเองเพี้ยนหรือไม่ หนูแนะนำว่าให้ลองไปฟังว่าเราร้องเหมือนต้นฉบับไหม ฟังเยอะๆ แล้วตรงไหนไม่เข้าใจก็ปรึกษาคุณครูหรือเพื่อนๆ
นอกเหนือจากเนยแล้ว สาวๆ ทั้ง 5 ยังแสดงภาพยนตร์ร่วมกันเรื่อง ผ้าผีบอก ซึ่งเป็นแนว horror comedy ที่ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อย และคงได้รับชมกันในไตรมาสสี่ของปี สาวๆ บางคนได้ผ่านงานแสดงมาบ้างแล้ว สำหรับผลงานเรื่องนี้ท้าทายขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
ปูเป้: หนูรับบทเป็นสะบันงาค่ะ ใส่ชุดสีน้ำเงินเป็นหลัก หนูเคยผ่านภาพยนตร์ไทบ้านxBNK48 มาก็จริง แต่ตอนนั้นเราเล่นเป็นตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ พอมาเรื่องนี้เลยยังรู้สึกเกร็ง แล้วบทบาทที่สวมก็ไกลตัวด้วย เวลาพูดจะแข็งๆ ตาแข็ง หน้าแข็ง ถึงแม้ผู้กำกับบอกว่าโอเคแล้ว เราก็มีความไม่แน่ใจอยู่ ดีจริงเหรอ ถ้าเล่นออกมาเกร็งไปหน่อยก็ด่าได้ แต่อย่าแรงนะคะ
โมบายล์: รับบทเก็ตถะวาค่ะ สีประจำตัวคือสีแดง เป็นผู้หญิงที่ป่วยออดๆ แอดๆ แคแรกเตอร์นี้ค่อนข้างท้าทายเพราะมีหลายบุคลิก ความยากของการเล่นหนังเรื่องนี้คือการที่เราสนิทกันมาก พอเข้าซีนอารมณ์ ต้องน้ำตาคลอแล้ว ต้องโกรธแล้ว หันมามองหน้ากันแล้วกลั้นขำ มันยากตรงนี้แหละค่ะ
น้ำหนึ่ง: รับบทสาระปี ชุดประจำตัวสีชมพู ตัวละครตัวนี้ไม่ร้ายนะคะ แค่เป็นคนเทาๆ จัดจ้านในย่านนี้เท่านั้นเอง
จีจี้: หนูรับบทวีว่าค่ะ ชุดสีทอง เป็น LGBT เป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของหนูเลย กดดันค่ะ ไม่รู้ว่าจะออกมาดีไหม
วี: รับบทอัญญา สีประจำตัวคือสีม่วง วีเคยผ่านการแสดงมาแล้ว แต่บทที่รับจะห้าวๆ ส่วนเรื่องนี้ฉีกแคแรกเตอร์เป็นคนเรียบร้อย กุลสตรีไทย เดินกุมมือทั้งเรื่อง ซึ่งขัดกับตัวตนมาก พอสั่งคัทปั๊บ ถกผ้าถุงเลย รำคาญ (หัวเราะ) ก็รอติดตามชมนะคะ ดุเดือดแน่นอนค่ะ
2.
