♥ แผ่นหลังของความรัก ♥
………………

หลังจากเหตุการณ์กัมมันตภาพรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้าริมทะเล และมีประกาศฉุกเฉินให้ทุกคนอพยพออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุดก่อนที่ปริมาณรังสีจะเพิ่มความเข้มข้นจนถึงระดับที่อันตรายถึงชีวิต บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาล สนามเด็กเล่น กลายเป็นที่รกร้าง เงียบสงัด ไร้เสียงแห่งความสุขและชีวิตชีวาเหมือนที่เคยเป็น แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าหงิกงอก็พลอยซึมเซาหม่นหมอง ท้องถนนว่างเปล่าสีเทาดูเหมือนจะทอดยาวออกไปจนสุดขอบโลกเวิ้งว้าง

หลายชีวิตรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้าทยอยตายลงเรื่อยๆ จากพิษรังสี หมา แมว ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ปศุสัตว์อดอาหารและน้ำตายลงทีละตัว หมูในฟาร์มหิวจนถึงขนาดกัดกันจนตายและกินเนื้อกันเอง

คุโระโกะ ฮารุ และริกิ ต่างก็เป็นลูกที่ถูกทอดทิ้ง แต่ไม่ละทิ้งความพยายามที่จะมีชีวิตและมีความหวังอยู่ต่อเพื่อรอให้พ่อแม่กลับมารับ

พวกเธอเปิดโทรทัศน์ด้วยรีโมทคอนโทรลในเวลาเดิมๆ ทุกวัน เป็นช่วงเวลาที่มีรายการข่าวเช้าและข่าวค่ำ รอดูว่าเมื่อไหร่ทางการจะประกาศยกเลิกคำสั่งอพยพ ทุกคนจะได้กลับมาที่บ้านได้เสียที แต่ดูเหมือนสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ เมื่อความเข้มข้นของกัมมันตรังสีมีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นและดูจะกระจายวงกว้างออกไปอีก

“คิดอะไรได้บ้างหรือยัง คุโระโกะ” คำถามของริกิดังขึ้นในหัวของนางแมวขนดำเงาวับ พวกเธอไม่รู้ว่าความสามารถเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และไม่แน่ชัดว่าเริ่มตอนไหน แต่ตอนนี้พวกเธอใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

“ได้บ้าง…แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าท่านักหรอก” คุโระโกะตอบด้วยวิธีเดียวกัน

ก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เสียหายรุนแรงจนต้องปิดเมืองเช่นนี้ คุโระโกะ ฮารุ และริกิก็เคยมีชีวิตเปี่ยมสุขอย่างที่สัตว์เลี้ยงพึงจะมี คือมีบ้านที่อบอุ่น อาหารอร่อยสะอาดทุกมื้อกับพ่อ แม่ ที่รักและดูแลเอาใจใส่

คุโระโกะแมวดำและฮารุแมวขาวมีแต้มดำที่หัว เป็นแมวพี่น้องกัน พ่อและแม่รับพวกเธอมาอยู่ด้วยตั้งแต่อายุได้สองเดือนที่บ้านโยชิดะ พ่อกับแม่เป็นคู่สามีภรรยาที่มีลูกยาก แต่เมื่อรับฮารุและคุโระโกะมาอยู่ด้วย แม่ก็เริ่มตั้งท้องทันที ทำให้ทุกคนดีใจกันมาก

หลังจากคลอดยูสึเกะ แม่อุ้มน้องกลับมาที่บ้าน บอกคุโระโกะกับฮารุว่า ให้ช่วยกันดูแลน้อง ซึ่งเธอทั้งสองก็ช่วยพ่อแม่ดูแลยูสึเกะตามกำลังที่แมวจะทำได้ คือชวนน้องเล่น โบกหางเล็กๆ ไปมาเพื่อให้น้องหัวเราะ ทำท่าทางตลกๆ เพื่อให้น้องหยุดร้องไห้เวลาโยเย

