โนรี (โก๊ะ)

0
2571

มีเรื่องราวบางเรื่องใช่ไหมที่เวลาหวนย้อนนึกถึงทีไรคุณก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที นั่นแหละ สำหรับฉันแล้วเรื่องของโนริโกะก็จัดอยู่ในเรื่องประเภทนั้น

โน่น… เมื่อยี่สิบปีที่แล้วแน่ะ

ฉันยังจำวันแรกที่โนริโกะมาได้ วันนั้นครูประกาศด้วยท่าทางตื่นเต้นหน้าชั้นเรียนว่า วันนี้นักเรียนจากโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมชาวญี่ปุ่นจะเข้ามาเรียนกับเรา และห้องเราก็ถูกเลือกจากทางโรงเรียนว่าเหมาะสมที่สุด เพราะฉะนั้นถือว่าเราเป็นตัวแทนของประเทศ ห้ามทำให้ประเทศขายหน้า

พวกเรามองหน้ากันยิ้มๆ ที่จริงครูพูดแบบนี้เป็นครั้งที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ ตั้งแต่วันที่รู้ว่าจะมีนักเรียนญี่ปุ่นมา ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ไม่รู้

แต่พอถึงเวลาที่โนริโกะเดินเข้ามายืนยิ้มกว้าง ท่าทางสดชื่นมั่นใจที่หน้าห้องจริงๆ พวกเราก็กลับเป็นฝ่ายตื่นเต้นเสียจนทำอะไรไม่ถูก เธอสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราตั้งแต่แรกเห็นด้วยผมสีน้ำตาลฟูหยิกหย็องมัดรวบสูง ส่วนสูงที่มากกว่าทุกคนในห้องเรา ผิวสองสีไม่ต่างจากพวกเรา และฟันเขี้ยวขาวจั๊วะน่ารัก แถมยังใส่ชุดนักเรียนเสื้อขาวแขนตุ๊กตาเหมือนพวกเราซะอีกแน่ะ ก็แหม ก่อนหน้านี้เด็กผู้หญิงญี่ปุ่นที่พวกเราเคยจินตนาการกันไว้ต้องตัวเล็กๆ ขาวมากๆ ผมยาวตรง (อาจจะไว้ผมหน้าม้าด้วย) แล้วก็ใส่ชุดนักเรียนน่ารักๆเหมือนในเซเลอร์มูน ท่าทางเรียบร้อยขี้อายไม่ใช่เหรอ

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อโนะริโกะค่ะ” เสียงของเธอเล็กๆ น่ารักเหมือนเสียงเด็ก (อันนี้ค่อยเหมือนที่คิดไว้หน่อย) พวกเราฮือฮาเมื่อได้ยินภาษาไทยชัดเจนจากปากของเธอตั้งแต่ครั้งแรก แต่ก็รับรู้ในเวลาต่อมาว่าเธอพูดไทยชัดแค่ประโยคนั้นเท่านั้นแหละ คงเพราะผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดี

“มีใครอยากจะทักทายเพื่อนบ้าง ภาษาอังกฤษก็ได้ หรือมีใครพูดญี่ปุ่นได้ก็เชิญเลย” ครูว่า ท่าทางครูเองก็ยังตื่นเต้นอยู่มาก

ในห้องฮือขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนใหม่มา ใครจะไม่อยากคุยด้วย แต่พวกเราต่างก็เหมือนๆ กัน คือภาษาอังกฤษอยู่ในระดับห่วย ส่วนญี่ปุ่นไม่ต้องห่วงเลย เพราะไม่รู้เลยสักคำ ตอนนี้ต่างคนต่างเกี่ยงกันไปมาจนในที่สุดก็มีคนหนึ่งลุกขึ้นยิ้มเขินๆ

“กู๊ดมอร์นิ่ง โนริโกะ ไอ แอม นภัสสร นิกเนม อิส นะ” นะเป็นคนที่เก่งภาษาที่สุดในห้องแล้ว มันสอบได้ท็อปเสมอในวิชาอังกฤษและฝรั่งเศส แม้จะเป็นท็อปที่ตำแหน่งคาบเส้นพอดีก็เหอะ (คนที่เหลือสอบตกยกห้อง)

โนริโกะยิ้มร่าเริง “กู๊ดมอร์นิ่ง นะ ไอ ด๊อน แฮฟ นิกเนม”