เราสนทนาต่อถึงเรื่องของวง BNK48 ที่ไม่หยุดเดินหน้า ปัจจุบันมีน้องๆ รุ่นสามเข้ามาเสริมทัพ อีกทั้งยังแตกสาขาเกิดเป็นวง CGM48 ที่โชว์เสน่ห์ของสาวเหนือ ในฐานะรุ่นบุกเบิกอยากเห็นวงพัฒนาไปถึงจุดไหน เราถามพวกเธอ
เนย: อยากให้วงแข็งแรงต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้เรามีเพลง original แล้ว ก็อยากมีโอกาสทำอะไรใหม่ๆ อีก หนูรู้สึกว่าในช่วงแรกเรากับผู้บริหารเหมือนเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน จนตอนนี้หลายๆ อย่างเรารู้สึกว่าเข้าใจขึ้น ชินกับงานมากขึ้น แต่ก็ยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ยังไม่เคยสัมผัส ก็อยากเรียนรู้ต่อไปเพื่อจะได้เติบโตอย่างแข็งแรงยิ่งขึ้น
มีอะไรที่รุ่นหนึ่งมองไปยังรุ่นน้องแล้วรู้สึกว่าสมัยเรานั้นยากกว่าเยอะไหม เราถามสี่สาวรุ่นหนึ่ง
น้ำหนึ่ง: หนูว่าน่าจะเป็นเรื่องของกฎระเบียบที่ช่วงแรกเคร่งครัดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่เรื่องการซ้อม สมมติเราป่วยก็ต้องแบกร่างป่วยๆ มานอนดูเพื่อนซ้อม ถ้าไม่หนักถึงขั้นนอนโรงพยาบาล ก็ต้องมา เพื่อตามให้ทัน
เนย: เราเรียนกันทุกวันเสาร์อาทิตย์ จึงมีบางครั้งที่ไม่อยากเรียนเลย เพราะเครียด มีการจับฉลากว่าจะได้สอบเพลงไหน ครูก็กดดัน ก่อนเดบิวต์เราร้องไห้กันเยอะมาก
ปูเป้: เราเรียนเต้นหลายเพลง แต่ครูจะจับฉลากว่าเราได้สอบเพลงไหน คือเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกเพลง แล้วยังต้องเต้นแข่งกับเพื่อนอีกคนที่ได้เพลงเดียวกันเพื่อดูว่าใครทำได้ดีกว่า
รุ่นสองมีแบบนี้บ้างไหม เราหันไปถามสองสาววีและจีจี้
วี: มีสอบวัดระดับ แต่ไม่โหดขนาดแข่งหนึ่งต่อหนึ่ง เป็นแบ่งกลุ่มแล้วตัดเกรด
ปัจจุบันวงการไอดอลคึกคักขึ้น มีเกิร์ลกรุ๊ปเดบิวต์กันหลายวง BNK48 มีวิธีครองใจแฟนคลับอย่างไรในวันที่เราต้องแชร์ส่วนแบ่งตลาดกับวงอื่นมากขึ้น
น้ำหนึ่ง: เราแค่พยายามทำผลงานในแบบของเราให้ดีสุดความสามารถ ถ้าถามว่ามีวิธีมัดใจอะไรไหม ก็ไม่มีนะ ทำไม่เป็น คงทำได้แค่ไหว้พระ (หัวเราะ)
จีจี้: หนูรู้สึกว่ามากกว่าการแข่งขันคือการช่วยกันดันวงการไอดอล วงการทีป๊อบให้ไปไกลยิ่งขึ้นค่ะ
เมื่อมองย้อนไปยังวันแรกที่เข้าวงแล้วเปรียบเทียบกับปัจจุบัน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจนรู้สึกได้มีอะไรบ้าง
