จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท นักเขียนซีไรต์เขียนนวนิยายเรื่องนี้ไว้เมื่อ พ.ศ.2559 และได้รับรางวัลดีเด่น Young Thai Artist Award (YTA) ชื่อนวนิยายเข้ากับยุคสมัยตอนนี้พอดิบพอดี เพราะโลกกำลังเผชิญหน้ากับโควิด-19 ระบาดหนัก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และความเสื่อมถอยทางจริยธรรมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ยุคสมัยแห่งความสิ้นหวัง เป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ในโลกอนาคตซึ่งใช้ฉากอดีตและกลิ่นอายของสมัยวิกตอเรีย (Victorian period) จัดเป็นประเภทย่อยของนิยาย ไซ-ไฟ ที่เรียกชื่อว่า streampunk novel ฉากท้องเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นในอเมริกา ตัวละครหลักมีห้าตัว คือ โอลิเวอร์ เลียม ฮิลสัน นักดนตรี ขุนนางชาวอังกฤษ ตัวแทนของชนชั้นศักดินา โจเอล ยังก์ คนขายการนอน ตัวแทนของชนชั้นล่างในสังคม เมแกน หุ่นยนต์สาวน้อย คนรับใช้ของขุนนาง ตัวแทนของเทคโนโลยีที่ไม่อาจล้ำหน้ามนุษย์ โรเบิร์ต สแกนแลน เศรษฐีชรา นักวิทยาศาสตร์หัวก้าวหน้าผู้กำลังตามล้างบาปที่ตนและคนรักกระทำไว้ และ วลาดิมีร์ หนุ่มสังคม ผู้พยายามฟื้นฟูกำลังใจให้โอลิเวอร์กลับมาเล่นดนตรีตามแนวจินตนาการของตนอีกครั้ง
นวนิยายเรื่องนี้กล่าวถึงประเด็นหลายอย่าง ทั้งปัญหาเรื่องชนชั้น ปัญหาการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นไม่เว้นแม้แต่หุ่นยนต์ ปัญหาการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ปัญหาด้านจริยธรรม ปัญหาวัตถุนิยมและบริโภคนิยม ปัญหาเหล่านี้ไม่มีอะไรใหม่ ราวกับผู้เขียนจะบอกว่าไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน ตราบใดที่มนุษย์ไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกและจิตวิญญาณของตน
นวนิยายกล่าวถึงโอลิเวอร์ นักดนตรีเชื้อสายขุนนางผู้ถูกนักวิจารณ์ “ถล่ม” เมื่อเขาเล่นดนตรีแหวกขนบ จนต้องหนีไปใช้ชีวิตใหม่ในอเมริกาและหมดความเชื่อมั่นในตัวเองจนไม่อาจเล่นดนตรีได้อีกเลย โจเอล คนในโลกล่างที่ต้องทำงานหลายจ๊อบเพื่อเลี้ยงชีวิต แต่งานหลักที่ทำเงินให้เขามากที่สุดและต้อง “จ่าย” มากที่สุด คือเป็น “สลีปเปอร์” นั่นคือ
“การนอนในกล่องที่ออกแบบมาเป็นพิเศษและฝังสายไฟสองเส้นเข้าที่ท้ายทอย
จากนั้นการหลับใหลของพวกเขาก็จะถูกโอนถ่ายเข้าไปในวัตถุรูปทรงคล้ายถ่านไฟฉายเล็ก ๆ
ก้อนหนึ่ง แล้วพวกเขาจะตื่นขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้าเหมือนไม่ได้นอนแม้แต่นิดเดียว เพราะ
ความผ่อนคลายจากการนอนหลับได้ย้ายเข้าไปอยู่ในก้อนถ่านไฟฉายพิเศษก้อนนั้นหมดแล้ว”
ด้วยเหตุนี้นักนอนหลับจึงต้องซื้อยานอนหลับมากินเพื่อให้ตนหลับได้ รายได้จึงกลายเป็นรายจ่าย
กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบจนกว่านักนอนหลับผู้นั้นจะสิ้นชีวิตไปอย่างไร้ค่าและทุกข์ทรมาน ส่วนผู้เสพ “สลีปน็อก” จะมีความรู้สึกว่า
“…รู้สึกสดชื่น…มันไม่ใช่ความสดชื่นแบบที่ได้จากการล้างหน้าหรือดื่มน้ำผลไม้นะ
มันเป็นความรู้สึกมีพลัง เหมือนเรามีอำนาจล้นฟ้า จะทำอะไรก็ได้ ทุกอย่างสนุก ตื่นเต้น…
และมันหวานในปาก หวานในอก เหมือนเวลามีความสุข”
ก้อนถ่านการนอนหรือที่เรียกว่าสลีปน็อกเป็นสินค้าขายดีในหมู่คนในเมืองบน จำพวกคนบ้างานที่ต้องการพลังเสริม และหมู่คนรวยที่ต้องการมีกำลังวังชาเพื่อใช้ชีวิตเริงร่าสำเริงสำราญได้ไม่มีหยุด แต่โอลิเวอร์สนใจใช้บริการซื้อสลีปน็อกด้วยเหตุผลที่ผิดแผกกับคนอื่น เพราะหลังจากโอลิเวอร์ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง เขาก็ไม่อาจเล่นเปียโนต่อหน้าคนอื่นได้และไม่มีจินตนาการกับเพลงที่เขาเล่นอีกเลย เขาจึงต้องการซื้อ “ความฝัน” ของสลีปเปอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มอาชีพนี้ เพราะสลีปเปอร์มืออาชีพจะไม่เหลือความฝันอีกแล้ว นั่นเป็นเหตุให้เขาเลือกโจเอล บังเอิญโจเอลได้ฟังเพลงบรรเลงเปียโนที่อ่อนหวาน เศร้าสร้อย และขมขื่น ความฝันของเขาจึงมีเสียงเพลงของโอลิเวอร์ โอลิเวอร์เลยว่าจ้างโจแอลเป็นประจำเพื่ออัดสลีปน็อกให้เขา โอลิเวอร์ต้องการเสพจินตนาการของบทเพลงเปียโนที่เขาบรรเลงด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ผ่านความฝันของโจเอลอีกทีหนึ่ง ส่วนในใจโจเอลก็เผชิญกับความขัดแย้งทางจริยธรรมอย่างหนักเพราะเขาต้องการเลิกเป็น “คนขายการนอน” โดยเด็ดขาด แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องการเงินจำนวนมากพอที่จะได้มีชีวิตตามปกติ
