ยิ่งนานวัน พวกคำแนะนำผิดๆ ในโลกโซเชียลยิ่งมีคนทำเป็นคอนเทนต์เผยแพร่กันมากขึ้น เพียงเพื่อแค่เรียกยอดไลค์ยอดแชร์ ทั้งที่อาจไม่ได้ผลจริง ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่อ้าง หรืออาจเกิดอันตรายที่ไม่คาดคิดภายหลัง
ตัวอย่างเช่น มีการแชร์คลิปวิดีโอเปิดเผยความลับที่โรงงานผลิตถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ ไม่อยากให้คุณรู้ นั่นก็คือ ถ้าถ่านหมด ใส่เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างนาฬิกาแล้วไม่เดิน ก็อย่าเพิ่งทิ้ง ให้เอาถ่านมาแช่น้ำร้อนจัดหรือต้มน้ำร้อน แล้วรีบแช่น้ำเย็นผสมน้ำแข็ง ถ่านไฟฉายนั้นก็จะใช้งานต่อได้อีกนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนเลย!
แบตเตอรี่ หรือที่ภาษาชาวบ้านชอบเรียกกันว่า ถ่านไฟฉาย นั้น เป็นแหล่งสะสมพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานจากปฏิกิริยาเคมีให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า แบตเตอรี่ประกอบด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่มีขั้วบวกและขั้วลบ ค่าพลังงานศักย์ไฟฟ้าที่ขั้วบวกจะสูงกว่าขั้วลบ และมีสารตัวนำไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอไลต์ (electrolyte) ทำหน้าที่เป็นไอออนประจุไฟฟ้า และเคลื่อนไหวอยู่ในแบตเตอรี่ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลออกจากแบตเตอรี่เมื่อต่อเข้ากับวงจร

แบตเตอรี่ที่ใช้กันโดยทั่วไป เช่น แบตเตอรี่แบบอัลคาไลน์ ผลิตขึ้นมาให้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งไป เนื่องจากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างถาวรกับวัสดุที่ใช้ทำขั้วไฟฟ้า ขณะที่ปล่อยประจุไฟฟ้า จนไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก แต่ก็มีแบตเตอรี่ชนิดที่ชาร์จไฟฟ้าใหม่ได้หลายครั้ง เพราะเมื่อนำมาต่อกับไฟฟ้ากระแสย้อนกลับ องค์ประกอบของขั้วไฟฟ้าจะสามารถกลับคืนสภาพเดิมได้ ตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่ยานยนต์ที่ใช้ตะกั่วกรด และแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ที่ทำจากลิเธียมไอออน หรือนิเกิล-แคดเมียม หรือนิเกิลเมตทัลไฮไดรด์
ส่วนวิธีการที่แชร์กันว่าสามารถฟื้นสภาพของแบตเตอรี่ที่หมดไฟแล้ว โดยกระตุ้นด้วยการต้มน้ำร้อน แช่น้ำเย็น หรือบางคนก็แนะนำให้เอาไปเคาะกระแทกพื้นแรงๆ นั้น ก็ไม่ได้เป็นการเติมไฟฟ้าหรือถ่ายทอดพลังงานกลับเข้าไปในถ่านไฟฉาย แต่เป็นแค่การไปช่วยให้ปฏิกิริยาของสารอิเล็กทรอไลต์ได้ทำปฏิกิริยากันอย่างทั่วถึงมากขึ้นอีกนิดหน่อย เลยดูเหมือนว่ามีไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ไม่นานก็จะหมดไป เท่ากับว่าไปรีดไปเค้นให้แบตเตอรี่ปล่อยไฟฟ้าจนเกลี้ยง
นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะการให้ความร้อนสูงกับแบตเตอรี่ หรือเอาไปกระแทกอย่างรุนแรงนั้น อาจสร้างความเสียหายแก่ขั้วไฟฟ้า และองค์ประกอบของเซลล์เคมีภายในก้อนถ่าน รวมถึงซีลเปลือกนอกที่ห่อหุ้มถ่านเอาไว้ และอาจทำให้ถ่านเสียหาย มีรอยรั่วซึม จนสารเคมีภายในไหลออกมา ไม่ปลอดภัยในการใช้ และไม่ควรทำตาม