โมบายล์: หนูเข้าวงตั้งแต่อายุ 14 ปี ยังแรกรุ่นอยู่ จนตอนนี้อายุ 19 ปี เป็นวัยรุ่นเต็มตัวแล้ว เรารู้สึกถึงการเปลี่ยนผ่านทางอารมณ์ ปัญหาที่ถาโถมเข้ามาเราสามารถเรียนรู้และรับมือได้ดีขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เมื่อก่อนหนูก็ซ้อมๆ เล่นๆ เฮฮาสนุกสนาน แต่ตอนนี้เราเริ่มจริงจังและอยากเดินไปข้างหน้า อยากเพิ่มความสามารถ แก้ไขจุดด้อยของเรา
เนย: สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเรามีประสบการณ์มากขึ้น เมื่อก่อนเวลาเต้นผิดจะรู้สึกเป็นเรื่องอกสั่นขวัญหนี แต่ตอนนี้ถ้าเต้นผิดก็ไม่แพนิกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่แค่เรื่องเต้นแต่รวมถึงปัญหาอื่นๆ ที่เจอ พวกเราก็สามารถช่วยกันแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีขึ้น
น้ำหนึ่ง: ส่วนน้ำหนึ่งเป็นเรื่องความมั่นใจ หนูไม่ใช่คนมั่นใจในตัวเอง เมื่อก่อนเป็นคนตลกแต่ไม่ชอบคุยกับคน จะว่ายังไงดี คือค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง พอเราทำงานตรงนี้ต้องพบเจอผู้คนมากมาย ต้องเจอแฟนคลับ เราก็เรียนรู้ที่จะปรับตัว รู้จักเอ็นเตอร์เทนคนมากขึ้น
ได้เข้ามาสัมผัสงานในวงการบันเทิงแล้ว มีใครอยากจริงจังกับเส้นทางนี้ในอนาคตบ้างไหม เราถามพวกเธอ
โมบายล์: หนูค่ะ เรารู้สึกว่างานตรงนี้เป็นตัวเราที่สุด จะให้ไปเป็นหมอคงไม่เห็นภาพ โมบายล์อยากทำงานที่เรารู้สึกว่ารักที่จะทำจริงๆ แล้วอยากพัฒนาตัวเองให้ดีกว่านี้ แต่ไม่ใช่ว่างานวงการบันเทิงเป็นเป้าหมายเดียวของหนู แค่เป็นสิ่งที่หนูรู้สึกรักและชอบเลยเลือกที่จะทำ
จีจี้: หนูกำลังดูๆ อยู่ ว่าจะมีโอกาสอะไรเข้ามาในอนาคตอีกบ้าง แต่อีกใจหนูอยากมีธุรกิจส่วนตัว เป็นความรู้สึกก้ำกึ่งอยู่ค่ะ
มีทักษะอะไรที่อยากพัฒนาเพิ่มเติมอีกบ้าง เราถามต่อ
วี: เด่นๆ คือด้านดนตรี ตอนนี้ทำโปรเจ็กต์ Indy Camp คือการแต่งเพลง เรารู้สึกว่าถ้าเพิ่มทักษะทางดนตรี การแต่งเพลงก็จะไหลรื่นขึ้น ถ้าเรามีความรู้หลากหลายก็ช่วยสนับสนุนการทำงานให้ดี
จีจี้: ของหนูคือเรื่องเต้น เวลาได้เพลงใหม่ๆ ยังรู้สึกยากอยู่เสมอ ด้วยความที่หนูไม่ใช่คนเต้นเก่ง จึงอยากพัฒนากว่านี้ ทั้งร้อง เต้น การแสดง และดนตรีด้วยค่ะ
แล้ววันที่เหนื่อยหรือท้อแท้ของแต่ละคน มีวิธีรับมืออย่างไร
โมบายล์: หนูร้องไห้ก่อนเลย หนูชอบทำความเข้าใจตัวเอง บางทีการคุยกับเพื่อนหรือคนที่เรารักก็ได้คำแนะนำดีๆ แต่กำลังใจที่ดีที่สุดคือการนั่งคุยกับตัวเอง เพราะเราย่อมรู้แก่ใจว่าตรงไหนมันยาก มันเหนื่อย หลังจากได้งอแงเต็มที่ก็ตั้งสติ แล้วเริ่มใหม่วันถัดไปให้ดีกว่าเดิม
