โฮเซ่ มูฮิก้า (Jose Mujica) เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 1935 ในมอนเตวิเดโอ เมืองหลวงของประเทศอุรุกวัย
ในวัยหนุ่ม มูฮิก้าผู้มีอาชีพชาวนาได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มตูปามารอส (Tupamaros) กองกำลังฝ่ายซ้ายต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ
การต่อสู้คราวนั้นทิ้งรอยแผลจากกระสุนไว้บนร่างกายของมูฮิก้าถึงหกแผล เขาโดนจับเข้าคุกสามครั้ง สองครั้งแรกนั้นเขาแหกคุกออกมาได้ แต่ในการถูกจับกุมครั้งที่สาม เขาต้องโทษจองจำอยู่นานถึง 13 ปี ก่อนได้รับการนิรโทษกรรมในปี 1985
เมื่อได้รับอิสรภาพ เขาก็เริ่มเข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการเข้าร่วมกับพรรคฝ่ายซ้ายนามว่า Movement of Popular Participation ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หนึ่งสมัยและสมาชิกวุฒิสภาสองสมัย ก่อนสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีและได้ชัยชนะอย่างถล่มทลายในปี 2009
สิ่งที่ทำให้มูฮิก้าแตกต่างจากประธานาธิบดีคนอื่นๆ ของอุรุกวัย หรืออาจจะพูดได้ว่าแตกต่างจากประธานาธิบดีทุกคนบนโลกนี้ ก็คือวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของเขา
แทนที่จะเข้าพักใน “ทำเนียบขาว” ของอุรุกวัยซึ่งจัดไว้ให้ประมุขของประเทศ มูฮิก้ากลับพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ในฟาร์มของตัวเองและภรรยา
แทนที่จะนั่งรถหรูกันกระสุนประจำตำแหน่ง มูฮิก้ากลับขับรถโฟล์คเต่าปี 1987 ไปทำงานที่รัฐสภา
แทนที่จะใช้เวลาว่างตีกอล์ฟหรือร่วมงานกาลาดินเนอร์ มูฮิก้ากลับขับแทร็กเตอร์ดูแลความเรียบร้อยในฟาร์ม
แทนที่จะมีสัตว์เลี้ยงหายากราคาแพง สัตว์เลี้ยงของมูฮิก้ากลับเป็นเพียงหมาขาด้วนชื่อมานูเอล่าที่อยู่กับเขามา 18 ปี
มูฮิก้าได้รับเงินเดือน 12,000 ดอลลาร์หรือราวๆ 360,000 บาท และเขาบริจาคเงินร้อยละ 90 จากรายได้นี้ให้การกุศล
ด้วยวิถีชีวิตที่ติดดินเช่นนี้ เขาจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก
“สื่อบอกว่าผมเป็นประธานาธิบดีที่ยากจน แต่ที่จริงแล้วผมไม่ได้ยากจนเลย คนที่ยากจนจริงๆ คือคนที่มีความต้องการไม่สิ้นสุดต่างหาก เพราะเขาจะติดอยู่กับวงจรอุบาทว์ในการแสวงหาสิ่งของที่ไม่จำเป็น และพวกเขาจะไม่เคยมีเวลามากพอเลย”
เพราะความที่เคยถูกจองจำอย่างยาวนานและหลายครั้งก็ถูกนำตัวไปขังเดี่ยว มูฮิก้าจึงมีเวลาอยู่กับตัวเองมากมาย เขามีเวลาทบทวนและเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่แท้จริง
ในสมัยที่มูฮิก้าดำรงตำแหน่งอยู่นั้น จีดีพี หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประกาศของอุรุกวัยโตเฉลี่ยร้อยละ 5.6 ต่อปี อัตราการว่างงานลดลงจากร้อยละ 40 เหลือร้อยละ 11 รายได้ขั้นต่ำโตขึ้น 250% และประชากรที่มีฐานะยากจนลดลงจากร้อยละ 40 เหลือเพียงร้อยละ 12
นอกจากนี้รัฐบาลของมูฮิก้ายังทำให้การซื้อขายกัญชา การทำแท้ง และการแต่งงานของเพศเดียวกันเป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกด้วย
มูฮิก้าก้าวลงจากเก้าอี้ประธานาธิบดีในปี 2015 และได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภา (รัฐธรรมนูญของอุรุกวัยห้ามมิให้ผู้ใดเป็นประธานาธิบดีติดต่อกันสองสมัย)
วันนี้ มูฮิก้าในวัย 84 ปี ยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะในฟาร์มของเขาและเป็นนักการเมืองในดวงใจของชาวอุรุกวัยหลายล้านคน
คอลัมน์ มุมละไม
เรื่อง: อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์
All magazine พฤศจิกายน 2562
เกี่ยวกับผู้เขียน: อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ ผู้เขียนหนังสือ Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ เจ้าของบล็อก Anontawong’s Musings และ Head of People ที่ Wongnai