พวกมันและยูสึเกะเป็นลูกบ้านโยชิดะอยู่ได้สี่ปี เช้าวันนั้นก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น ยูสึเกะเล่นโยนลูกบอลผ้าสีน้ำเงินเล็กๆ ที่แม่ทำให้ ให้ฮารุไปคาบกลับมาคืน ฮารุเองก็สนุกมาก วิ่งกลับไปกลับมารอบแล้วรอบเล่า คุโระโกะที่ชอบวางตัวเป็นผู้ใหญ่คอยดูแลเด็กๆ ก็ยังสนุกสนานไปด้วย

วันแห่งความวุ่นวายนั้น ทางการออกประกาศและมีรถมารับทุกคนที่หน้าบ้าน  พ่อกับแม่คว้าได้เพียงเอกสารสำคัญและอุ้มยูสึเกะขึ้นไปบนรถ เมื่อจะลงมารับแมวทั้งสองอีกครั้งก็ไม่ทันเสียแล้ว รถเคลื่อนตัวออกไปเสียก่อน

ส่วนริกิอยู่ถัดไปอีกสองหลัง เธอเป็นสุนัขพันธุ์ชิบะที่พ่อกับแม่ซื้อมาจากร้านขายสัตว์เลี้ยงตั้งแต่อายุได้สามเดือน เธอเป็นสมาชิกของบ้านไซโตะ พ่อกับแม่ของริกิไม่มีลูก จึงรักและดูแลริกิเสมือนลูก สองสามีภรรยามักอุ้มและลูบขนริกิอย่างอ่อนโยน พูดกับมันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนพูดกับเด็ก ในวันเกิดเหตุ พ่อกับแม่มีธุระที่ต่างจังหวัด และอยู่ที่นั่นจนกระทั่งมีประกาศห้ามเข้าพื้นที่อันตราย พ่อแม่จึงไม่อาจกลับมาที่บ้านเพื่อมารับริกิออกไปด้วยได้

หลังจากนั้นเมื่อความหวาดกลัวและวิตกกังวลที่ถูกทิ้งเริ่มทุเลาลงบ้าง สัตว์ทั้งสามต่างเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเองอย่างช้าๆ ใครจะไปรู้ว่ากัมมันตภาพรังสีนั่นจะทำอะไรได้บ้าง พวกมันสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างแจ่มชัดขึ้นหลายร้อยเท่า การควบคุมกล้ามเนื้อทรงตัวทำได้ดีขึ้น ดูเหมือนว่ากัมมันตภาพรังสีได้เข้าไปมีผลต่อการทำงานของสมองส่วนหนึ่งของพวกมันจนสามารถเร่งประสิทธิภาพการทำงานสมองได้หลายร้อยเท่าภายในเวลาเพียงไม่นาน

ผ่านไปเดือนแรกพวกมันเริ่มเรียนรู้ที่จะยืนด้วยขาหลังทั้งสองข้างและควบคุมการใช้กล้ามเนื้อแขนจนสามารถบิดลูกบิดประตูเองได้ สามารถเข้าใจภาษาพูดของมนุษย์จากเสียงโทรทัศน์ วิทยุ  หาอาหารที่มีในบ้านและละแวกบ้านกินเองได้โดยอาศัยเข้า-ออกทางประตูหมา

เดือนที่สองพวกมันสามารถเข้าใจกันได้โดยการสื่อโทรจิต ทั้งแมวสาวทั้งสองและเจ้าหมาชิบะ ทั้งสามตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ริกิเดินออกจากบ้านเข้ามาอยู่รวมกับนางแมวทั้งสองที่บ้านโยชิดะ พวกมันเริ่มเข้าใจภาษาเขียนของมนุษย์ด้วยการกวาดตาอ่านหนังสือพิมพ์ประกอบภาพข่าว และเข้าใจการสะกดคำ

ในเดือนที่สามพวกมันเรียนรู้ที่จะใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในบ้าน รวมทั้งหาอาหารในห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ หรือแหล่งอื่นๆ กินเองได้อย่างง่ายดาย เพียงเรียกดูความทรงจำที่เคยเห็นมนุษย์ใช้ ทั้งดูทีวี ใช้คอมพิวเตอร์ เปิดเครื่องปั่นไฟ จนไปถึงใช้เครื่องเปิดอาหารกระป๋อง