เนย: หนูเป็นคนขี้กังวล แรกๆ เกิดอะไรขึ้นก็ร้องไห้ก่อน น้ำตาไหลง่าย แต่พอทำงานมาเรื่อยๆ เริ่มเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ จึงเอาตัวเองออกจากความทุกข์ได้เร็วขึ้น สมมติว่าปัญหาเกิดจากโซเชียลมีเดีย เราพยายามไม่ดูไม่ยุ่ง แต่ดูการ์ตูนแทน ทิ้งตรงนั้นไปเลย
บทเรียนที่ได้รับจากการทำงานในฐานะไอดอล
ปูเป้: ได้เรียนรู้ว่าบนโลกนี้มีคนหลายประเภท ที่ดีก็ดีไปเลย แต่มีคนบางประเภทที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมชอบปั่นประสาท อยู่ดีๆ ก็มาด่าเรา ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร ถ้าเราไม่มาทำงานตรงนี้ก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้ พอมาเป็นไอดอลจึงรับรู้ว่าโลกเรามีคนหลายแบบ อะไรดีก็เก็บไว้ ไม่ดีก็ปล่อยไป
โมบายล์: สำหรับหนูคือการได้ฝึกฝน เราทำงานตรงนี้ต้องพยายามพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ไม่ว่าจะร้อง เต้น หรือการพูดจา ต้องพยายามแอคทีฟตัวเอง
เนย: หนูติดตามศิลปินเกาหลี เห็นดาราเขาชอบพูดประมาณว่าแฟนคลับคือกำลังใจนะ ลึกๆ เราก็คิดว่าเขาพูดเอาใจเรา เพื่อให้เราหลงรักและติดตามเขา แต่พอหนูได้มาเป็นไอดอลก็ตระหนักว่าแฟนคลับคือส่วนสำคัญจริงๆ ทุกครั้งที่ทำงาน เรารอเสียงตอบรับจากเขา อยากรู้ว่ารู้สึกยังไง แฟนคลับกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราตั้งใจ ประโยคที่ว่าคุณคือกำลังใจ มันคือเรื่องจริง
น้ำหนึ่ง: หนูเรียนรู้การรับมือปัญหาที่เข้ามา และการทำงานร่วมกับผู้คน เหมือนอย่างที่เป้บอก บางคนเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสร้างข่าวเสียๆ หายๆ ให้เรา ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงร้องไห้ แต่ระยะหลังเหมือนภูมิคุ้มกันดีขึ้น เราเข้าใจมากขึ้นว่ามีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่อาจเจอบางอย่างในชีวิตมา อาจเครียดแล้วไม่มีที่ระบาย เขาจึงได้มีพฤติกรรมอย่างนี้ เราก็มีเมตตามากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น
จีจี้: หนูรู้สึกว่าถ้าไม่ได้มาเป็นไอดอลคงไม่รู้ว่าตัวเองมีคุณค่า เราเกิดมาครั้งหนึ่งสามารถสร้างรอยยิ้มและความสุขให้แก่ผู้คนมากมายขนาดนี้ ยิ่งมีเสียงตอบรับมาก ยิ่งอยากพัฒนาตัวเอง เพื่อส่งความสุขให้ผู้คนได้มากขึ้น
วี: หนูคล้ายๆ จี้ เราเจอแฟนคลับที่เป็นซึมเศร้า ห่อเหี่ยวไม่ไหวแล้ว แต่พอเขาได้มาเจอเราแล้วอาการดีขึ้น ใจมันฟูมาก ทำไมเราถึงทำให้เขามีความสุขได้ขนาดนี้
ถ้ามีรุ่นน้องที่เห็นเราแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากเดินตามเส้นทางนี้บ้าง เขาต้องเตรียมตัวอย่างไร
