Antebellum อยากได้เธอเป็นทาสทุกชาติภพ

-

ในหนังตัวอย่าง Antebellum เราจะเห็น จาแนลล์ โมเน่ รับบทเป็นตัวละครในสองยุค  ยุคอดีต เธอเป็นทาสของคนขาวชื่ออีเดน ทำงานในไร่ฝ้ายที่ลุยเซียนา ถูกปฏิบัติเยี่ยงสัตว์ในฟาร์ม ไม่มีสิทธิส่งเสียงใดๆไม่ว่าจะร้องไห้หรือโต้เถียงถ้านาย(ผิวขาว)ไม่อนุญาต หากเริ่มมีท่าทีไม่พอใจก็จะโดนลงโทษอย่างหนัก ส่วนยุคปัจจบัน เธอชื่อเวโรนิก้า เป็นดอกเตอร์ด้านสังคมวิทยาชื่อดัง เขียนหนังสือและได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรระดับประเทศในหัวข้อเกี่ยวกับการต่อสู้ของคนผิวดำ

แต่ในหนังจริง Antebellum เริ่มต้นเล่าเรื่องของอีเดนก่อน ในไร่ที่เธออยู่เป็นชุมชนของทหารผิวขาวที่มีคนงานผิวดำเป็นทาส ชีวิตของอีเดนกับพวกพ้องคือทำไร่ ทั้งเป็นคนรับใช้ ทั้งเป็นที่ระบายความใคร่ของทหารยศสูง หากไม่ยินยอมก็จะถูกข่มขืนและทำร้ายร่างกาย ถูกปฏิบัติแบบเหยียดหยามด้อยค่าความเป็นมนุษย์

หากคิดหนีจากชุมชนนี้ก็จะถูกจับมาแล้วไม่ได้ลงโทษด้วยการฆ่าเฉยๆ แต่เหล่าทหารผิวขาวจะแกล้งปล่อยให้ทาสผิวสีที่ทำผิดวิ่งหนี จากนั้นพวกเขาก็ทำเหมือนล่าสัตว์ คือขี่ม้าไล่ตามเอาเชือกคล้องคอลากมายิงทิ้ง เป็นความสนุกที่ได้ไล่ล่าและเข่นฆ่าคนผิวสีที่เป็นทาส

เมื่อมีทาสชุดใหม่ๆเข้ามาในไร่ พวกเขามักมีท่าทีสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นและต้องทำตัวอย่างไร ทาสชุดล่าสุดมีหญิงตั้งครรภ์อ่อนๆ เธออ้อนวอนอีเดนให้ช่วยหาทางหนี อีเดนบอกว่าต้องรอ ต้องเงียบ แต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจ เพราะยิ่งรอก็ยิ่งเป็นทุกข์กับการโดนกระทำที่เจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ

โศกนาฏกรรมของคนผิวดำเกิดขึ้นใกล้ตัวอีเดนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เธอทำได้แค่กล่อมให้พวกเดียวกัน ‘เงียบและเชื่อฟัง’

แล้วหนังก็ตัดสลับมายังโลกยุคปัจจุบัน เวโรนิก้า (นักแสดงคนเดียวกันกับที่รับบทอีเดน) เป็นตัวแทนของคนผิวดำระดับชนชั้นนำในสังคม มีบทบาทในการผลักดันให้สังคมมีความเท่าเทียม สังคมที่คนผิวดำไม่ยอมโดนกดขี่อีกต่อไป และเธอเรียกร้องให้คนผิวดำไม่นิ่งเงียบแต่ต้องส่งเสียงสู้เพื่อความเป็นธรรม

ไม่เพียงเขียนหนังสือและไปบรรยาย แต่ในเหตุการณ์ชีวิตประจำวัน เช่นไปร้านอาหารหรูแล้วพบอคติแบบเลือกปฏิบัติ  เมื่อถูกพนักงานจัดให้นั่งตรงมุมด้านในแทนที่จะเป็นมุมที่ดีสุดของร้านทั้งที่จองมาก่อน เธอกับเพื่อนก็เลือกที่จะ ‘ไม่เงียบ’ แต่กลับต่อสู้เพื่อให้ได้โอกาสเหมือนลูกค้าผิวขาวคนอื่นในร้านที่ได้นั่งตรงมุมที่ดีที่สุด

แต่การต่อสู้ของเวโรนิก้าก็ถูกคุกคามโดยคนขาวกลุ่มหนึ่งที่แอบสะกดรอย ย่องเข้าไปในห้องพัก แล้วจัดการเล่นงานเธอ

สิ่งที่หนังบอกใบ้ตั้งแต่ต้น คือประโยคเปิดเรื่องซึ่งยกมาจากนักเขียน (ที่มีตัวตนจริง) ชื่อ วิลเลียม ฟอล์กเนอร์ ว่า

