“ใบสน” จากนักเขียนยอดนิยมในเด็กดี สู่ผู้เขียนบทซีรีส์สุดปัง

-

ด้วยกระแสความฮอตของซีรีส์ด้วยรักและหักหลัง ที่ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ และขึ้นอันดับหนึ่งในแอปฯ Viu เราจึงไม่อาจพลาดโอกาสชวนผู้เขียนนิยายต้นฉบับและยังควบตำแหน่งผู้เขียนบทซีรีส์ดังกล่าวมาสนทนา วงกตดอกไม้ คือนิยายจากปลายปากกาของ “ใบสน” หรือ จินต์นัชชา มณีศรีวงษ์ นักเขียนนิยายผู้โด่งดังในเว็บเด็กดี ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ทางช่อง GMM25 ใช้ชื่อด้วยรักและหักหลัง เล่าเรื่องราวมิตรภาพและการหักหลังของเพื่อนสาวแก๊งดอกไม้ เมื่อ แพร สมาชิกของกลุ่มถูกสลับพรีเซนเทชันในงานแต่งงาน คลิปลับของเธอจึงถูกแฉและเป็นเหตุให้เธอเสียใจจนจบชีวิตตัวเอง คำถามคือเพื่อนคนใดที่หักหลังแพร? การควบตำแหน่งทั้งเขียนนิยายและดัดแปลงเป็นบทซีรีส์ด้วยตนเองมีให้เห็นไม่บ่อยนัก แต่เธอสามารถทำให้ทั้งสองเวอร์ชันสนุกและปังไม่แพ้กัน

เล่าจุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียนหน่อย

เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก และอ่านหนังสือออกเร็ว เรียนอนุบาลก็อ่านออกแล้ว ด้วยความที่อยากอ่านการ์ตูนมาก แต่ครอบครัวไม่มีเวลาให้ ก็นั่งผสมคำสะกดคำเอง จำได้ว่าตอน ป.1 เพื่อนยังสะกดไม่ได้ แต่เราอ่านหนังสือเรียนภาษาไทยจบเล่มแล้ว พอ ป.3 – 4 ก็อ่านคำพิพากษา  ที่บ้านเต็มไปด้วยหนังสือ แต่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ เราก็อ่านตาม ป.5 – 6 เพื่อนอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนนั้นไม่มีเงินซื้อจึงยืมอ่าน แต่เพื่อนให้ยืมแค่ 1 คืน เพราะต้องโกหกแม่ว่าลืมไว้ที่โรงเรียน เราไม่มีทางเลือกก็ต้องอ่านให้จบภายในวันเดียว ช่วง ม.1 – 2 ไปเรียนพิเศษภาคฤดูร้อนที่ปีนัง เพื่อนเอาหนังสือเดอะไวท์โรด ของ “ดร.ป๊อบ” ไปให้อ่าน พลิกไปพลิกมาเขาให้ข้อมูลว่านักเขียนอายุ 14 ปี เราก็อายุใกล้เคียงกัน เขาเขียนได้ เราก็น่าจะทำได้ พอรู้ว่าดร.ป๊อบเขียนลงเว็บเด็กดี กลับจากปีนังก็เขียนลงเด็กดีเลย

เรื่องแรกยังไม่ค่อยมีใครอ่าน แต่เริ่มเรียนรู้การวางพล็อต และคิดว่าน่าจะเขียนเรื่องใกล้ตัวเกี่ยวกับชีวิตมัธยมดู จึงเกิดเป็นนิยายร้ายสุดขั้วกะชั่วสุดขีด ซึ่งไม่คิดว่าจะโด่งดังขนาดนี้ แค่เขียนเอาสนุก ตอนนั้นติดอันดับหนึ่งของเว็บนานเป็นปี จนมีสำนักพิมพ์ทาบทามให้รวมเล่ม เราเลือกสถาพรบุ๊คส์ และเขียนให้เขาเรื่อยมา จนเริ่มอยากฉีกจากแนวเดิม อยากให้มีความซับซ้อนขึ้น ตอนนั้นสำนักพิมพ์แจ่มใสเขาสนใจทำแนวแซ่บๆ 18+ พอดี วงกตดอกไม้เลยได้พิมพ์กับแจ่มใส