วี: ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ เตือนตัวเองเสมอว่าอยากทำสิ่งนี้เพราะอะไร
จีจี้: หลายคนคิดว่ามีความสามารถก็พอแล้ว แต่หนูคิดว่าความพยายามก็เป็นสิ่งสำคัญ และต้องอดทนด้วยถ้าจะเลือกเส้นทางนี้
น้ำหนึ่ง: อยากให้เน้นเรื่องความเป็นตัวของตัวเอง ความสามารถนั้นฝึกฝนกันได้ แต่บุคลิกลักษณะมีแค่เราคนเดียวบนโลกที่เป็นแบบนั้น ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่จะดึงดูดกรรมการและผู้คน
เนย: ต้องถามตัวเองก่อนว่าชอบจริงๆ รึเปล่า ไม่ใช่อยากเข้ามาเพราะเป็นกระแส เอาให้มั่นใจจริงๆ เพราะพอเข้ามาแล้วทุกอาชีพนั้นเหนื่อยหมด แต่ถ้าเราชอบ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยังมีแรงฮึดสู้
โมบายล์: อยากแนะนำให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำ แล้วทุกอย่างจะราบรื่น มีพลังในการทำงาน
ปูเป้: อยากให้เตรียมใจไว้เยอะๆ แบกมาเต็มกระเป๋าเลย เพราะเดี๋ยวจะค่อยๆ ลดไปเรื่อยๆ หลายคนอาจมองว่าอาชีพนี้ง่าย คนภายนอกอาจสงสัยว่าแล้วมันยากตรงไหน แต่อย่างที่เนยบอกทุกอาชีพเหนื่อยหมด อยากให้เตรียมใจไว้เยอะๆ เพราะจะเจอทั้งความยากทางกายภาพและจิตใจ
ความสุขในวันนี้ของสาวๆ แต่ละคนมีอะไรบ้าง เราถามพวกเธอ
ปูเป้: การได้กินนมชมพูใส่วิปครีม (หัวเราะ) วันนี้ตื่นเช้ารู้สึกห่อเหี่ยวจัง พอได้นมชมพูมาชโลมใจก็มีแรงทำงาน ชีวิตขาดหวานไม่ได้ค่ะ
โมบายล์: ของหนูคือการได้ออกจากห้องนอนมาทำงาน หนูหยุดไปสองสามวันแล้วอึดอัดมาก ต้องหาอะไรทำสักอย่าง เมื่อวานหยิบหนังสือมาวาดรูป รู้สึกหายเครียดเลย
เนย: ของหนูคือการได้คิดว่าแต่ละวันจะกินอะไรดี มื้อต่อไปกินอะไรดีนะ แค่คิดก็แฮปปี้แล้ว
น้ำหนึ่ง: สำหรับหนูคือการได้มาเจอเพื่อน ได้มาตลกโบ๊ะบ๊ะกัน เวลาที่ได้หัวเราะกับเพื่อนๆ แล้วรู้สึกมีความสุขค่ะ
จีจี้: เหมือนพี่น้ำหนึ่งค่ะ แค่ได้มาเจอเพื่อน มาตลกกัน แล้วจบจากงานนี้อาจได้กินส้มตำด้วย ก็แซ่บอยู่นะ เริ่มด้วยมิตรภาพแล้วจบด้วยของกิน
วี: คือการที่เราทำงานแล้วไม่ง่วงเลย วันนี้ตื่นเช้ามาก ปกติต้องรู้สึกง่วงแล้ว แต่วันนี้ไม่ง่วงเลย เป็นความรู้สึกที่ดีจัง
ก่อนจากกันโมบายล์และสาวๆ BNK48 ฝากผลงานเพลงซิงเกิลที่สิบ ดีอะ ให้แฟนๆ ช่วยติดตาม พร้อมกันนั้นยังส่งกำลังใจถึงผู้ที่ฝ่าฟันวิกฤติโควิด-19 ด้วย “หนูรู้ว่าทุกคนกำลังลำบาก พวกเราก็จะทำหน้าที่ของเราให้ดี สร้างคอนเทนต์ตลกๆ สร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ชม อยากให้ทุกคนไม่เครียด แล้วมีความสุขในทุกๆ วัน เราจะผ่านไปด้วยกัน สักวันต้องมีทางออกค่ะ”