นอกจากสลีปน็อกที่ผูกความสัมพันธ์ของโจเอลกับโอลิเวอร์แล้ว เมแกน หุ่นยนต์รับใช้ก็เป็นอีกปมหนึ่งที่ผูกสัมพันธ์ของคน ๓ คนเข้าด้วยกัน เมื่อหุ่นยนต์หมดสภาพ อนาคตของพวกมันคือถูกนำไปประมูลขายเป็นทาส ให้คนในโลกบนที่ร่ำรวยได้ใช้อำนาจป่าเถื่อนของตนอีกครั้งก่อนมันจะกลายเป็นเศษเหล็ก เมแกนกำลังจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากหุ่นยนต์หมดสภาพตัวอื่น โจเอลและโอลิเวอร์จึงทุ่มเทกันช่วยประมูลเธอโดยมีวลาดิมีร์ช่วยเหลือ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้โอลิเวอร์แสดงเปียโนต่อสาธารณชนอีกครั้งอันจะทำให้โอลิเวอร์ฟื้นคืนความมั่นใจในฝีมือของตนเอง การเข้าประมูลเมแกน ณ สถานที่ลับเพื่อชิงชัยกับสแลนแกนทำให้ในเวลาต่อมาทุกคนได้รู้จุดประสงค์ลึกลับของเศรษฐีชราผู้นี้
แม้ว่าแทบทุกฉากในนวนิยายเรื่องนี้จะมัวสลัว หม่นหมอง ลี้ลับ ซับซ้อน ซ่อนเร้น และตัวละครมีกายภาพที่ห่อเหี่ยว ซีดเซียว แก่ชรา ชำรุด และป่วยไข้ แต่ในด้านจิตใจกลับงดงาม สะอาด อ่อนโยน ใสสว่าง ผู้เขียนวาดภาพให้เห็นพลังของความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ด้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์หรือหุ่นยนต์ ที่สำคัญคือไม่ใช่การ “ให้” จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างผู้มีอำนาจเหนือกว่าทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่เป็น “ให้” และ “รับ” อย่างไม่ทำลายศักดิ์ศรีและคุณค่าของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด นวนิยายเรื่อง ยุคสมัยแห่งความสิ้นหวัง ของจิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท จึงชี้ให้เห็นว่าในความดำมืดของโลกที่โสมม ยังมีแสงสว่าง มีความหวัง มีอนาคต ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะมนุษย์มีปัญญาที่อาจพัฒนาให้มีศักยภาพมากขึ้นจนสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดเกินมนุษย์ หรือพลิกแพลงเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเอาเปรียบเพื่อนร่วมสังคม แต่เป็นเพราะมนุษย์มี “หัวใจ” ที่อาจพัฒนาจนก้าวข้ามกิเลสตัณหาความเห็นแก่ตัวไปสู่ความเห็นแก่ผู้อื่นและสังคมส่วนรวมได้
จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท เป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่มีลีลาเฉพาะตัว เธอจะใช้รูปแบบวรรณกรรมใหม่ๆ ที่ทำให้เรื่องราวก้ำกึ่งระหว่างอดีตกับอนาคต ความเหนือจริงกับความสมจริง ความสนุกบันเทิงกับการสะท้อนสังคม และมุมมืดกับมุมสว่างของมนุษย์ ตัวละครมักเป็นชาวต่างประเทศ ชื่อแปลกๆ บ่งบอกสังคมที่หลอมละลายการแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติและวัฒนธรรม ฉากท้องเรื่องมักเป็นดินแดนในจินตนาการ เพราะผู้เขียนคงตั้งใจให้ผู้อ่านตระหนักว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดบนแผ่นดินไทย แต่เกิดขึ้นได้ทุกแห่งในโลก ในขณะเดียวกันเรื่องราวที่ดูเหมือนไกลตัวนี้กลับมีพลังสะท้อนให้เรามองภาพสังคมใกล้ตัวชัดเจนขึ้น
ยุคสมัยแห่งความสิ้นหวัง ไม่เพียงทำให้เราแช่มชื่นหัวใจว่าเรายังมีความหวังถึงสังคมอนาคตที่ดีงาม แต่ทำให้เรามีความหวังด้วยว่าวรรณกรรมร่วมสมัยของเราจะมีอนาคตที่เจิดจ้า จากฝีมือของคนรุ่นใหม่ที่มีมุมสว่างในใจและมีความคิดเชิงบวก
คอลัมน์ : เชิญมาวิจารณ์
เรื่อง : ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์
All magazine กุมภาพันธ์ 2564