นานาสัตว์ ในแบบเรียนไทย

-

หนังสือแบบเรียนไทยชั้นต้น เริ่มตั้งแต่การประสมอักษร ครูบาอาจารย์แต่โบราณท่านมักนำเอาธรรมชาติใกล้ตัวที่เกี่ยวกับชื่อพืชชื่อสัตว์มาประสมอักษรให้เด็กหัดอ่าน เช่น ก า กา ปู ปู อีกาดูปู เป็นต้น ตัวอย่างที่กระผมยกมาอ้าง วันนี้ก็ยังปรากฏร่องรอยอยู่ในแบบเรียน

ย้อนหลังขึ้นไปถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แบบสอนอ่านชั้นต้นที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งคือ ประถม ก กา เมื่อท่านสอนการแจกลูกประสมอักษรในแม่ ก กา แล้ว ท่านนำชื่อสัตว์ต่างๆ มาแต่งเป็น ยานี 11 ให้เด็กๆ ท่องจำ เช่น

๏ แม่ไก่อยู่ในตะกร้า                              ไข่ๆ มาสี่ห้าใบ

อิแม่กาก็มาไล่                                                        อิแม่ไก่ไล่ตีกา

๏ หมาใหญ่ก็ไล่เห่า                                หมูในเล้าแลดูหมา

ปูแสมแลปูนา                                                         กะปูม้าปูทะเล

๏ เต่านาแลเต่าดำ                                 อยู่ในน้ำกะจรเข้

ปลาทูอยู่ทะเล                                                        ปลาขี้เหร่ไม่สู้ดี

แบบเรียนเล่มนี้ประสบสัมฤทธิผลอย่างงดงาม ใช้สืบเนื่องมานานนับร้อยปี กระผมเองเคยเล่าเรียนท่องบ่น แม้ล่วงเลยมากว่า 60 ปี ถึงวันนี้ยังจำได้แม่น แอบกังขามาช้านานว่า ‘ปลาขี้เหร่ไม่สู้ดี’ นั้น มันคือปลาอะไรกันแน่ จนภายหลังได้อ่านฉบับเต็มซึ่งขยายความต่อไปว่า ‘ซื้อเขาเบาราคา ปลาขี้ค่าใช่ผู้ดี’ จึงเข้าใจว่า ‘ปลาขี้เหร่’ ก็คือ ‘ปลาทู’ เพราะราคาถูก เป็นปลาชั้นขี้ข้าไม่ใช่ปลาผู้ดี เนื้อหาสาระในแบบเรียนตอนนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน ท่านเน้นให้รู้จักการประสมอักษรและอ่านได้

การเรียนการสอนในสำนักวัดวาอารามต่างๆ ครั้งกระโน้น พอเด็กผู้เรียนแจกลูก ประสมอักษรตามประถม ก กา ได้คล่อง ก็ต้องเรียน ประถม ก กา หัดอ่าน หรือ มณีจินดา ซึ่งท่านนำเอาพืชและสัตว์ในธรรมชาติมาผูกเป็นคำประพันธ์ มีทั้ง ยานี 11 ฉบัง 16 และสุรางคนาง 28 เนื้อหาเป็นการชมป่าเขาลำเนาไพร คล้ายๆ กับกัณฑ์จุลพนในร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก

๏ เเลเห็นเม่นหมีหมาหมู                        ผงกผงาดผาดดู

ก็อยู่ตามตรอกซอกเขา

๏ กระต่ายกระแตแย้มองย่องเบา         เสือเต้นเผ่นเข้า

ก็เคล้าเข้าสู่คู่ตน

๏ ละมั่งทรายควายขวิดดินชน              ขมักเขม้นเห็นคน

ก็ยืนสดับตรับหู

นอกจากบทชมสัตว์ป่าแล้ว ยังพรรณนาสัตว์น้ำ สัตว์บก ฝูงนก ฝูงปลา นานาชนิดที่ใกล้ชิดคุ้นชินกับวิถีชีวิตผู้คนครั้งกระโน้น

การศึกษาในสำนักเรียนของวัดวาอารามดำเนินสืบเนื่องมาจนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการศึกษา ปรับเปลี่ยนระบบการเรียนการสอน มีหลักสูตรและการวัดผลอย่างเป็นระบบ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย  อาจารยางกูร) แต่งแบบเรียนหลวงขึ้นใช้ในโรงเรียน เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๔  ประกอบด้วยแบบเรียนภาษาไทย 5 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาหนิตินิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน และพิศาลการันต์ ต่อมาท่านได้แต่งแบบเรียนไทยขึ้นอีกหลายเล่ม เช่น ไวพจน์พิจารณ์ อนันตวิภาค นิติสารสาธก ปกีรณำพจนาดถ์ นามพรรณพฤกษา ฯลฯ

พุทธศักราช 2427 ท่านได้แต่ง “สัตวาภิธาน” ซึ่งชื่อหนังสือเล่มนี้มีความหมายว่า ชื่อสัตว์ต่างๆ แต่งเป็นยานี 11 ฉบัง 16 และสุรางคนาง 28 จำแนกสัตว์ออกเป็น 4 จำพวก คือ สัตว์มีเท้ามาก (พหุบาทา) สัตว์สี่เท้า (จตุบาทา) สัตว์สองเท้า (ทวิบาทา) และสัตว์ไม่มีเท้า (อปาทกา) ในที่นี้กระผมขอยกสัตว์มีเท้ามากมาเป็นตัวอย่าง คือ

๏ สัตว์จำพวกหนึ่งสมญา      พหุบาทา

มีเท้าอเนกนับหลาย

๏ เท้าเกินกว่าสี่โดยหมาย     สองพวกภิปราย

สัตว์น้ำสัตว์บกบอกตรง

๏ ตบองพลำใหญ่ยง              อยู่ในป่าดง

ตัวดุจตะขาบไฟแดง

๏ มีพิษมีฤทธิ์เรี่ยวแรง           พบช้างกลางแปลง

เข้าปล้ำเข้ารัดกัดกิน

๏ ตะขาบพรรณหนึ่งอยู่ดิน    พรรณหนึ่งอยู่ถิ่น

สถานแลบ้านเรือนคน

สัตว์จำพวกมีเท้ามาก ท่านระบุว่ามี ตบองพลำ ตะขาบ ตะเข็บ กิ้งกือ แมงมุม แมงป่อง แมงสาบ แมงกะชอน ฯลฯ ตบองพลำ (ตะ-บอง-พะ-ลำ) ที่ท่านกล่าวถึง หน้าตามันเป็นอย่างไร กระผมหาทราบไม่ ท่านพรรณนาว่า เหมือนตะขาบ แต่ตัวโตขนาดกินช้างเป็นอาหาร กระผมเคยถามพระเถระผู้เฒ่า ท่านเล่าว่าอาจารย์ของท่านออกรุกขมูลเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ปักกลดอยู่ในป่าลึก ท่านเห็นตะขาบยักษ์ ตัวเท่าแผ่นกระดาษหน้ากว้าง 10 นิ้ว ตัวยาว 2-3 วา ชะรอยจะเป็นตะบองพลำกระมัง ถึงวันนี้ไม่มีใครเคยเห็นตัว ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน ชะรอยคงสูญพันธุ์ไปแล้ว

บ้านเมืองเปลี่ยนไปตามยุค นานาสัตว์ที่เคยมีชุกชุมใกล้ชิด ก็เหินห่างเลือนหายจากความทรงจำพร้อมๆ กับแบบเรียนโบราณ


คอลัมน์: ตะลุยแดนวรรณคดี

เรื่อง: บุญเตือน ศรีวรพจน์

ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!