นิยายของ “ใบสน” เติบโตขึ้นจากวันแรกยังไง

มีความซับซ้อนกว่านิยายวัยรุ่นช่วงแรกๆ ที่เขียน ทว่าต่อให้เป็นนิยายวัยรุ่น ผลงานของเราก็ไม่ใสขนาดนั้น แต่ละตัวละครมีปม มีปัญหา เช่น ครอบครัว ความรัก เนื่องจากตัวเองเชื่อในเรื่องสถาบันครอบครัว ดังนั้นทุกตัวละครหรือปมใดๆ มักเกิดจากรูปแบบการเลี้ยงดู และยังมีความฉูดฉาดตามวัยที่โตขึ้น แซ่บขึ้น เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แซ่บมานานแล้ว (หัวเราะ) อีกอย่างที่พัฒนาอย่างชัดเจนคือตัวละครมีมิติมากขึ้น เรื่องก่อนๆ ปมมีความคล้ายคลึงกัน แต่วงกตดอกไม้ต่อให้เจอปมเดียวกัน ตัวละครก็ปฏิบัติคนละแบบ

ผลงานเรื่องใดที่เขียนแล้วรู้สึกโหดหินที่สุด

วงกตดอกไม้นี่แหละ ยากตั้งแต่เวอร์ชันนิยายแล้ว ตอนที่เขียนจำได้ว่าเป็นช่วงนิยายจีนกำลังมาแรง ตลาดนิยายไทยดร็อปลง เป็นช่วงนั่งคิดว่าจะทำยังไงให้สามารถเป็นตัวของตัวเองและยังขายได้ หรือต้องเปลี่ยนไปเขียนนิยายจีน วงกตดอกไม้คือพล็อตที่คิดไว้นานแล้ว แต่รีรอเพราะไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมรึยัง คนพร้อมจะอ่านแนวนี้รึเปล่า เพราะใหม่มาก ตัวละครหลัก 4 ตัวคือนางเอกหมดเลย แต่ก็ตัดสินใจลองเสี่ยงดู ตอนที่หนึ่งแก้เป็นสิบรอบกว่าจะได้เวอร์ชันที่ทุกคนเห็น จำได้ว่านั่งอยู่ในห้องมีกระดาษแผ่นใหญ่โยงเส้นตัวละคร มีที่มาที่ไปยังไง แล้วนั่งสลับเหตุการณ์แต่ละช่วง ใช้เวลากับเรื่องนี้ 2 – 3 เดือนก่อนจะลงเว็บเด็กดี ยอมรับว่าเกร็ง เพราะตอนนั้นก็ไม่ใช่เวลาของเรื่องนี้จริงๆ โชคดีที่มีกระแส มีคนเห็นคุณค่า

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ไม่เคยคิดเลิกเขียนนิยายและเขียนเรื่อยมาตั้งแต่เด็ก

ที่จริง มีช่วงเบนเข็มไปทำอาชีพอื่นนะ ทำอยู่หลายปี ตอนทำงานบริษัทเลิกงานก็เหนื่อยจนไม่มีแรงจะเขียน เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นเหนื่อยกับงานที่ตัวเองชอบไปเลยน่าจะดีกว่า แล้วงานเขียนคืองานที่ชอบที่สุด และทำได้ดีที่สุด จึงตัดสินใจกลับมาเขียนเต็มตัว แต่พูดตามตรงก็เสี่ยงนะ ต้องยกเครดิตให้ครอบครัวที่ซัพพอร์ตการเลือกเส้นทางของเรา