พวกเราที่เหลือฟังแล้วก็หัวเราะเหะๆ แหะๆ อย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อ ยิ้มหวานของโนริโกะก็ดูจะจืดลงเรื่อยๆ ห้องเรียนทั้งห้องเงียบน่าอัดอึดอยู่พักหนึ่ง จนครูต้องพูดขึ้นอีก

“เอ้า จะพูดกันแค่นี้เองเหรอ มีใครพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง คำสองคำก็ยังดี”

คราวนี้นายกล้วยหลังห้องยกมือเขินๆ “โนริโกะ ขี้เหร่เนะ”

ทั้งห้องฮาครืน มุกนี้ทุกคนเข้าใจดี เพราะมันเป็นบทพูดในละครหลังข่าวเรื่องดังเรื่องหนึ่งเมื่อคืนนี้เอง ที่พระเอกหลงรักนางเอกลูกครึ่งญี่ปุ่นแล้วใช้มุกนี้หยอกล้อกันในด้านความหมาย

แต่รู้สึกจะมีอยู่คนเดียวที่เข้าใจไม่เหมือนคนอื่น โนริโกะโค้งตัวยิ้มหวาน “ขอบคุณค่ะ”

พอคนนึงเริ่มกล้า คนที่สองก็ตามมา “โนริโกะๆ”

เพื่อนทั้งห้องหันไปมองมันเป็นตาเดียว ครูและเพื่อนชาวญี่ปุ่นของเราก็มองมาที่มันอย่างกระตือรือร้นและตั้งใจรอฟังเป็นอย่างมาก

อายิโนะโมะโต๊ะ!”

ให้ตายเหอะ ฉันนึกยังไงก็นึกไม่ออกแล้วว่าชื่อเล่นจริงๆ ของเจ้านั่นมันชื่ออะไรกันแน่ เพราะหลังจากนั้นเพื่อนๆ ทั้งห้องและต่อมาก็ทั้งโรงเรียนพากันเรียกมันว่า “ไอ้โมะโต๊ะ” หมดทุกคน

 

ปกติแล้วพวกนักเรียนโรงเรียนต่างจังหวัดอย่างพวกเราไม่ค่อยได้เจอชาวต่างชาติมากนักหรอก บางคนเรียกว่าไม่เคยเจอเลยด้วยซ้ำ การที่มีโนริโกะมาเดินไปมาอยู่ในโรงเรียนจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่และน่าตื่นเต้นสำหรับพวกเรามาก เวลาโนริโกะไปไหนก็จะมีแต่คนหันมามอง ยิ้มให้ บางคนก็กล้าขนาดเดินเข้ามาคุยด้วยก็มี แต่บางคนก็ทำให้โนริโกะอึดอัด

เธอถึงกับเคยปรึกษาครูประจำชั้น ว่าการที่มีคนยิ้มหรือหัวเราะเวลาที่เธอพูดหรือทำอะไรผิดทำให้เธอรู้สึกแย่มาก แล้วครูก็มาเล่าให้พวกเราฟัง ตอนนั้นพวกเราได้แต่ตกใจ เพราะไม่คิดว่าโนริโกะจะอ่อนไหวมากขนาดนี้ ครูจึงบอกให้พวกเราพยายามรักษามารยาท เพราะวัฒนธรรมของแต่ละประเทศต่างกัน แล้วไปพยายามอธิบายให้เข้าใจโนริโกะว่าการยิ้มแบบนั้นของคนไทยไม่ใช่การยิ้มแบบดูถูกเหยียดหยามหรือเยาะเย้ย แต่ยิ้มออกมาตามธรรมชาติเพราะรู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดูต่างหาก ต้องให้เวลาหลายเดือนทีเดียวกว่าที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นจะเข้าใจและเคยชิน จนตอนหลังๆ ยิ้มตอบให้เสียด้วย

ในวิชาอื่นๆ โนริโกะจะมีท่าทางซึมเซาอยู่บ้าง เพราะภาษาไทยที่ไม่แข็งแรงทำให้ฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในวิชาพละ เกษตร และดนตรีเธอก็แปลงร่างกลายเป็นอีกคนไปทันที ไม่มีใครแย่งลูกบาสจากเธอได้ทันเมื่อเธอเลี้ยงลูกหลบหลีกคล่องแคล่วสง่างามและชู๊ตนอกระยะลูกโทษได้แม่นยำเหมือนเดินเอาไปหย่อนใส่ห่วง เห็ดนางฟ้าในชั้นวางที่เธอเพาะงอกงามเร็วกว่ากำหนดส่ง จนพวกเราพากันเก็บมาทำอาหารกินไปได้หลายรอบ เสียงร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นของเธอดังกังวานมั่นใจจนเพื่อนข้างห้องที่อาจารย์ยังไม่สอนต้องแอบมาเกาะประตูหน้าต่างดูกันให้ยุ่บยั่บเหมือนมดดำขึ้นขนมโก๋

