กระบวนการรับรู้กลิ่นเป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทในร่างกายมนุษย์ซึ่งช่วยเชื่อมต่อความทรงจำหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังสามารถสร้างอารมณ์ความรู้สึกสำหรับตัวเราและคนรอบข้างด้วย การมีกลิ่นเฉพาะตัวย่อมสะท้อนอัตลักษณ์ให้คนจดจำภาพของเราได้ชัดยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ‘เฟิร์ส’ อชิตพล พานทอง จึงหยิบยกความน่าสนใจของกลิ่นซึ่งทํางานถึงระดับจิตวิญญาณกับมนุษย์มากกว่าแค่ความหอม มาก่อตั้งธุรกิจ Ashram Scent เพื่อออกแบบกลิ่นน้ำหอมให้แก่โรงแรม สปาและน้ำหอมส่วนบุคคล ส่วนบนของฟอร์ม
เพราะว่าชื่นชอบประกอบกับทำงานด้านสปาและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จึงสนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความลึกซึ้งของกลิ่น ด้วยความมุ่งมั่นและใจรัก คุณเฟิร์สได้ก่อตั้งธุรกิจรังสรรค์กลิ่นที่เป็นจิตวิญญาณ ซึ่งมีน้อยคนทำ เขาเชื่อมโยงและประยุกต์กลิ่นให้ร่วมสมัยมากขึ้นโดยนำ essential oil หรือน้ำมันสกัดที่ได้จากธรรมชาติ เช่น พืช หรือ สัตว์ และกลิ่นน้ำหอมอย่าง synthetic ซึ่งเป็นกลิ่นประดิษฐ์มาผสมผสานกับกลิ่นสมุนไพร เกิดเป็นสินค้าในรูปแบบบูรณาการ เช่น น้ำหอมคลายกล้ามเนื้อ น้ำมันหม่อง spray office syndrome หากได้ลองใช้แล้วจะพบว่าความเย็นหรือความร้อนจากน้ำมันและสเปรย์ที่ทาลงบนผิวจะหายไป แต่กลิ่นน้ำหอมยังกรุ่นกายเราอยู่
กลุ่มเป้าหมายของการทำธุรกิจคือผู้ซึ่งหลงใหล อยากออกแบบกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใคร รวมถึงน้ำหอมบ้าน น้ำหอมโรงแรม และน้ำมันสกัดเพื่อการบำบัดในภาวะเคร่งเครียดหรือนอนไม่หลับ คุณเฟิร์สยังแจกแจงความแตกต่างระหว่างน้ำหอมกับน้ำมันสกัดว่า น้ำหอมเป็นกลิ่นประดิษฐ์หรือเคมี ซึ่งสามารถนำไปออกแบบเป็นกลิ่นดิน น้ำ ลม ไฟ ช่วยสร้างความหอม มีเสน่ห์และสร้างกระบวนการทางการจดจำ หากใครเป็นสายสุขภาพและประสงค์จะบำบัด เยียวยา แนะนำให้ใช้เอสเซนเชียลออยล์หรือน้ำมันสกัดที่ได้จากธรรมชาติอย่างพืช สัตว์ ดอกไม้ กลิ่นอำพันแทน
เมื่อขอทราบวิธีการออกแบบกลิ่น คุณเฟิร์สเล่าว่า “เราถามความชอบ เขาทานอะไรในชีวิตประจําวัน เพราะอาหารย่อมส่งผลต่อผิว ชอบใช้น้ำหอมประเภทไหน นิยมฉีดกลางวันหรือกลางคืน สมมุติว่าฉีดกลางวันเราก็แนะนํากลิ่นที่รู้สึกเบาสบายโชยชาย เราออกแบบตามบุคลิกและความชอบของเขา อาการแพ้ และให้เขาแก้ไขได้ 2 ครั้ง การทำใช้เวลา 7-14 วัน แล้วแต่การหมักบ่ม ตัวไหนที่มีน้ำมันสกัดจะใช้เวลา 5-6 วัน”
