ธัชชัย ธัญญาวัลย คือชื่อและนามปากกาของทันตแพทย์หนุ่มนักเขียน หรือที่คนรู้จักใกล้ชิดนิยมเรียกง่ายๆ ว่า คุณหมออาตี้ ชายหนุ่มที่นอกจากจะทำฟันเป็นอาชีพหลักเพื่อเลี้ยงปากท้องแล้ว ยังมีอาชีพรองที่มาจากความ ‘คลั่งไคล้’ ในหนังสืออย่างสุดจิตสุดใจ จนนำพาให้เขาก้าวเข้ามาสู่วงการนักเขียนมืออาชีพ กับผลงานที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ยังสวมชุดนิสิต และขยายความสู่การเป็นคนทำหนังสือ
แกลลอรี่เปิดใหม่บนถนนดินสอ คือทำเลที่เหมาะกับการนัดพูดคุยในครั้งนี้ เพราะไม่ไกลจากคลีนิครักษาฟันที่นักเขียนหนุ่มทำงานนัก และเรายังพบว่าสมาชิกที่รวมตัวกัน ณ แห่งนี้ จะโดยนัดหมายหรือบังเอิญต่างเป็นผู้คนที่รักและเกี่ยวข้องกับหนังสือทั้งสิ้น ไม่นาน ชายร่างเล็กที่เรานัดไว้เดินเข้ามาในชุดเสื้อยืดสวมทับด้วยเสื้อสูทกับกางเกงยีนส์ ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองพร้อมเปิดการสนทนาที่ผสมเสียงหัวเราะตลอดหนึ่งชั่วโมง

เริ่มต้นการเขียนด้วยการอ่าน
ผมเริ่มต้นการอ่านในวัย 8–9 ขวบ เรื่องของเรื่องคือผมทะเลาะกับเพื่อนพร้อมลั่นวาจาไปว่า ต่อแต่นี้จะไม่ไปเล่นที่บ้านเพื่อนคนนั้นอีก พออยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่มีอะไรทำ เลยเริ่มหยิบหนังสือประวัติพระแก้วมรกต มาอ่านซึ่งเป็นหนังสือเล่มเดียวในบ้าน อ่านจบซ้ำไปมาหลายรอบมาก ยังมีหนังสือเรียนภาษาไทยเรื่องมานะมานี ผมอ่านเล่ม ป.6 จนจบ ในขณะที่ผมอยู่ ป.4 จากนั้นเริ่มติดการอ่าน เริ่มอ่านหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมเล็กๆ ในจังหวัดอุดรธานีที่มีหนังสือไม่กี่เล่ม จากนั้นขึ้นชั้นมัธยม ห้องสมุดใหญ่ขึ้น แต่ให้ยืมได้แค่ 3 วัน กลับจากโรงเรียนผมจะรีบทำงานบ้าน ทำให้เสร็จจะมาได้มาอ่านหนังสือ ซึ่งนอกจากจะทำให้ผมได้นิสัยการอ่านเร็วเพราะต้องรีบคืนแล้ว ยังทำให้เป็นคนใจร้อนอีกด้วยเพราะต้องแข่งขันกับเวลา (ยิ้ม)
ได้ยินว่าอ่านทุกวันจนเกือบหมดห้องสมุดเลย และทำให้ได้พบหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตด้วย
พออ่านสักพักหนังสือแนวที่ชอบเริ่มหมด ไปถามครูบรรณารักษ์ว่าไม่รู้จะอ่านอะไรแล้ว คุณครูจึงแนะนำหนังสือเรื่องคำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ ยอมรับว่าอ่านแล้วซึมเลย เด็กอายุ 15 ปี รู้สึกโลกนี้มันโหดร้าย (หัวเราะ) แต่เป็นหนังสือเปลี่ยนมุมมองชีวิตเลยก็ว่าได้ จากนั้นเริ่มอ่านหนังสือได้รางวัล เช่น ซีไรต์ สำหรับเรารู้สึกว่าหนังสือที่ประทับตรารางวัลจะสนุกกว่าหนังสือทั่วไป เป็นการเริ่มต้นอ่านงานวรรณกรรมแนวนี้ และอาจจะเพราะผมอ่านหนังสือเกินอายุทำให้เป็นคนแก่เกินวัย ความคิดแก่เกินเด็กเลยไม่สนใจเรื่องที่วัยรุ่นทำกัน สนใจแต่จะอ่านหนังสือ