แต่ถึงพวกมันจะใช้ชีวิตได้ง่ายและสะดวกสบายเพียงใด พื้นที่ว่างในหัวใจกลับไม่ได้ลดลงเลย พวกมันยังคงโหยหาและไม่เคยนอนหลับเต็มตาแม้แต่คืนเดียว

 

เมืองริมทะเลที่เคยงดงามน่าประทับใจกลายเป็นเมืองรกร้าง นางสุนัขเพศเมียเดินสำรวจรอบๆ บริเวณละแวกบ้านและใกล้เคียง พบสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังค่อยๆ ตายลงเป็นจำนวนมาก ริกิได้แต่มองด้วยความเวทนา นางสุนัขเลือกที่จะเดินเลี่ยงหน้าบ้านของตนเองเพราะไม่กล้ามองสิ่งของและสถานที่ที่เคยผูกพัน แต่ยิ่งนานวันความรักอาลัยในเจ้านายทั้งสองก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ทุกค่ำคืนริกิอดไม่ได้ที่จะออกไปยืนทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าแล้วหอนออกมาด้วยความเศร้าใจ

“บางทีฉันคิดนะคุโระโกะ” ริกิว่า “บางทีคงเพราะฉันเป็นหมา ถึงวันนึงอาจจะเฉลียวฉลาดได้เท่ามนุษย์หรือเกินกว่า แต่หัวใจของฉันก็ยังเป็นหมา บางทีถ้าฉันรักพ่อกับแม่ได้แบบเดียวกับที่คนรักคน ฉันอาจจะลืมพวกเขาเสียได้ถ้ามีความจำเป็นมากพอ แต่นี่มันผิดตรงที่ใจฉันยังเป็นหมานี่แหละ”

ฮารุ เจ้าแมวแต้มพยักหน้าช้าๆ “นั่นสินะ ใจของพวกเรายังคงเป็นสัตว์อยู่วันยังค่ำ ไม่อาจเข้มแข็งเท่ากับใจของมนุษย์ได้เลย ดูเถอะขนาดกัมมันตภาพรังสียังเปลี่ยนเราไม่ได้”

คุโระโกะกลับเห็นต่างไป “ฉันกลับคิดว่า ยิ่งเราฉลาดขึ้นจะยิ่งเป็นผลดี ฉันเคยได้ยินมนุษย์พูดกันว่า ความรักที่แท้จริงต้องรู้จักเสียสละเพื่อคนที่เรารัก หากอะไรดีกับเขา เราก็ควรยินดีด้วย”

“ก็นั่นไงล่ะที่พวกฉันพูดถึงอยู่” แมวแต้มว่า “เพราะเราเป็นสัตว์ ความรักของเราถึงได้คับแคบ เห็นแก่ตัว ไม่อาจทำใจกว้างได้ขนาดนั้น”

ริกิลุกขึ้นบิดขี้เกียจก้นโด่ง แล้วยืนทรงตัวบนขาหลังทั้งสองข้าง ค่อยๆ ปีนขึ้นบนเก้าอี้ เพื่อหาอาหารที่ยังเหลือในตู้เก็บของชั้นบน “ใครจะเอาบะหมี่ซองบ้าง ว่าแต่ คุโระโกะ ที่ว่าคิดออกบ้างแล้วน่ะ เธอคิดอะไรได้เหรอ”

นางแมวดำไม่ได้ตอบทันทีแต่เดินไปยังคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ ใช้ขาหน้าเกี่ยวหน้าจอหันให้เพื่อนๆ เห็น “นี่ไงไอเดียที่ว่า ฉันทำแล้วละ”

