แต่ไหนแต่ไรมา ผมเป็นมนุษย์สายพันธุ์ที่ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่คุ้มค่า ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงสมาร์ตโฟน ล้วนใช้งานแค่ส่วนเดียวของความสามารถทั้งหมดของเครื่อง
ครั้งที่ได้โทรศัพท์มือถือเครื่องแรก ก็ไม่เคยใช้มันครบหน้าที่ใช้สอย ใช้โทรศัพท์เข้าออกอย่างเดียว เมื่อโทรศัพท์มือถือใช้ถ่ายรูปได้ ก็ไม่เคยใช้ถ่ายรูป โทร.เข้าออกอย่างเดียว จนเมื่อมันพัฒนากลายเป็นสมาร์ตโฟนที่สลับซับซ้อน ทำงานได้สารพัด ก็ยอมปรับปรุงตนเองขึ้นเล็กน้อย ส่งข้อความหาเพื่อนบ้าง สั่งอาหารบ้าง นานๆ ทีก็ใช้เรียกรถรับจ้างบ้าง
ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เรียบง่าย ผมแค่ต้องการโทรศัพท์ที่เป็นโทรศัพท์ มีหน้าที่ไม่กี่อย่างก็พอ แต่โลกเราวันนี้ไม่มีสิ่งของธรรมดาขาย ทุกเครื่องทุกยี่ห้อจัดหน้าที่ใช้สอยแบบเต็มอัตราศึก
สมาร์ตโฟนในยุคนี้ทำงานได้มากมายจนอาจเกินความจำเป็น มันมีคุณสมบัติสูงกว่าระบบคอมพิวเตอร์ยุคที่ใช้ส่งจรวดไปดวงจันทร์เสียอีก คำนวณดูแล้ว ผมน่าจะใช้งานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของความสามารถทั้งหมดของเครื่อง ไม่เคยใช้ดูหนัง ไม่เล่นเกม ไม่ใช้แผนที่ ไม่เคยถ่ายวิดีโอ ไม่เคยตัดต่อหนัง ไม่เคยส่งเสียงสั่งเครื่องให้ทำอะไร
คนใกล้ตัวจึงล้อผมว่า “ซื้อเครื่องราคาสี่หมื่น ใช้แค่ห้าบาท”
…………
คนกรุงไม่น้อยมีบ้านสองหลังตามสูตรสำเร็จ คอนโดมิเนียมขนาดเล็กหนึ่งห้องในเมือง และบ้านขนาดใหญ่ที่ชานเมือง วันทำงานนอนในเมือง วันหยุดก็กลับไปบ้านชานเมืองที
เวลาส่วนใหญ่ผ่านไปในคอนโดเล็กๆ ส่วนบ้านหลังใหญ่ซื้อให้คนใช้อยู่
ว่าก็ว่าเถอะ นี่ก็ไม่ต่างจาก “ซื้อเครื่องราคาสี่หมื่น ใช้แค่ห้าบาท”
ยิ่งเราสะสมวัตถุมากเท่าไร ก็อาจตกอยู่ในสถานะที่ใช้สิ่งของไม่ครบหน้าที่ ข้าวของมีไว้โชว์คนอื่นหรือแสดงสถานะทางสังคมเท่านั้น หลายคนมีนาฬิการ้อยเรือน เสื้อสองร้อยตัว เน็กไทสี่ร้อยเส้น รองเท้าห้าร้อยคู่
แต่ความจริงคือ คนเราสวมเสื้อผ้าได้ทีละตัว ใส่รองเท้าได้ทีละคู่ สวมนาฬิกาได้ทีละเรือนเท่านั้น เสื้อผ้ารองเท้าส่วนใหญ่ก็ผ่านชีวิตของมันในตู้ อาจถูกใช้ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์
นี่ก็เข้าข่าย “ซื้อเครื่องราคาสี่หมื่น ใช้แค่ห้าบาท”
เอาละ นี่ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูกอะไร วัตถุก็คือวัตถุ ถ้ามีปัญญาซื้อหา ก็ทำที่สบายใจ เพราะบางทีความสบายใจอาจมีค่ากว่าเรื่องอื่น
ชีวิตสถาปนิกของผม ตั้งแต่สมัยผมเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ ไม่เคยออกแบบอาคารทรงโค้งและทรงกลมเลย เหตุผลเพราะขี้เกียจเขียนแบบทรงโค้ง มันเสียเวลา
สมัยนั้นการเขียนแบบอาคารทรงกลมหรือโค้งต้องใช้วงเวียนปากกา สมัยก่อนยังไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วย ต้องเขียนด้วยมือทีละเส้น ทำให้ทำงานช้า เหลือเวลาอ่านนิยายและดูหนังน้อยลง ดังนั้นการออกแบบทุกอย่างเป็นเส้นตรงช่วยประหยัดเวลาการเขียนแบบ ก็เท่ากับมีเวลาอ่านนิยายและดูหนังมากขึ้น!