ยิ่งกว่านั้น ภายในของถ่านไฟฉายมีส่วนประกอบของโลหะหนักและสารเคมีอันตรายหลายชนิด ดังเช่น สารตะกั่ว แมงกานีส แคดเมียม นิเกิล สารปรอท และกรดซัลฟิวริก สารเคมีที่เป็นพิษเหล่านี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้โดยการหายใจและการซึมเข้าผิวหนัง ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ทั้งยังอาจปนเปื้อนลงไปในดิน ในแหล่งน้ำ และอาจเกิดมลพิษทางอากาศถ้ามีไอระเหยของสารเคมีแพร่กระจาย
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำแนะนำว่า ไม่ควรทิ้งถ่านไฟฉายรวมกับขยะอื่นๆ อีกทั้งไม่ทิ้งลงแหล่งน้ำหรือท่อระบายน้ำ และห้ามนำไปเผาเด็ดขาด แต่ให้เก็บรวบรวมแล้วใส่ไว้ในถุงขยะ แยกต่างหากจากขยะชนิดอื่น มัดปากถุงให้แน่นแล้วติดป้ายเตือนว่า “เป็นขยะมีพิษ” เพื่อแจ้งให้คนเก็บขยะทราบ หรือนำไปทิ้งในกล่องที่รับทิ้งแบตเตอรี่โดยเฉพาะ
ส่วนวิธีการที่ดีที่สุดในการใช้ถ่านไฟฉาย-แบตเตอรี่ คือการปฏิบัติตามที่ผู้ผลิตกำหนด และใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสมเท่านั้น อีกทั้งควรจะเปลี่ยนเป็นถ่านก้อนใหม่เมื่อไฟหมดแล้ว ไม่ควรฝืน ‘กระตุ้น’ มันด้วยวิธีการรุนแรงดังที่แชร์กัน เพราะนอกจากเสี่ยงอันตรายจากความเสียหายที่เกิดกับแบตเตอรี่แล้ว การที่เราใช้วิธีกระตุ้นถ่านไฟฉายแล้วเอากลับไปใส่เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกครั้ง ด้วยความเข้าใจผิดว่ามันจะมีพลังใหม่ใช้งานต่อได้นานหลายเดือน กลับจะเป็นอันตรายแก่เครื่องใช้ไฟฟ้าของเรา เนื่องจากเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีภายในถ่านไฟฉายนั้น สารเคมีภายในก้อนถ่านจะเปลี่ยนรูปกลายเป็นของเหลว ถ่านไฟฉายจึงเกิดอาการเปียกเยิ้ม บวม เสื่อมสภาพ และมีของเหลวอันตรายรั่วไหล จนสร้างความเสียหายให้รังถ่านและอุปกรณ์ไฟฟ้า
ความเข้าใจผิดอีกอย่างเกี่ยวกับการใช้งานแบตเตอรี่-ถ่านไฟฉาย ก็คือการนำไปแช่ตู้เย็น ด้วยความเชื่อว่าจะยืดอายุของแบตเตอรี่ได้ บางคนเอาไปแช่ช่องเย็นธรรมดา แต่บางคนก็แช่ที่ช่องฟรีซแช่แข็ง ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว นอกจากไม่ได้ช่วยยืดอายุการใช้งาน หรือ ‘ฟื้นชีพ’ อย่างที่เชื่อกัน วิธีนี้ยังอาจทำให้ตัวแบตเตอรี่และขั้วไฟฟ้าเสื่อมสภาพได้ ถ้าอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำเกินไปไม่เหมาะแก่การเก็บรักษา และถ้าเอาแบตเตอรี่เก่าๆ ที่บวมหรือมีรอยรั่วไปแช่ในตู้เย็น สารเคมีอันตรายในแบตเตอรี่ก็อาจรั่วซึมและปนเปื้อนกับอาหารที่แช่ในตู้ได้

อันที่จริงแบตเตอรี่-ถ่านไฟฉายควรเก็บรักษาไว้ในที่ซึ่งอุณหภูมิไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะที่สุดในการจัดเก็บแบตเตอรี่แบบอัลคาไลน์ คือ 15 องศาเซลเซียส ส่วนแบตเตอรี่แบบลิเธียม คือ 20-25 องศาเซลเซียส ไม่ใช่เย็นจนใกล้ศูนย์องศาเซลเซียสแบบในช่องเย็นทั่วไป หรือเย็นจนอุณหภูมิติดลบแบบในช่องแช่แข็ง
การใช้ถ่านไฟฉายแบตเตอรี่ที่ถูกต้องเหมาะสม เมื่อพบว่าแบตเตอรี่หมดไฟแล้ว หรือมีอาการบวมเสื่อมสภาพ ก็ไม่ควรใช้งานอีกต่อไป แต่ควรทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นก้อนใหม่ โดยเปลี่ยนถ่านทุกก้อนในคราวเดียวกัน ไม่ควรนำถ่านหลายชนิดหรือหลายยี่ห้อมาใช้ปะปนกัน ตรวจสอบวิธีการใส่ถ่านและขั้วถ่านอย่างถูกต้องเป็นประจำ ห้ามนำถ่านที่ชาร์จไฟไม่ได้มาชาร์จไฟใหม่ และควรซื้อถ่านไฟฉายจากแหล่งที่เชื่อถือได้หรือยี่ห้อที่มีการรับรองความปลอดภัยเท่านั้น ไม่ควรซื้อโดยดูแค่ว่ามันมีราคาถูก เพราะอาจจะได้ถ่านไฟฉายที่ไม่มีคุณภาพ และเกิดอันตรายขณะใช้งาน
คอลัมน์: คิดอย่างวิทยาศาสตร์
เรื่องและภาพ: รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์