“ภาพคลิปวิดีโอจากกล้องที่มอนิเตอร์นี่ละ” เธอว่า

ในจอปรากฏภาพกระทู้ในเว็บไซต์ชื่อดังเกี่ยวกับการที่ใครคนหนึ่งแอบเข้ามาในเขตอพยพ เพื่อนำอาหารและน้ำมาให้สัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และได้พบแมวสองตัวกับสุนัขหนึ่งตัว ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งด้วยสภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกอย่าง และไม่ยอมออกไปไหน ราวกับว่าพวกมันกำลังเฝ้ารอให้เจ้าของมารับกลับไปอยู่ด้วย

“ฉันตัดช่วงที่เธอยกมือโบกให้กล้องกับส่งจูบออกไปนะฮารุ มันไม่เหมือนแมว” คุโระโกะว่าพลางหัวเราะ ตอนนั้นเพื่อนๆ คงนึกว่าเธอแค่ถ่ายวิดีโอเล่นๆ

ริกิและฮารุจ้องมองหน้าจอด้วยความตื่นเต้น “โอ้โห สุดยอดเลยคุโระโกะ เธอนี่อัจฉริยะจริง น่าตื่นเต้นดีชะมัดเลยนะเวลาที่คิดว่าพวกเราจะฉลาดกันมากกว่านี้ไปได้ขนาดไหน”

 

หลังจากนั้นเพียงห้าวัน ก็มีเจ้าหน้าที่ของทางการและนักข่าวเดินทางเข้ามาในพื้นที่พร้อมอุปกรณ์ป้องกันรังสีเต็มรูปแบบ คุโระโกะ ริกิ และฮารุหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดความหวังของพวกเขาก็มีเค้าลางจะเป็นจริงแล้ว

เจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นพาตัวทั้งสามไปอยู่ที่สถานกักกันสัตว์ที่อพยพจากเขตอันตราย ฮานะใช้ขาหน้าทั้งสองข้างกอดลูกบอลผ้าที่แม่ทำให้เอาไว้แน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทั้งสามต้องแยกกันอยู่ในกรงเดี่ยว แต่โชคยังดีที่ยังสื่อสารกันผ่านโทรจิตได้เช่นเดิม

“อย่าลืมนะพวกเราต้องทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีและดูแข็งแรง อย่าแสดงออกว่าเราเปลี่ยนไปยังไง อย่าทำให้พวกเขากลัว” นางแมวดำย้ำเพื่อนทั้งสองทางโทรจิตอีกครั้ง

“เข้าใจแล้วน่า” ฮารุและริกิรับคำเกือบจะพร้อมกัน

 

“คุณโยชิดะสินะคะ” เจ้าหน้าที่หญิงเอ่ยถามขึ้น

“อ่อ ครับ ใช่ครับ คือ …อย่างที่พูดไว้ทางโทรศัพท์ ผมจะมารับคุโรโกะกับฮารุกลับไปอยู่กับเรา และก็ถ้าเจ้าของริกิยังไม่ติดต่อมา ผมก็จะขอรับไปดูแลชั่วคราวให้ด้วย แล้วพยายามตามหาและติดต่อเขาให้จงได้ เราเคยอยู่บ้านใกล้ๆ กันน่ะครับ”

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เชิญพ่อให้นั่งที่โต๊ะด้านหน้ากรง “ยังมีบางเรื่องที่เราเพิ่งตรวจพบ และไม่ทันได้แจ้งคุณโยชิดะก่อนที่จะมา ต้องขอโทษด้วยนะคะ คือ เราเกรงว่าคุณจะรับแมวกลับไปเลี้ยงอย่างปกติเหมือนบ้านทั่วไปไม่ได้ เพราะในร่างกายของแมวทั้งสองมีการปนเปื้อนกัมมันตรังสีในปริมาณที่สูงมาก

พ่อชะงักและนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่

“คุณยังมีเวลาตัดสินใจนะคะ ถ้าจะยังยืนยันที่จะรับตัวพวกมันกลับไป ครอบครัวของคุณก็จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของหน่วยงานควบคุมกัมมันตภาพรังสี อย่างน้อยก็จนกว่าปริมาณสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนในตัวของพวกมันจะลดลงอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย และไม่มีพฤติกรรมอื่นที่อาจเป็นภัยต่อมนุษย์ ซึ่งก็รับประกันไม่ได้ว่าจะอีกยาวนานแค่ไหน หรือจะมีวันนั้นหรือไม่”