ชื่อโนริโกะ เจ้าตัวยืนยันว่าให้อ่านออกเสียงสั้นทั้งหมด คือ โนะ-ริ-โกะ แต่ในภาษาไทยชื่อผู้หญิงนิยมใช้เสียงยาว เวลาที่เราเรียกเธอทีไรจึงกลายเป็น โนรีโกะ ไปเสียทุกที ตอนหลังๆ ก็เหลือแค่โนรี เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถามว่า “โนรี แปลว่าอะไร”

“เป็นชื่อนกอย่างหนึ่ง คายน์ ออฟ เบิร์ด น่ะโนรี เรด ฟีเชอร์ สีสวยมาก”

“O.K. ไอ เลิฟ เบิร์ด” โนรีตอบแล้วยิ้มหวานโชว์เขี้ยวเสน่ห์ ตั้งแต่นั้นมาเพื่อนชาวญี่ปุ่นแสนน่ารักคนนี้ของเราเลยมีชื่อไทยว่า “โนรี”

 

“โนรี วาย ยู คัม ไทยแลนด์” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นตอนที่พวกเรากำลังจะพากันเดินไปกินข้าว คำถามนี้น่าสนใจ ฉันกำลังคาดเดาว่าโนริโกะอาจจะตอบว่าอาหารไทยอร่อย เมืองไทยทะเลสวย คนไทยใจดี เหมือนที่เคยได้ยินพวกฝรั่งตอบตามรายการทีวีที่ชอบไปสัมภาษณ์

“ไทยแลนด์ อิส คูล” เธอว่าอย่างนั้นแล้วก็พูดอะไรต่อไปอีกสองสามประโยคยาวๆ ยัยเพื่อนท็อปอังกฤษของเราก็พยักหน้าเออออ ท่ามกลางความงงงวยของพวกเราที่เหลือ

“เขาบอกว่าเมืองไทยหนาว” เพื่อนคนหนึ่งกระซิบ

“หนาวบ้าดิ ร้อนตับจะแตก เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย” อีกคนกระซิบตอบ

“พวกแกดิบ้า” เจ้าหน้าที่ล่ามประจำกลุ่มหันมาขึ้นเสียงแว๊ด “คูลมันแปลว่าเจ๋งตะหาก ไม่ใช่หนาว วู้ เชยจริง นี่เขาบอกว่าทึ่งกับอะไรหลายอย่างในเมืองไทย โดยเฉพาะผลไม้ไทยและข้าวไทย โนรีชอบกินข้าวหอมมะลิมากๆ เลยนะ ที่ประเทศเขาข้าวญี่ปุ่นจะเม็ดกลมๆ นุ่มๆ ป้อมๆ ไม่เรียว หอมมากๆ อย่างของเรา ข้าวหอมมะลิที่นำเข้ามาจากเมืองไทยราคาแพงมากด้วย ถ้ามีโอกาสเขาก็อยากเรียนรู้วิธีเพาะพันธุ์และปลูกข้าวหอมมะลิจากชาวนาไทยบ้าง”

“หืม” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กันก่อนที่ใครบางคนจะถามต่อ “ทำนาน่ะเหรอ โนริโกะอยากทำนา? อยากเป็นชาวนาเหรอ”

คำว่าทำนามันฟังดูห่างไกลกับประเทศที่เจริญมากๆ อย่างญี่ปุ่น ในสายตาพวกเรา การทำนาเป็นเรื่องที่เหนื่อย ยากลำบาก เป็นอาชีพที่แม้แต่พ่อแม่ชาวนาก็ไม่ค่อยอยากให้ลูกทำ เพราะนอกจากความเหนื่อยยาก การถูกเอารัดเอาเปรียบ ชาวนาไทยยังถูกจัดไว้ในระดับฐานะที่ต่ำต้อย และมักถูกอาชีพอื่นๆ ดูถูก ทั้งที่คนส่วนใหญ่ของประเทศก็เป็นลูกหลานชาวนา และอยู่มาได้ด้วยข้าวที่ชาวนาเหล่านั้นปลูกให้เคี้ยวกินกันทุกมื้อ