การอ่านหนังสือยังช่วยทำให้ผลการเรียนดีด้วยใช่ไหม
ใช่ครับ ผมไม่ได้เรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่แรกนะ เคยเปิดดูสมุดพกสมัยก่อนได้เกรด 2 เกรด 1 พอเริ่มอ่านหนังสือผลการเรียนก็ค่อยๆ ดีขึ้น หนังสืออ่านเล่นทั้งหลายมีส่วนช่วยให้อ่านหนังสือเร็ว สามารถจับใจความ นำมาคิดวิเคราะห์ได้ ตัวละครต่างๆ จะก่อร่างสร้างความคิดให้เรา
“เวลาเขียนหนังสือหรือเขียนบันทึก
เราจะได้เห็นจิตใจของเรา ได้รู้เท่าทัน และเกิดสติ”
จากการอ่านมาสู่การเขียนได้อย่างไร
ผมเริ่มจากเขียนบทกวี แต่งโคลง แต่ไม่แต่งกลอนแปดนะ ไม่เอากลอนตลาด มีการดูถูก (หัวเราะ) มาจากผมอ่านหนังสือบอกว่า สุนทรภู่เป็นกลอนตลาดถูกกีดกันไม่ให้เขียนโคลงโลกนิติ ผมเลยเขียนแบบโคลงเสียเลย (หัวเราะ) หลังๆ ถึงมาเขียนกลอนตลาด ส่วนกลอนเปล่าเพิ่งจะเปิดใจลองเขียนตอนเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อก่อนเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ได้ประกวดในงานโรงเรียน รับรางวัลนักเรียนดีเด่นจากบทกลอนที่เขียนเก็บๆ ไว้ ผมจะเก็บสมุดเขียนกลอนไว้ทุกเล่ม จะเรียกว่าสมุดก็ไม่เชิงเป็นกระดาษที่เหลือจากสมุดเรียน มาเย็บเล่มไว้สำหรับเขียน ตอนนั้นยากจนไม่มีสตางค์ซื้อสมุดสวย ๆนิตยสารที่ผมซื้อจะอ่านหมดเลยทั้งเล่ม คำนำ ชื่อคนเขียน ชื่อกองบรรณาธิการ สันปก เพราะราคาแพงต้องให้คุ้ม ส่วนหนังสือผมจะมีลงทะเบียนด้วยนะ เขียนว่าซื้อที่ไหนราคาเท่าไหร่ เก็บใบเสร็จ และแกะยางลบประทับเป็นตราด้วย (หัวเราะ)
พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเขียนงานอยู่ ต้องอธิบายว่าคณะทันตแพทย์เป็นสาขาวิชาที่ใช้ทักษะคล้ายๆ งานฝีมือ ไม่ท่องตำราหนักเท่าแพทย์ ประจวบกับผมพอจะมีทักษะด้านการปั้นติดมือมาเพราะตอนเด็กๆ ชอบปั้นพระพุทธรูป ทำให้ทำงานเสร็จเร็วและมีเวลาว่างไปเขียนหนังสือ ตอนนั้นส่งประกวด I indy หนังสือทำมือของชมรมวรรณศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นรวมบทกวีชุด ‘สามฤดู’ ได้รางวัลเนื้อหาดีเด่น อาจจะเพราะผมเป็นคนเดียวที่เขียนโคลง จริงๆ มันไม่อินดี้เลยนะ มันโบราณมาก (หัวเราะ) จากนั้นส่งประกวดเวทีเดียวกันนี้และได้รางวัลอีกหลายครั้ง พอเรียนปี 3 ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกเรื่องนิทานจัญไร และประกวดโครงการยุวศิลปิน (Young Thai Artist Award) ได้รายได้จากการเขียนมาเป็นทุนการศึกษาครับ