ส่วนการออกแบบกลิ่นสำหรับโรงแรม คุณเฟิร์สแนะนำว่า “โรงแรมนั่นต้องการให้คนเห็นภาพแบบไหน พอเขาให้โจทย์มา เราก็ไปดูโรงแรม สถานที่ ไฟ ของตกแต่ง จากนั้นค่อยกลับมาออกแบบกลิ่น โรงแรมแต่ละแห่งมีเสน่ห์เฉพาะตัว เราแค่ไปเสริมเสน่ห์ให้ชัดขึ้น ข้อตกลงในการใช้กลิ่นส่วนใหญ่จะเป็นปีต่อปี ถ้าเขาชอบกลิ่นนี้ก็ใช้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างโรงแรมที่เป็นลูกค้าก็ใช้กลิ่นนี้มา 7 ปีแล้ว และเราไปดูแลว่ากลิ่นยังคงเป็นแบบเดิมไหม แต่ส่วนใหญ่โรงแรมที่ทำให้ก็จะโทร.มาบอกว่าขอทํา diffuser ซึ่งเป็นก้านหอม เพราะลูกค้าต่างชาติอยากซื้อ โดยมากเราได้ออเดอร์เพิ่มจากการทํากลิ่นของโรงแรม และกลิ่นดังกล่าวก็จะกลายเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมนั้นเลย”
ภายหลังเมื่อเริ่มมีคนสนใจการทำกลิ่น คุณเฟิร์สจึงต้องบริหารเวลาการออกแบบให้เกิดผลดียิ่งขึ้น ทั้งยังต้องคอยดูวัสดุส่วนประกอบหรือราคาของน้ำมันสกัดที่แปรผันอยู่เรื่อยๆ หากใครอยากมีกลิ่นน้ำหอมเป็นลักษณะเฉพาะตัวเอง สามารถมาออกแบบกลิ่นได้ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่สามพันห้าร้อยบาทจนถึงหนึ่งแสนบาท
เป้าหมายต่อไปของ Ashram Scent ที่คุณเฟิร์สฝากไว้ “อยากมุ่งเน้นเรื่องการขยายความรู้ ความเข้าใจเรื่องกลิ่นให้แก่คนทั่วไป การจัดนิทรรศการที่เอากลิ่นมาเล่าเรื่องราว และอยากให้กลิ่นเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนเยอะขึ้น ในอายตนะคือการกิน สัมผัส ตามอง หูฟัง กลิ่นไม่ใช่แค่ลมหายใจ และเรามุ่งเน้นการทํากลิ่นเฉพาะสำหรับโรงแรม เวลเนสหรือน้ำหอมส่วนบุคคล”
ก่อนปิดท้ายการสนทนา คุณเฟิร์สได้เชิญชวนทุกคนมาเปิดประสบการณ์เกี่ยวกับกลิ่น “นิทรรศการนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เป็นเรื่องของกลิ่นน้ำหอมที่เป็นกลิ่นน้ำลาย เรากําลังสะท้อนอะไรบางอย่างแก่สังคมว่าทุกวันนี้คนบูชาน้ำลายมากกว่าน้ำนม ซึ่งน้ำลายนั้นเหม็นแต่คนก็ศรัทธา เป็นเรื่องของความเชื่อลึกๆ ในใจคนยุคนี้ น้ำลายมีประโยชน์แต่ก็มีโทษเพราะมันอยู่ในปากของเรา เราก็จะเนรมิตตรงนั้นให้เป็นโรงงานโรงกลั่นน้ำหอม จัดที่ Shop House ใกล้สามย่านมิตรทาวน์ เข้าดูฟรี ในงานจะมีน้ำหอมขายด้วย รายได้ส่วนหนึ่งเราก็ไปช่วยมูลนิธิคนตาบอด”
คอลัมน์: รอบรู้ธุรกิจ
เรื่อง: zentradies
ภาพ: All Creative Team