“อดีตไม่มีวันตาย ‘มันไม่ใช่อดีตเสียด้วยซ้ำ’”

*Spoiler Alert: เนื้อหาถัดจากนี้เปิดเผยจุดสำคัญในหนัง

ประโยคเปิดเรื่องข้างต้นเป็นเสมือนการบอกใบ้จุดหักมุมในหนัง แล้วยังสามารถตีความได้ว่า

  • อดีตที่เราเห็น(ในหนัง) ไม่ใช่อดีตสมัยจริงๆ แต่คือการจำลองอดีตสมัยที่เกิดในยุคปัจจุบัน
  • อดีตที่เราเห็น(การกดขี่/ความไม่เท่าเทียม/อคติสีผิว) ไม่อาจนับเป็นอดีต เพราะมันยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน

หนังตัวอย่างชวนให้เดาไปต่างๆนานาเช่น นางเอกอาจถอดจิตไปมาได้สองชาติภพระหว่างอดีตที่เป็นทาสกับปัจจุบันที่เป็นนักต่อสู้เพื่อคนผิวดำ แถมหนังเองก็จงใจเล่าถึงอดีตที่เธอเป็นทาสก่อนจะตัดสลับมายังช่วงปัจจุบัน วิธีการเล่านี้หลอกให้คนดูเข้าใจว่ากำลังดูหนังที่เรียงลำดับเวลาตามปกติ 1 à 2 à 3

แต่เมื่อหนังเฉลย เราจึงเข้าใจว่าหนังไม่ได้เรียงลำดับการเล่าแบบนั้น แต่เป็นการเรียงลำดับแบบ 2 à 1 à 3 ทั้งหมดที่เราเห็นช่วงต้นคือการแต่งคอสตูมแล้วจำลองยุคอดีตขึ้นมาตอบสนองตัณหาของกลุ่มคนผิวขาว อยากใช้ชีวิตเหมือนเป็นนายทาสแล้วได้กดขี่ข่มเหงคนผิวดำ จากนั้นจึงเล่าว่าในยุคปัจจุบัน นางเอกถูกจับมาเป็นทาสได้อย่างไร

คนผิวดำที่ถูกจับมาคือโดนกักขังจริง โดนข่มขืน โดนฆ่าจริง พวกเขาถูกกลุ่มคนผิวขาวออกล่าด้วยการแอบสะกดรอยตามแล้ววางยาและลักพาตัว จับมาอยู่ในพื้นที่ฟาร์มเอกชนห่างไกลผู้คน ล้อมรั้วห้ามเข้า คนขาวซึ่งจะเข้ามาใช้ชีวิตในฟาร์มแห่งนี้ได้ต้องเป็นกลุ่มคนที่มีอภิสิทธิ์แล้วรู้กันในวงลับ มีทั้งระดับนักการเมืองหรือคนรวยที่จ่ายเงินเข้ามาใช้ชีวิตเป็นนายทาส

ส่วนหนึ่งของ Antebellum จึงคล้ายกับไอเดียของซีรีส์ West World ที่ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าเวลาจะล่วงมานานแค่ไหน มนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคมที่ยังมีสัญชาตญาณดิบ เช่น ต้องการมีเซ็กซ์แบบที่ตัวเองชี้นิ้วได้ดั่งใจเมื่อมีความต้องการ สัญชาตญาณของการได้แสดงความเป็นนายหรือได้กดขี่คนอื่นเป็นสัญชาตญาณของการ ‘อยากมีอำนาจ’ ผ่านการเหยียดหยามกดขี่คนด้วยกัน

ดังนั้นเมื่อมีสภาพสังคมที่เปิดโอกาสให้ปลดเปลื้องสัญชาตญาณดิบโดยไม่ผิดกฎหมาย มีสังคมที่ให้อภิสิทธิ์ในการทำผิดโดยไม่ต้องรับผิดชอบ คนจำนวนหนึ่งก็พร้อมจะปลดเปลื้องมัน

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน เราไม่อาจกำจัดสัญชาตญาณดิบส่วนนี้หรือกิเลสของมนุษย์ให้หมดสิ้น แต่สิ่งที่เราทำได้คือการสร้างสังคมที่ดีขึ้นซึ่งสามารถปลูกฝังความคิดว่ามนุษย์มีค่าเท่าเทียมกัน มีการให้เกียรติกัน ส่งเสียงดังๆต่อต้านการกดขี่และอคติต่อสีผิวหรือชาติพันธุ์ แม้ไม่อาจเปลี่ยนสังคมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันจะค่อยๆลด ‘สัญชาตญาณดิบ’ ที่กดขี่ข่มเหงเพื่อนมนุษย์ลง


คอลัมน์: มองโลกผ่านจอ

เรื่อง: “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” (www.facebook.com/ibehindyou , i_behind_you@yahoo.com)

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!