ล่ามประจำกลุ่มหันไปคุยกับโนรีอีกเดี๋ยวก็หันมาบอกว่า “โนรีอยากไปดูนาข้าวของไทย เขาบอกว่าที่ประเทศเขาเด็กประถมต้องเรียนวิชาทำนาปลูกข้าวด้วย”

“วิชาทำนา” พวกเราอุทานแทบจะพร้อมกัน “ถึงกับต้องเรียนกันเลยเหรอทำนา” พวกเราบางคนหัวเราะ พ่อแม่ชาวนาของพวกเราต่างคิดว่าการส่งลูกมาเรียนหนังสือก็เพื่อให้ลูกไม่ต้องไปตากแดดตากฝนลุยโคลนทำงานที่เหนื่อยยากอย่างนั้น แต่ประเทศของโนริโกะกลับให้เด็กๆ ออกจากห้องเรียนไปลำบากลำบนลุยโคลนสกปรกเสียนี่

เย็นวันนั้น พวกเราขออนุญาตครูที่ดูแลโนริโกะพาเธอออกไปเที่ยวดูทุ่งนาใกล้ๆ โรงเรียนอย่างใกล้ชิด รวมถึงวัว ควายและอื่นๆ ที่เธอสนใจ โนริโกะดูร่าเริงมาก สูดอากาศเข้าปอดแล้วเดินดูโน่นดูนี่อย่างตื่นเต้น เธอหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นไข่หอยเชอรี่สีชมพูพวงใหญ่และปูนาเดินข้ามคันนา พวกเราก็พลอยหัวเราะไปด้วยและดีใจที่เรื่องง่ายๆ ธรรมดาอย่างนี้ โนริโกะก็ยังเห็นว่าสวยงามและทำให้เธอมีความสุขได้

เรื่องราวของพวกเรากับโนริโกะคงจะราบรื่นน่ารักเป็นนิทานก่อนนอนอย่างนั้นแหละ ถ้าเหตุการณ์หนึ่งจะไม่เกิดคั่นกลางระหว่างนั้น

เรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่งหัวหน้าห้องไม่ว่างก็เลยฝากฉันกับโนริโกะที่กำลังจะเดินไปห้องน้ำ ให้ถือสมุดรายชื่อนักเรียนไปส่งที่ห้องปกครองเพราะอาจารย์ปกครองจะรีบใช้ ฉันปวดฉี่มาก โนริโกะเลยอาสาไปคนเดียว โดยฉันสัญญาว่าจะรีบตามไปสมทบทีหลัง

แต่เมื่อฉันออกมาจากห้องน้ำ ก็ได้พบภาพที่ไม่คิดว่าจะเห็นมาก่อน คือโนริโกะกำลังยืนตัวสั่น หน้าแดงก่ำทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ในมือกำหวายเส้นใหญ่ไว้แน่น ท่าทางอันตราย เหมือนเธอกำลังโกรธใครบางคนเอามากๆ

ฉันรีบวิ่งเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นครูปกครองกับเด็กนักเรียนชายชั้น ม.ปลายคนหนึ่งยืนทำหน้างงๆ อยู่ขณะที่โนริโกะตะโกนใส่ครูว่า “ยู ค๊านท์ ดู แดท ไอ วิล คอล โปลิส”

ว่าแล้วเธอก็วิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น พร้อมหวายในมือ

เช้าวันต่อมาก็รู้กันทั้งโรงเรียนว่าโนริโกะเข้าไปพบตอนที่ครูปกครองกำลังลงโทษนักเรียนชายที่แอบสูบบุหรี่ด้วยการเฆี่ยนสามทีตามระเบียบของโรงเรียน (เลือกได้ระหว่างเฆี่ยนกับทัณฑ์บน) เธอยอมรับการลงโทษป่าเถื่อนแบบนั้นไม่ได้ จึงรีบแย่งหวายในมือครูปกครองมาได้ทันก่อนจะฟาดลงบนหลังของนายจอมเกเรเป็นครั้งที่สาม

โนริโกะพยายามติดต่อครูและพ่อแม่ที่ญี่ปุ่นเพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เอาผิดกับครูที่ทารุณเด็ก แต่ในที่สุดแล้วเรื่องราวก็ค่อยๆ สงบลงเมื่อผู้ใหญ่ได้ทำความเข้าใจกัน แต่โนริโกะกลับไม่ยอมเข้าใจ และยังคงยอมรับไม่ได้เธอยืนยันว่าจะไม่กลับมาเรียนที่นี่อีก

ในที่สุด คนที่แก้ปัญหานี้ได้กลับเป็นคนที่เรานึกไม่ถึง นายตัวแสบประจำโรงเรียน ผู้ที่ยังค้างการถูกเฆี่ยนอีกหนึ่งครั้งไว้นั่นเอง!