จากนักเขียนนิยายมาสู่การเขียนบทได้อย่างไร

ด้วยความที่เรารู้ว่าตัวเองชอบอะไรมาตั้งแต่ ม.ต้น ช่วงเวลา ม.ปลาย จึงเป็นช่วงที่ไม่ต้องค้นหาตัวเองแล้ว ตั้งเป้าเลยว่าจะเป็นนักเขียน ทางบ้านก็มีความไม่แน่ใจว่าจะเป็นอาชีพได้เหรอ แต่เรามั่นใจว่าอยู่ได้ ทำไมจะอยู่ไม่ได้ การเขียนนิยายไม่ใช่สักแต่เขียน เราก็ศึกษาเยอะนะ อ่านบทความทั้งในและนอกประเทศ ประกอบกับช่วงนั้นดูซีรีส์เยอะ พอดูเยอะก็อยากเขียนบท มีเหตุการณ์หนึ่งตลกมาก สมัยนั้นมีโฆษณาผงซักฟอก คนที่เล่นโฆษณาจะเล่าว่าเมื่อก่อนทำงานเยอะ ผ้ามีกลิ่นอับ แต่พอมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้อนี้แล้วหมดปัญหานั้นไปเลย แล้วเขาก็ขึ้นชื่อคุณ… อาชีพนักเขียนบทละครโทรทัศน์ เฮ้ย มันมีอาชีพนี้จริงๆ ทีนี้เสิร์ชเลย เข้าเว็บเด็กดี เรียนเขียนบทต้องเรียนคณะอะไร ได้คำตอบว่าต้องเรียนนิเทศศาสตร์ ก็เข้าไปดูหลักสูตรของแต่ละมหา’ลัย แล้วก็ชอบของ ม.กรุงเทพที่สุด พอเข้าไปเรียนก็ได้พบรุ่นพี่ที่แนะนำให้ไปเขียนบทกับคนนั้นคนนี้สิ

แนวทางการเขียนบทของ “ใบสน” คือไม่ว่าเรื่องจะซับซ้อนแค่ไหนก็เขียนออกมาให้ย่อยง่าย เพราะเราวิเคราะห์ก่อนว่าทำเพื่อให้ใครดู กลุ่มเป้าหมายคือใคร ดังนั้นควรสื่อสารออกไปในแนวทางไหน

มาเขียนบทซีรีส์ที่แปลงจากนิยายตัวเองได้อย่างไร

ผู้จัดเขาสนใจนิยายเรื่องนี้ของเรา อยากเอาไปทำเป็นซีรีส์ เขาเห็นว่าเราเขียนบทด้วย จึงชวนให้มาเขียน เพราะจะมีใครเขียนได้นอกจากเราเอง แต่พูดตรงๆ เลยว่าตอนแรกไม่อยากรับหน้าที่นี้ เราเหนื่อยจากเวอร์ชันนิยายไปเยอะแล้ว ต้องหมดพลังกับเวอร์ชันบทอีกเหรอ ให้คนอื่นเขียนดีกว่าไหม ที่จริงมีการลองให้คนอื่นเขียนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายวนกลับมาที่เราแล้วดันผ่าน ทีนี้ก็ต้องเป็นหน้าที่เราแล้วแหละ ทำคนเดียว 18 ตอนเลย นำประสบการณ์จากการเขียนเรื่องอื่นมาใช้กับเรื่องนี้เต็มที่

               อย่างไรก็ดี ตอนเขียนเราลบเวอร์ชันนิยายในหัวทิ้งไปเลยนะ ยึดแค่เส้นเรื่องหลัก ไม่มีความคิดว่า นิยายฉันคิดมาอย่างดีจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่ เปลี่ยนก็ไม่มีปัญหาอะไร ต่อให้เรื่องนี้เราไม่เขียนบทเอง แล้วนักเขียนบทต้องการเปลี่ยน เราโอเค อาจเพราะเราทำงานทั้งสองด้าน เราเข้าใจและเห็นข้อจำกัดทุกอย่าง บางเรื่องไม่สามารถเล่าตามต้นฉบับนิยายได้จริงๆ บางซีนตอนเป็นนิยายดีมาก ฟินมาก แต่พอเป็นซีรีส์แล้วดูเกินจริง และยังมีข้อจำกัดในเรื่องโลเคชันเอย นักแสดงเอย การตัดต่อเอย การกำกับเอย แต่มีกระแสตอบรับจากแฟนนิยายวงกตดอกไม้บอกว่าเราเปลี่ยนจากต้นฉบับไม่เยอะนะ ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเองปรับเยอะพอสมควร เพราะครึ่งเรื่องหลังคือไม่เปิดนิยายดูแล้ว