รักงานเขียนมาตั้งแต่เด็ก แต่คุณหมออาตี้เลือกที่จะเรียนสาขาอื่นแทนสาขาที่เกี่ยวข้องกับการเขียน
สาเหตุหลักคือความยากจนครับ ถ้าเราเลือกความฝัน รายได้อาจจะพออยู่ได้ แต่อาจจะไม่เหลือจุนเจือที่บ้าน หรือเหลือไปทำอย่างอื่นที่ชอบ และคงไม่มีสำนักพิมพ์ ArtyHouse ด้วย
พูดถึงผลงานบ้าง หนังสือเล่มแรก นิทานจัญไรเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เริ่มจากตอนอายุ 19 ปีผมแต่งนิทานลงเว็บบอร์ด มีแค่ตอนเดียวด้วย ทีนี้ บก.เขามาเห็นแล้วสนใจจึงติดต่อเข้ามาให้ผมแต่งเพิ่มเพื่อจะตีพิมพ์เป็นเล่ม ก็เค้นประสบการณ์ทั้งชีวิตของเด็กวัย 19 ออกมาจนได้นิทาน 15 เรื่องตีพิมพ์ เนื้อหาคนจะบอกว่าดูไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นแต่ง น่าจะมีส่วนมาจากที่ผมเล่าว่าเป็นคนแก่เกินวัย งานจึงออกมาเป็นอย่างนั้น
โทนงานเขียนของคุณไม่ว่าจะเป็นบทกวีหรือเรื่องสั้น มักจะมีกลิ่นอายของการเสียดสีอยู่ในนั้น ที่นำเสนองานแนวนี้มีเหตุผล
เบื้องหลังอะไรไหม หรือมีอะไรที่อยากจะร้องบอกไปถึงสังคม
นิสัยส่วนตัวของผมชอบประชดเสียดสี น่าจะได้อิทธิพลจากครอบครัวซึ่งมีลักษณะพูดจาโผงผางมีประชดประชัน เพราะเหตุนี้เลยหล่อหลอมกลายเป็นสไตล์งานเขียนของเรา ถามว่าเราเสียดสีเพื่ออะไร ถ้าเป็นสมัยวัยรุ่นก็มีเรื่องอัดอั้นที่อยากจะบอกเหมือนกัน แต่มาถึงตอนนี้ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อความสุขทางจิตใจของเรา (หัวเราะหนักมาก)
การที่ได้เริ่มต้นบนเส้นทางนักเขียนเร็ว ตั้งแต่ยังอยู่วัยเรียน มีข้อดีหรือข้อด้อยอะไรบ้างหรือเปล่า
ในส่วนตัวผม ข้อดีคือได้ฝึกฝีมือมากหน่อย แต่ข้อเสียคือ บางอย่างหุนหันพลันแล่นเกินไป เนื้อหาบางอย่างเราอาจจะไม่รอบคอบ ยังขาดๆเกินๆอยู่ ถ้าได้เห็นโลกรอบคอบแล้วอาจจะลุ่มลึกขึ้น

อะไรคือเหตุผลที่เลือกจะตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นมาเองมากกว่าจะส่งให้สำนักพิมพ์ใหญ่ดูแล
ด้วยความเป็นคนใจร้อน และเจอกรณีผลงานเรื่องนางเลอโฉม นิยายเรื่องแรกที่จะพิมพ์แล้วไม่ได้พิมพ์ ถ้าส่งไปสำนักพิมพ์อื่นต้องผ่านกระบวนการพิจารณาใหม่ตั้งแต่ต้น อย่างนั้นเราทำเองแล้วกัน ถ้าขาดทุนก็เงินเรา และหนึ่งในเหตุผลที่ไม่ส่งไปสำนักพิมพ์อื่นเพราะเขาจะให้เราเอาตรงนี้ออกแก้ตรงนี้หน่อย ถ้าเป็นอย่างนั้นมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
