เมื่อครั้งที่เขียนถึงนวนิยายเรื่อง พญาไร้ใบ ของ “กฤษณา อโศกสิน” ผู้เขียนทิ้งท้ายไว้ว่า “ตัวละครหลายตัวและเรื่องราวอีกหลายประเด็นน่าจะนำไปเขียนขยายเป็นพญาไร้ใบ ตอนที่ 2 ได้สบายๆ” ทั้งนี้ ขอสารภาพว่าตอนนั้นจำไม่ได้เลยว่า มีตอนต่อของ พญาไร้ใบ ชื่อว่า บันไดไม้รัก ซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2546 บัดนี้สำนักพิมพ์แสงดาวได้นำพญาไร้ใบ และบันไดไร้รัก มาจัดพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ 2 ดังนั้นเมื่อได้อ่านภาคต่อแล้ว จึงขอเขียนถึงบันไดไม้รัก เพื่อให้การกล่าวถึงนวนิยายเล่มนี้ครบสมบูรณ์
ประเด็นที่ “กฤษณา อโศกสิน” นำมาขยายให้ละเอียดขึ้นคือเรื่องราวของเด็กเร่ร่อนไร้บ้าน รัดใช้บ้านเรือนไทยของคุณพิกุลและคุณพิกันที่ซื้อด้วยเงินมรดกจากคุณพู่กลิ่น แม่บุญธรรม ตั้งเป็นมูลนิธิสร้างสมช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน โดยมีครูอาสาและอาสาสมัครเป็นผู้ดูแล รวมทั้งมีครูอาสาซึ่งทำงานภาคสนามส่งเด็กที่มีปัญหาร้ายแรงต้องแก้ไขเข้ามาอยู่ในความอนุเคราะห์ของมูลนิธิด้วย เนื้อหาส่วนนี้เป็นข้อมูลดิบซึ่งหากปราศจากฝีมือของนักเขียนที่จะขัดเกลา เลือกสรร ปรุงใหม่และแทรกข้อมูลในตัวเรื่องให้ถูกจังหวะแล้ว ก็มักจะทำลายคุณค่าทางวรรณศิลป์ของนวนิยายเรื่องนั้นๆ ให้ด้อยลง ในนวนิยายหลายเรื่องที่ใช้ข้อมูลเชิงสารคดี ผู้เขียนมักจะ “ยัดเยียด” ข้อมูลใส่ปากตัวละคร หรือพรรณนารายละเอียดยืดยาวแบบเสียดายข้อมูล จึงทำให้เนื้อหาตอนนั้นขาดรสอารมณ์ ขาดสัมผัสของพลังสะเทือนใจ เมื่ออ่านเรื่องบันไดไม้รัก พบว่า “กฤษณา อโศกสิน” นำเสนอข้อมูลเชิงสารคดีเข้ากับความเป็นบันเทิงคดีได้แนบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันอย่างน่าชื่นชม ตัวละครเด็กเร่ร่อนที่ถูกกระทำหลายแบบหลายกรณี เช่น เด็กถูกพ่อแม่ทุบตี เด็กถูกคนในครอบครัวข่มขืน เด็กถูกมอมเมาด้วยยาเสพติด โสเภณีเด็ก เด็กขี้ขโมย เด็กที่เป็นลูกของพ่อแม่ติดเหล้ายาและเป็นโรคเอดส์ เด็กที่เป็นโรคซึมเศร้า เด็กที่มีจิตใจกระด้างและพฤติกรรมก้าวร้าว เด็กที่ฆ่าตัวตาย ฯลฯ ทยอยกันเข้ามาแสดงภาพในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ทิ้งอารมณ์เศร้าสลดไว้ให้ผู้อ่านยาวนานเมื่อได้รับรู้ว่า เด็กน่าสงสารเหล่านี้ตกอยู่ในขุมนรกที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบของกรุงเทพมหานคร เมืองสวรรค์
รัดผู้อุทิศตนเพื่อดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลา 3 ปี พบว่าเป็นเรื่องยากลำบากสุดแสน รัดยอมรับว่าเจตจำนงส่วนหนึ่งของการตั้งมูลนิธิเป็นการล้างบาปซึ่งตนคงได้กระทำไว้ในภพชาติที่ผ่านมาจึงถูกแม่ทิ้ง แม้จะได้รับการอุปการะจากผู้ใหญ่ใจดี แต่รัดก็มีชีวิตที่ไร้สุขทั้งกายและใจ เพราะถูกรังเกียจ รังแก เหยียดหยามและทวงบุญคุณ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง เป็นเพราะเขาเห็นใจและเข้าใจเด็กที่ไม่อาจพึ่งใครได้แม้แต่พ่อแม่ รัดจึงมุ่งมั่นช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนโดยให้ที่อยู่ที่กิน มีครูชี้แนะและเป็นเพื่อน มีหมอคอยดูแลรักษาทั้งทางกายและทางใจ เป็นการช่วยกอบกู้ฟื้นฟูชีวิตที่อับปางให้กลับคืนมาใหม่ การดูแลเด็กที่มีบาดแผลฉกรรจ์ในจิตใจต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างสูง รัดจบการศึกษาด้านจิตเวช เขาพบว่าทฤษฎีกับการปฏิบัติแตกต่างกันมาก เพราะปัญหาของเด็กเหล่านี้มีความซับซ้อนละเอียดอ่อนแตกต่างกันไป เขาจึงคาดหวังผลเพียงแค่ให้โอกาสเด็กไร้บ้านได้พัฒนาตนเอง