นอกจากเขียนบทซีรีส์แล้ว ยังเขียนบทละครด้วย

ใช่ เขียนฟ้ามีตะวัน สามีชั่วคืน ฉายช่อง 7 เราไม่ยึดติดว่าต้องเขียนบทเฉพาะซีรีส์หรือละครเท่านั้น รู้สึกดีด้วยซ้ำที่ทำได้ทั้งสองอย่าง สามารถเปลี่ยนแนวได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเก่งขนาดเขียนได้หมดทุกแนว เรายังรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนซีรีส์วายได้ ถ้าแค่แทรกเป็นคู่รองในเรื่องจะทำได้ดีกว่า

ณ ตอนนี้ระหว่างนิยายกับบทละคร รู้สึกสนุกหรือเอ็นจอยกับการเขียนแบบไหนกว่ากัน

เอ็นจอยทั้งคู่นะ เพราะนิยายเราสามารถทำคนเดียวได้ ไม่มีข้อจำกัด อยากใส่อะไรลงไปก็ได้ ให้แฟนตาซีออกนอกโลกแค่ไหนก็ทำได้ ถ้าเป็นซีรีส์จะออกนอกโลกยังไง รวมถึงงบประมาณเอยอะไรเอย แต่ว่าบทละครจะให้ความภาคภูมิใจหลังจากทำงานเสร็จสิ้นมากกว่าหน่อย พอทำบทจบ ได้เห็นมันออนแอร์ ใจฟูมากกว่า แล้วงานเขียนบทไปได้ไกลกว่านิยาย หมายถึงจำนวนคนรับชม ตลาดคนดูซีรีส์กว้างกว่าคนอ่านหนังสือ

หากวันนี้เขียนนิยายเพียงอย่างเดียว คิดว่าสามารถอยู่ได้อย่างที่เชื่อมั่นในวัยเด็กไหม

อยู่ได้ค่ะ โห นักเขียนนิยายรายได้ดีนะ ไม่ไส้แห้งอย่างที่คิด คนที่รายได้ไม่ดีเขาอาจอยู่ผิดตลาด ส่วนตัวคิดว่าทุกคนเขียนนิยายขายได้ เหมือนแม่ค้าออนไลน์ที่ทุกคนเป็นได้ แต่ถามว่าขายดีทุกคนไหม ก็ไม่ คุณต้องรู้ว่าจะขายอะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร แล้วจุดขายของคุณคืออะไร อย่างจุดขายของเรา คือการคาดเดาไม่ได้ เราพยายามเขียนงานที่พล็อตไม่ซ้ำ แต่รู้แหละว่าพล็อตก็วนไปวนมา ใช้ซ้ำกันทั้งโลก ถ้าเราต้องเขียนก็จะหาวิธีเล่าไม่ให้ซ้ำ

ปริมาณการออกผลงานมีผลต่อการอยู่รอดไหม

50:50 ออกถี่ๆ ก็ดี เหมือนนักร้องที่ปล่อยเพลงบ่อยๆ คนก็จำได้ นักร้องบางคนออกเพลงไม่เยอะ แต่เพลงดัง เขาก็หากินกับเพลงเก่านั้นได้ตลอด ทุกวันนี้นักเขียนมี e-book หล่อเลี้ยงชีวิตอีกทาง ยิ่งยุคโควิด-19 ยิ่งเปลี่ยนจากหน้าร้านเป็น e-book ชัดเจน นักเขียนที่ขยันบางคนออกผลงานเดือนละเล่ม สามารถผ่อนบ้าน ผ่อนรถกันได้เลย

คนที่อยากเข้ามาเป็นนักเขียนบ้างต้องเตรียมตัวเตรียมใจเจออุปสรรคอะไร

เงิน ช่วงแรกๆ ที่ยังเป็นมือใหม่ยอดขายอาจไม่ดี ก็ต้องใช้เวลาสร้างชื่อหน่อย อย่าเพิ่งมุทะลุ ฉันจะทำตามฝัน ลาออกมาล่าฝัน หางานประจำที่มีรายได้หลัก แล้วใช้งานเขียนเป็นงานเสริมไปพลางก่อน อีกอย่างที่อยากแนะนำคือเรื่องความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเขียนงานตามกระแสมากก็ได้ เพราะเราเคยเป็นแบบนั้นมาแล้ว กระแสอันนี้กำลังมาฉันก็จะเขียน กลายเป็นรู้สึกฝืน แถมผลงานก็ไม่ได้น่าพอใจ จึงอยากแนะนำว่าเป็นตัวของเราเองดีที่สุด