แม้จะเป็นจอมเกเร แต่แท้จริงแล้วก็มีคุณธรรมอยู่มาก เมื่อรู้ว่าครูปกครองกำลังเดือดร้อนใจเพราะการลงโทษตน เขาจึงชวนพวกฉันไปหาโนริโกะที่บ้านพัก

“ฉันถูกตีบ่อยจนแทบไม่รู้สึกอะไรแล้วละ พ่อกับแม่ฉันตีหนักกว่านี้อีก ฉันยังไม่เป็นไรเลย”

เขาพูดพลางยิ้มขณะที่ล่ามแปลให้โนริโกะฟังคร่าวๆ

โนริโกะหน้าเสีย “น่าสงสารจังเลย พ่อแม่ก็ตีเหรอ”

“อื้ม ฉันมันเกเร ถึงเขาตียังไงฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก เรื่องบุหรี่นี่ก็รอบที่ร้อยแล้วมั้ง ว่าแต่ที่โรงเรียนเธอที่ญี่ปุ่นเขาไม่มีตีนักเรียนกันบ้างหรือไง”

“ไม่มีหรอก ครูทำร้ายร่างกายนักเรียนมีความผิดมาก เขาลงโทษด้วยวิธีอื่น ให้ทำงานเพิ่ม อะไรอย่างงั้นมากกว่า”

“ถ้าเป็นฉันฉันก็ไม่ทำหรอก ขี้เกียจจะตาย ยอมให้โดนตีง่ายกว่าอีกเจ็บแป๊บเดียว”

โนริโกะหัวเราะออกมาจนได้ ตอนนี้เธอดูผ่อนคลายลงเยอะ “เธอนี่แปลกจริงๆ เลยนะ”

“เธอแหละแปลก แค่เห็นครูตีฉันก็ต้องเดือดร้อนแทนขนาดนั้น ถามจริง คิดอะไรกับฉันหรือเปล่า” นายตัวแสบยักคิ้วแผล็บๆ ทำท่าทางทะลึ่ง

คราวนี้โนริโกะหัวเราะลั่น “ร้ายอย่างนี้น่าจะปล่อยให้ครูตีนายอีกสักห้าสิบที”

ตั้งแต่นั้นมาแก๊งของเราก็ได้นายตัวแสบนี่เพิ่มเข้ามาอีกคน แม้จะไม่ได้คอยเดินตามประกบเหมือนพวกเราที่เรียนห้องเดียวกัน แต่ก็คอยหาโอกาสมาพบ พูดคุย เจ้านั่นยังชวนโนริโกะลงแข่งกีฬาโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย

“โนรีลงแข่งเถอะ เดี๋ยวถ้าดูจะสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ฉันจะเอายาถ่ายแอบไปใส่กระติกน้ำพวกมันเอง” นายตัวดีทำหน้าเหมือนตัวร้ายในหนังสือการ์ตูน

“ไม่ได้นะ” โนริโกะร้องลั่น “ทำอย่างนั้นก็ไม่ภูมิใจในชัยชนะหรอก ชนะด้วยฝีมือดีกว่า”

“แหม ฉันก็พูดเล่นหรอกน่า” เจ้าจอมทะเล้นหัวเราะ

โนริโกะลงแข่งถึงห้าประเภทกีฬา และได้เหรียญทองมาห้าเหรียญ กลายเป็นฮีโร่ขวัญใจน้องๆ ที่อยู่สีเดียวกัน ครูบ่นเสียดาย อยากให้โนริโกะอยู่ต่อไปนานๆ เพราะจะได้ส่งไปแข่งกีฬาจังหวัดในปีหน้าด้วย

 