คุณหมออาตี้ถือว่าเป็นนักเขียนที่ใช้สื่อออนไลน์นำเสนองานเป็นรุ่นแรกๆ ตั้งแต่ web board จนมาเป็น blog และเป็น facebook มองว่ากระแสออนไลน์ในปัจจุบันมีผลต่อนักเขียนหรืองานเขียนอย่างไรบ้าง
ผมเริ่มเร็วและเลิกแล้ว (หัวเราะหนัก) ผมเปลี่ยนเว็บบล็อกมาหลายเว็บมาก เพราะเดี๋ยวเว็บปิดตัว เดี๋ยวเซิร์ฟเวอร์ล่ม เรารู้สึกว่ามันไม่ยั่งยืนนะ ถ้าปิดตัวอีกผลงานเราสลายสิ้นไปเลย แต่ถ้ามีเป็นรูปเล่มต่อให้ปลวกกินอย่างน้อยหอสมุดยังพอมีบ้าง ทั้งนี้ ผมมองว่าช่องทางออนไลน์ไม่ได้เหมาะกับงานเขียนทุกชนิด ถ้าบทกวี หรือบทความสั้นๆ หรือแม้แต่นิยายรักกุ๊กกิ๊กที่ให้ความบันเทิงเป็นหลัก สามารถนำเสมอผ่านช่องทางนี้ได้ดีเพราะไม่ต้องใช้สมาธิสูง แต่พอเป็นนวนิยายที่จริงจังอีกขั้น หรือเนื้อหาเยอะหน่อย เริ่มต้องใช้สมาธิ อ่านมากแล้วปวดตา
แม้จะเรียนหรือทำงานสาขาอื่นแต่ไม่เคยทิ้งการเขียน จนวันนี้ออกหนังสือมาเกือบ 10 เล่ม ดังนั้นแล้วการเขียนหนังสือสำคัญต่อเราอย่างไร
สำหรับผมการเขียนหนังสือช่วยคลายเครียดนะ อยากด่าแฟนเก่าก็เอามาแต่งนิยาย (หัวเราะ) เวลาเขียนหนังสือหรือเขียนบันทึก เราจะได้เห็นจิตใจของเรา ได้รู้เท่าทัน และเกิดสติ ส่วนตัวผมเป็นคนเก็บตัวมาตั้งแต่เด็กและที่เรายังใช้ชีวิตได้ด้วยดีเพราะการเขียนไดอารี่ เหมือนเราได้คุยให้คนๆ หนึ่งฟัง ซึ่งมีงานวิจัยบอกว่าเรื่องที่เขียนหรือบันทึกออกไป สมองจะไม่ฝังจำเท่าเรื่องที่ไม่ได้บันทึก ดังนั้น ความทุกข์ ถ้าเราไม่ได้ระบายลงไดอารี่หรือเขียนออกไป สมองยังคงจดจำเรื่องนั้นและหวนคิดถึงความทรงจำนั้นตลอด ปัจจุบันคนเป็นโรคกันมากส่วนหนึ่งเพราะไม่มีพื้นที่ได้ระบายความเครียด ผลงานของผมจึงคล้ายไดอารี่ที่มีการปรุงแต่ง อะไรที่ไม่สมหวังก็จัดให้สมหวังกัน (หัวเราะ) เห้ย ผมว่ามันดีนะ

ในฐานะนักเขียนรุ่นพี่ฝากคำแนะนำให้นักเขียนรุ่นน้องหน่อย
อยากเขียนต้องลงมือเขียน แล้วเขียนให้จบ ซึ่งไม่ได้ง่ายๆ นะ ไม่ว่าคุณจะเขียนแย่แค่ไหน แค่เขียนให้จบ เหมือนวิ่งข้ามรั้ว คุณต้องกระโดดให้ได้ก่อนรั้วหนึ่งครับ
ก่อนจะจบบทสนทนา เราสังเกตเห็นว่าหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมือเขา จะผ่านจมูกเขาด้วย เราอดถามไม่ได้ว่าคุณหมออาตี้ชอบดมกลิ่นหนังสือหรือคะ เสียงหัวเราะชุดใหญ่มาพร้อมคำตอบสั้นๆ “ใช่ครับ ผมชอบ เป็นความชอบส่วนตัว” คงไม่ต้องยืนยันความรักที่มีต่อหนังสือของเขาไปมากกว่านี้ เพราะสามสถานะในชีวิต นักเขียน หมอฟัน และเจ้าของสำนักพิมพ์ คือสิ่งที่หนังสือได้จุดประกายให้แก่ชีวิตของเขา
คอลัมน์ :นัดพบนักเขียน
เรื่อง : ภิญญ์สินี / ภาพ : อนุชา ศรีกรการ
all magazine กรกฎาคม 2560