ในขณะที่รัดช่วยเหลือเกื้อกูลเด็กด้วยใจเมตตา สิ่งที่รัดได้รับนอกจากความสุขใจ ก็คือการรักษาใจของตัว เพราะรัดเป็นคนที่มีบาดแผลฉกรรจ์ในใจ การขาดความรักทำให้เขาไม่เชื่อใจใคร ไม่เชื่อความรัก กลัวว่าจะเจ็บปวด และก็เหมือนคนทั่วไปที่กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่า “ป่วยใจ” รัดจึงไม่กล้าเปิดใจ ไม่มีคู่คิด ไม่มีคนให้ปรึกษาหรือระบายความในใจ ต้องเก็บกดปมด้อยไว้ รัดเลยกลายเป็นคนไม่กล้ารัก ดังนั้น การทำงานช่วยเหลือเด็กไร้บ้านไร้รักเหล่านี้จึงเหมือนกับเป็นการฟอกใจของรัด ขัดเกลาปมด้อย และเรียนรู้จักตัวเองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นอกจากความรักเด็กด้อยโอกาสอันเป็นความรักที่มีต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวมแล้ว บันไดไม้รัก ไม่ทิ้งความเป็นนวนิยายรักหลายเส้าที่สืบเนื่องมาจาก พญาไร้ใบ ในภาคต่อนี้ผู้เขียนเพิ่มตัวละครเอกอีกหนึ่งตัว ดังนั้น ผู้หญิงที่มีบทบาทในชีวิตของรัดจึงมี 3 คน คือ มะเดหวี สุมทอง และข้าวใหม่
บันไดไม้รักเปิดเรื่องด้วยการเดินทางไปอินเดีย เป็นการเปิดเรื่องที่มีความหมาย ไม่ใช่การแทรกสารคดีท่องเที่ยวให้คนอ่านเพลินๆ อย่างหนึ่งเป็นการเปิดตัวข้าวใหม่ หมอด้านจิตเวชผู้มีประสบการณ์ของการขัดเกลาใจป่วยของตนเพราะกลัวความรักมาแล้ว จากการมีพ่อผู้ใช้อำนาจเข้มงวด มีแม่ผู้อ่อนแอ และเธอหลงรักผู้ชายที่แต่งงานแล้ว หลังจากผ่านขั้นตอนของการรักษาใจด้วยศาสตร์ทางจิตเวช ข้าวใหม่ใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างสมดุล ทำงานจริงจัง เที่ยวเตร่ สัมผัสและรู้สึกทุกสิ่ง แต่ไม่คิดมาก ไม่เข้มงวดกับชีวิต อย่างที่เธอบอกว่า “เพราะฉันกล้า แล้วก็ให้โอกาสตัวเองตลอดเวลา …ให้โอกาสสิ้นสุดและให้โอกาสเริ่มต้น” (หน้า 29) ข้าวใหม่ไม่เพียงเข้ามาช่วยงานมูลนิธิเพราะต้องการช่วยเหลือเด็กที่ยากไร้ขาดพร่อง หากแต่ยังเห็นว่ารัดเป็นกรณีศึกษาที่เธออยากช่วยให้เขาหลุดพ้นจากหลุมพรางแห่งชีวิต นั่นคือการกลัวความรัก ซึ่งทำให้เขาขังใจไว้กับอดีตอันเจ็บปวด ไม่ยอมปล่อยวางแล้วมุ่งหน้าไปสู่อนาคตด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่น
นอกจากนี้ การเปิดเรื่องด้วยภาพของประเทศอินเดียที่มีความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างคนรวยกับคนจน ระหว่างคนวรรณะสูงกับคนวรรณะต่ำ ยังมีนัยยะของการนำเสนอข้อคิดเรื่องความไม่เท่าเทียมที่มนุษย์กำหนดขึ้นเพื่อกดขี่กันเอง สภาพของคนยากจนในอินเดียทำให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่ามนุษย์ต้องเผชิญความทุกข์แสนสาหัสอย่างไร และไม่เพียงคนยากไร้ที่มีทุกข์ แม้คนร่ำรวยก็เผชิญความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักของจักรพรรดิชาห์ ชะฮัน ที่สร้างให้พระมเหสีมุมตัช มะฮัล ผู้ล่วงลับ นอกจากเป็นสัญลักษณ์ของความรักอันท่วมท้นใจแล้ว ยังเป็น “หยาดน้ำตาบนแก้มของกาลเวลา” คือสัญลักษณ์แห่งความทุกข์อันท่วมทับใจด้วย การเปิดเรื่องด้วยความทุกข์ของผู้ยากไร้ในอินเดียจึงเป็นการนำไปสู่การเสนอความตั้งใจของรัดที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ของเด็กเร่ร่อนไร้บ้านไร้รัก และเรื่องราวของทัชมาฮาล ซึ่งตรงกับพระพุทธวัจนะว่า ความพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก เป็นทุกข์ หรือความทุกข์จากความรัก ก็เป็นการเกริ่นนำให้แก่เรื่องราวความรักของรัดผู้กักขังตนเองไว้ในกรงของความเจ็บปวด จนกระทั่งวันหนึ่งจึงยอมคลายกุญแจขังใจของตนและพร้อมจะก้าวขึ้นสู่บันไดรักที่มีข้าวใหม่อยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนร่วมทางและร่วมทุกข์
มะเดหวี เป็นผู้หญิงที่รัดรักฝังใจมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอกลับหลงรักปูนอย่างคลั่งไคล้ มะเดหวีนับถือรัดเป็นพี่ชายและหวังพึ่งพาให้เขาเป็นที่ปรึกษาเรื่องชีวิตรักลุ่มๆ ดอนๆ ของเธอกับปูน รัดทั้งเจ็บทั้งแสบทุกครั้งที่รับรู้เรื่องเธอและหวังว่าความเจ็บปวดช้ำรักจนถึงที่สุดแห่งความอดทนของมะเดหวีจะเป็นบทเรียนให้เธอตัดใจเลิกราจากปูนได้เด็ดขาด แต่เขาก็พบว่านั่นไม่อาจเป็นไปได้ กลับเป็นรัดที่ถึงที่สุดแห่งความอดทน เขาจึงได้ปลดเปลื้องพันธะหัวใจที่ยึดติดไว้เนิ่นนาน ปล่อยมะเดหวีไปตามชะตากรรมที่เธอเลือกเอง มะเดหวีเป็นผู้หญิงที่มีทั้งโชคและเคราะห์ เธอสวย รวย ครอบครัวดี มีการศึกษา ได้ทำงานที่ชอบและตอบแทนสังคม แต่เธอกลับหลงผู้ชายที่รักตัวเองมากกว่ารักเธอ ความไม่ลงตัวนี้ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น มะเดหวีเป็นตัวอย่างของผู้ที่ยังปีนไม่พ้นหล่มแห่งความทุกข์ ดังคำพระที่ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
สุมทองเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุด ตั้งแต่ปรากฏตัวในเรื่องพญาไร้ใบ จนถึงบันไดไร้รัก สุมทองก็ยิ่งมีบทบาทน้อยลงจนแทบจะไม่มีตัวตน สุมทองแอบรักรัดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง เธอจึงภักดีต่อรัดไม่เสื่อมคลาย ส่วนรัดไม่อาจรักสุมทองได้เลย เพราะไม่ว่าเธอจะดีเพียงใด แต่พ่อและพี่ชายของเธอเป็นผู้กลั่นแกล้งรังแกรัดมาตั้งแต่เด็กจนถึงลอบฆ่าเมื่อรัดได้รับมรดก ความเจ็บแค้นนี้ฝังใจรัด เขาจึงขับไล่คนอื่นออกจากบ้านจนหมด ยกเว้นสุมทองที่เขาอุปการะด้วยความเมตตา ความทุกข์ความเจ็บช้ำจากการรักเขาข้างเดียวของรัดและสุมทองจึงเป็นประหนึ่งกระจกเงาสะท้อนภาพของกันและกัน แต่กระนั้น รัดยังดีที่มีโอกาสตอบโต้มะเดหวีให้สะใจบ้าง ส่วนสุมทองไม่มีโอกาสระบายออกทางใดเลย
ผู้หญิงทั้งสามคนจึงเป็นภาพเสนอของความรักสามแบบ รักแบบทาสผู้จงรักภักดีอย่างสุมทอง รักแบบหลงใหลไร้สติอย่างมะเดหวี และรักแบบมีสติ รู้ตัว รู้เท่า และรู้ทันอย่างข้าวใหม่ ความรักทุกแบบล้วนก่อทุกข์ปนสุข เราคงไม่สามารถเลือกได้ว่าจะพบความรักแบบใด แต่ควรคำนึงว่า ไม่ว่าจะรักแบบใดก็ต้องรักษาใจของเราไม่ให้ป่วย ไม่เช่นนั้นก็จะจมอยู่ในห้วงทุกข์ตลอดกาล
คอลัมน์: เชิญมาวิจารณ์
เรื่อง: ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์