วันสุดท้ายที่โนริโกะจะได้อยู่กับพวกเราคือวันฉลองปีใหม่ของโรงเรียนพอดี ที่จริงพวกเรารู้ล่วงหน้ากันมาตั้งแต่ตอนมาอยู่ใหม่ๆ แต่ลืมไปเสียสนิทเพราะไม่มีใครเคยพูดถึงมันอีก และวันนั้นพวกเรารวมทั้งโนริโกะก็วุ่นวายกันกับกิจกรรมและเกมสุดเหวี่ยง พวกบรรดาเกมที่ต้องใช้ทักษะกีฬา โนริโกะเข้าไปร่วมแข่งจนโกยรางวัล (ส่วนใหญ่เป็นขนม) มาเพียบจนกินกันไม่ไหว ต้องแจกจ่ายให้พวกรุ่นน้องๆ ไปมาก เราเล่น ตะโกน ร้องเพลง หัวเราะกันจนแสบคอ เหงื่อชุ่มทั้งที่อากาศหนาว โนริโกะแก้มแดงเปล่งปลั่ง ดูน่ารักสดใสกว่าทุกวัน ผมฟูของเธอกระจุยกระจายยุ่งเหยิงหน้าตามอมแมมไปด้วยแป้ง สีและน้ำหวานจากเกมกินวิบากเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

ตอนนั้นเรากำลังแย่งกันจิ้มลูกชิ้นในจานกินอย่างสนุก ฉันกำลังคว้าข้อมือโนริโกะที่มีไม้จิ้มลูกชิ้นและลูกชิ้นติดอยู่จะเอาเข้าปากตัวเองพลางหัวเราะ โนริโกะก็ขำไปแย่งไป เพื่อนคนอื่นเชียร์กันลั่น ตอนนั้นเอง ตอนนั้นที่เสียงประกาศจากเวทีดังขึ้น

“เนื่องในวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของเราจะได้อยู่ร่วมกับเราที่นี่ เธอต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้ เพื่อเตรียมกลับญี่ปุ่นในอาทิตย์หน้า ขอให้เพื่อนๆ น้องๆ และตัวแทนโรงเรียนทุกคน ขึ้นมามอบของที่ระลึกและอวยพรโนริโกะ หรือพี่โนรีของพวกเรากันเถอะค่ะ ขอเชิญโนริโกะขึ้นมาที่เวทีด้วยจ้ะ”

มือที่กำลังแย่งไม้ลูกชิ้นถือค้าง โนริโกะก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน เธอขึ้นไปยืนบนเวที ท่าทางงงๆ ในขณะที่ป้ายผ้าประดับประดาด้วยกระดาษสีต่างๆ เป็นรูปนกโนรีสวยงามกางออกที่ฉากด้านหลัง พร้อมภาษาญี่ปุ่นที่ยัยล่ามประจำกลุ่มแปลให้ฟังว่า “ลาก่อน”

โนรีหันไปมองแล้วหัวเราะออกมาจนหน้าแดง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่ครูหลายคนเข้ามาขอกอดและรุ่นน้องทยอยเข้ามามอบของที่ระลึกจำพวกการ์ดอวยพรและขนมน่ารักๆ เธอเองก็คงเพลิดเพลินจนลืมไปเช่นเดียวกับพวกเรา เนื่องจากกำหนดกลับของเธอจริงๆ แล้วต้องอีกห้าวันข้างหน้า แต่โรงเรียนเราจะเริ่มหยุดปีใหม่พรุ่งนี้แล้วและยาวไปอีกห้าวัน เราลืมเรื่องนี้กันไปสนิทเลย

หลังงานเลิก โนริโกะกระซิบให้พวกเราฟังว่าที่ป้าย “ลาก่อน” ภาษาญี่ปุ่นนั้นมีตัวอักษรเขียนกลับหัวอยู่ตัวหนึ่ง พวกเราเลยฮากันครืน แต่แล้วก็กลับเงียบลงอีก ขณะที่พวกเรากำลังยืนเก้ๆ กังๆ พยายามนึกคำลาสวยหรูที่นึกยังไงก็นึกไม่ออกก็พอดีนายตัวแสบเดินเข้ามาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ในมือหิ้วอะไรบางอย่างคลุมผ้าสีขาว ดูคล้ายจะเป็นกรง มาถึงก็ยื่นให้โนริโกะ

“ของขวัญ ซาโยนาระ” เจ้านั่นหน้าแดง เหงื่อแตก

เมื่อเปิดผ้าคลุมออกก็พบนกสีแดงสดสวยตัวหนึ่งเกาะคอนท่าทางตื่นๆ อยู่ในนั้น

“โอ้โฮ สวยจังเลย เอามาจากไหนเนี่ย”

นายตัวแสบยืนนิ่ง

“อย่าบอกนะว่าขโมยมา”

“แหะ” เจ้านั่นหัวเราะยิ้มแหย

“เอาไปคืนเขาเลยนะ เดี๋ยวโนรีก็เดือดร้อนหรอก”

นายนั่นหน้าจ๋อยลงไปทันที

โนรีก้มลงนั่งมองหน้าเจ้านกสีสวย ยิ้มหวาน น้ำตาคลอ “ขอบคุณมากนะ สวยน่ารักมากๆ เลย แค่นี้ฉันก็ดีใจมากแล้วละ”

นกโนรีในกรงสวยหรูได้กลับบ้านเดิมของมัน ในขณะเดียวกับที่โนริโกะขึ้นรถเก๋งคันสวยของพ่อแม่อุปถัมถ์ เธอเปิดหน้าต่างออกมา รอให้พวกเราพูดอะไรบางอย่าง

“แล้วกลับมาอีกนะโนรี” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น แล้วทุกคนก็เริ่มร้องไห้

โนริโกะพยักหน้าถี่ๆ น้ำตาร่วงเผาะๆ “ฉันจะกลับมาอีกนะ”

พอรถเริ่มออกตัวไป ใครคนหนึ่งในกลุ่มก็ปล่อยโฮออกมาทำเอาร้องไห้ตามๆ กันระงม รุ่นน้องที่มายืนรอส่งอีกจำนวนมากที่ร้องไห้ฟึดฟัดอยู่แต่แรกก็พลอยโฮออกมาด้วย

 

ตอนที่โนริโกะพูดว่า ”ฉันจะกลับมาอีกนะ” เราต่างก็หวังว่าโนริโกะอาจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยแล้วแวะมาเยี่ยมพวกเราบ้าง สักวันหนึ่งเราอาจจะได้พบกันและมีความสุขร่วมกันอีกสักครั้ง

แต่… ใครจะไปนึกว่ามันจะเร็วขนาดนั้น!

หลังวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ พวกเราเดินหน้าเมื่อยมาโรงเรียน ต่างคนต่างไม่พูดถึงโนริโกะเพราะกลัวจะร้องไห้ออกมาอีก โต๊ะเรียนที่โนริโกะนั่งถูกปล่อยว่างไว้ไม่มีใครกล้าแตะต้องเหมือนอยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เราระลึกถึงโนริโกะอย่างเหงาสุดหัวใจได้แค่คาบแรกคาบเดียว ร่างโย่งๆ ผมหยิกฟูรวบสูงในชุดนักเรียนก็เดินถือกระเป๋าท่อมๆ กลับเข้ามานั่งที่โต๊ะตัวเดิมหน้าตาเฉย

“โนรี!!!!” ฉันอุทานดังลั่น

“จ๋า แหะๆ” โนริโกะหัวเราะหน้าทะเล้น ท่ามกลางเสียงฮือฮาของเพื่อนในห้องที่ร้องถามกันระงม

“โนริโกะทำกิจกรรมมากไปหน่อย เลยลืมเขียนรายงานส่งโครงการ ต้องสัมภาษณ์คนและถ่ายรูปประกอบด้วย ทางโครงการเลยให้อยู่ต่ออีกหนึ่งเดือนเพื่อทำรายงานให้เสร็จน่ะจ้ะ” ครูประจำชั้นพูดยิ้มๆ ที่หน้าห้องเรียน

“เอ๋า แล้วไอ้เราก็อุตส่าห์ร้องไห้ไปตั้งเยอะ” นภัสสรล่ามเจ้าเก่าร้องอุทรณ์ขึ้นเสียดัง

พวกเราหัวเราะกันครืน และไม่เป็นอันเรียนไปตลอดช่วงเช้า โนริโกะ ที่กลายเป็น โนรี ตอนนี้เลยมีชื่อใหม่ว่า โนรีโก๊ะ ตามเหตุแห่งพฤติกรรมของเธอ

แล้วพวกเราก็เลยมีเวลาเตรียมป้าย “ลาก่อน” เป็นภาษาญี่ปุ่นให้โนริโกะกันใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้คงไม่มีตัวไหนกลับหัวแล้วละ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่