ผมอาจแก้ตัวว่าการสร้างอาคารโค้งแพงกว่า เพราะการก่อสร้างซับซ้อนกว่า ต้องใช้ช่างฝีมือดีมากกว่า แต่ความแพงหรือความยุ่งยากในการก่อสร้างไม่ควรเหตุผลที่จะไม่ออกแบบอาคารโค้ง เพราะสถาปัตยกรรมจำนวนมากเป็นรูปกลมหรือโค้งที่สวยและมีหน้าที่ใช้สอยดีกว่าทรงเหลี่ยม
สถาปนิกที่ดีต้องคิดรอบด้าน คิดทุกจุด ทุกทางเลือก เพื่อค้นหาแบบที่ดีที่สุด สถาปนิกขี้เกียจจึงเหมือนแม่ทัพที่มีอาวุธหลากชนิด แต่ใช้แค่อย่างเดียว
นี่ก็คือการทำงานไม่เต็มศักยภาพ หรือ “เครื่องสี่หมื่น ใช้แค่ห้าบาท”
…………
สมองคนเราก็เช่นกัน สามารถทำงานได้หลายอย่าง แต่หลายคนใช้ไม่คุ้มค่า
คนจำนวนมากใช้สมองเป็นห้องเก็บของเป็นหลัก ชอบเก็บไม่ชอบคิด
บางคนเก็บความทรงจำที่ดี บางคนเก็บแต่ความทรงจำเลวร้าย คำพูดร้ายๆ ที่เพื่อนเคยพูดเมื่อยี่สิบปีก่อน ก็ยังเก็บไว้อยู่ บางคนก็ใช้สมองเก็บแต่ความวิตกกังวล
นี่ก็คือ “เครื่องสี่หมื่น ใช้แค่ห้าบาท” แต่มันแย่กว่าซื้อบ้านแล้วไม่อยู่อาศัย เพราะธรรมชาติสร้างสมองมาให้เราใช้คิด ไม่ใช่สร้างมาเก็บความกลัดกลุ้ม
มีสมองไม่ใช้หมดไม่ดีต่อสมอง
มีงานวิจัยว่า สมองที่ยิ่งทำงาน ก็ยิ่งแข็งแรง ดังนั้นเราควรใช้มันให้เต็มที่ มนุษย์เราเกิดมาพร้อมศักยภาพบางอย่างที่บ่อยครั้งเราไม่รู้ว่ามี เราจะรู้ก็ต่อเมื่อลองทำ แม้แต่คนที่คนอื่นว่าโง่ ก็อาจมีความสามารถบางอย่างรอให้ขุดออกมาใช้
เราทุกคนเป็นเครื่องมือราคาสี่หมื่นในแบบฉบับของเราเอง ส่วนจะใช้แค่ห้าบาท หรือใช้ครบสี่หมื่น ก็ต้องสำรวจตัวเอง
ถ้ารู้ว่ามีศักยภาพสูง แต่ใช้ไม่เต็ม ก็เสียของเปล่าๆ
มีแต่คนที่ใช้ครบหรือเกินศักยภาพของตนเอง จึงจะเรียกได้ว่าใช้ชีวิตคุ้ม
คอลัมน์: ลมหายใจ
เรื่อง :วินทร์ เลียววาริณ
winbookclub.com
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/