มีมุมมมองต่อพัฒนาการวงการนิยายไทยยังไง

ตลาดนิยายแคบลง แต่มีความลึก คล้ายๆ ตลาดติ่ง แฟนคลับมีความทุ่มเท เขาชอบหนังสือเล่มนี้ เขาซื้อที 3 เล่มเลย เล่มหนึ่งไว้อ่าน เล่มหนึ่งไว้เก็บ อีกเล่มไว้ให้นักเขียนเซ็น หรือบางคนซื้อ e-book อีก ดังนั้นเงินในตลาดไม่น้อยเลยนะ แค่ไม่กว้างเท่าเมื่อก่อน

นิยายของ “ใบสน” ที่อยากแนะนำ

1. One Night Stand เรื่องนี้เขียนร่วมกับ “เจ้าหญิงผู้เลอโฉม” แบ่งกันคนละพาร์ต “ใบสน” เขียนเรื่องของตัวละครชื่อพะแพง สาวแซ่บ “เจ้าหญิงผู้เลอโฉม” เขียนเรื่องของตัวละครชื่อเกล เป็นสาวใส อยู่ๆ เพื่อนสาวอีกคนที่ชื่อควีนก็ตาย คำถามคือใครฆ่าระหว่างสาวแซ่บกับสาวใส

2. เพลิงบุปผา เรื่องนี้คล้ายๆ วงกตดอกไม้ เป็นเรื่องของ 4 คนพี่น้องที่เกิดในตระกูลร่ำรวย แต่แล้วน้องคนสุดท้องก็ถูกฆ่าตายวันแต่งงาน ทีนี้ก็ต้องมาสืบหาว่าใครคือคนฆ่า เป็นพี่น้อง 3 คน หรือคนอื่นๆ ที่รายล้อม มีปมเรื่องมรดกและความรักเข้ามาเกี่ยว

3. ซีรีส์หนังสือรุ่น เป็นนักเขียน 5 คน เขียนกันคนละเล่ม มีนางเอกทั้งหมด 5 คน พลอยที่ทำหนังสือรุ่นเพิ่งพบว่าตัวเองใส่เบอร์โทร.ในหนังสือรุ่นผิด จึงเป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักไม่สมหวัง เล่มนี้ลงขาย e-book ก่อน ได้ bestseller ตั้งแต่วันแรก จนมีกระแสเรียกร้องให้รวมเล่ม

3 เล่มในดวงใจของ “ใบสน”

1. ปาฎิหาริย์ร้านขายของชํานามิยะ เขียนโดย ฮิงาชิโนะ เคโงะ

2. เป็นนักเขียนที่ชอบ ยอมรับว่างานช่วงหลังได้อิทธิพลจากเขาเยอะ ตอนที่อ่านครั้งแรกชอบมาก อยากรู้เลยว่านักเขียนคนนี้คือใคร ทำไมถึงคลิกกันได้ขนาดนี้ เรื่องราวของโจรที่เข้าไปในร้านชำ แล้วต้องตอบจดหมายปัญหาชีวิตที่มีคนส่งมาถามคุณนามิยะ อยากให้ลองอ่านวิธีที่เขาตอบปัญหา ถ้าใครต้องการหาความหมายชีวิตหรือเติมพลัง แนะนำเรื่องนี้

3. สัญญาณเตือนตาย เขียนโดย โจวเฮ่าฮุย

4. พล็อตเป็นนิยายสืบสวนทั่วไป แต่วิธีการเล่าเรื่องเขาเก่งมาก เพราะเล่าในมุมมองของคนร้ายด้วย จนทำให้เราอ่านไปแล้วไม่รู้สึกเกลียดคนร้าย และยังแอบเชียร์ด้วย เห็นว่าทั้งพระเอก-คนร้ายต่างมีอุดมการณ์ของตัวเอง

5. แค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ เขียนโดย อาคิระ ชิงะ เรื่องนี้อ่านจบแล้วถึงกับไปเปลี่ยนพาสเวิร์ดทุกอย่างของตัวเองเลย


คอลัมน์: ถนนวรรณกรรม

เรื่อง: ภิญญ์สินี

ภาพ: อนุชา ศรีกรการ

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!