พ่อมองหน้าฮารุและคุโระโกะนิ่งนานหลังประโยคนั้น คุโระโกะเองก็นิ่งไปเช่นกัน เธอรู้สึกถึงความสับสนที่ส่งผ่านมาทางดวงตาของพ่อ เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงลางร้าย หัวใจเธอเต้นไม่เป็นส่ำ เธอสบตาพ่อนิ่ง พูดกับเขาผ่านดวงตานั้นว่าพ่อจ๋า มาอุ้มเรากลับไปด้วยเถิด ที่เราอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะความหวังที่จะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกเท่านั้น

ฮารุกระวนกระวาย ร้องเรียกพ่อด้วยเสียงลูกแมวน้อย พยายามเขี่ยบอลผ้าสีน้ำเงินหม่นหมองของยูสึเกะออกมาจากซอกกรงด้วยปลายเล็บ แต่มันติดแน่น เธอแน่ใจว่าถ้าพ่อเห็นสิ่งนี้ พ่อต้องใจอ่อนแน่ๆ ฮารุยืดแขนแล้วดึงสุดกำลังจนขาสั่น แต่ก็ไม่เป็นผล

“ขอโทษนะ ฮารุ คุโระโกะ” ดูเหมือนพ่อจะลำบากใจอย่างมากที่ต้องทำเช่นนี้ แต่ในที่สุดก็ค่อยๆ หันหลัง แล้วผลักประตูกระจกเดินออกไป

ฮารุหันมองแผ่นหลังที่เธอรักด้วยชีวิต แผ่นหลังกว้างในเสื้อโค้ทสีเขียวที่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ เธอเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่พ่อรีบร้อนจากไปครั้งแรก เพราะครั้งนี้เธอตระหนักดีแล้วว่า เธอจะไม่มีวันได้พบพ่ออีก

ฮารุตะโกนร้องเรียกพ่อสุดเสียงเป็นครั้งสุดท้าย แต่เสียงที่ลอดผ่านลำคอกลับเป็นเพียงเสียงร้องครางโหยหวนของแมวใจสลายตัวหนึ่ง เธอพยายามเรียกเขาทางโทรจิต แต่มนุษย์ไม่อาจสื่อสารด้วยวิธีนี้ได้

“พอเถอะ ฮารุ” เสียงคุโระโกะดังขึ้นในหัวของฮารุ น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อยราวกับผู้พูดกำลังร้องไห้ “ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว พวกเขาไม่ต้องการเราอีกต่อไปแล้ว เลิกหลอกตัวเองกันเสียที ทุกอย่างจบลงตรงนี้แล้ว”

ริกิหอนโหยหวนลำคอตั้งชัน เธอเองก็หัวใจสลายเช่นเดียวกับเพื่อนทั้งสอง ริกิแน่ใจแล้วว่า ด้วยเหตุผลที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่ พ่อกับแม่ของเธอก็คงไม่กลับมารับเธอแล้วเช่นกัน

เช้าวันต่อมาเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ตกค้างฟุกุชิมะก็ต้องตกตะลึงและเศร้าสลดใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อพบว่าสุนัขชิบะหนึ่งตัวและแมวดำกับแมวแต้มที่ช่วยมาจากบ้านหลังเดียวกัน ห้อยคอแขวนอยู่กับบานพับตู้ล็อกเกอร์เสียชีวิตอย่างน่าเวทนา

“เป็นไปได้ยังไง เมื่อคืนใครเฝ้าที่นี่”

หญิงสาวคนหนึ่งปากสั่น ดวงตาแดงก่ำชุ่มไปด้วยน้ำตา“ฉันเองค่ะ ฉันหลับไปจนเช้า ไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติเลย”

“โธ่เอ๋ย น่าเวทนาจริงๆ ใครหนอทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้” ใครคนหนึ่งรำพึง ขณะยกซากสัตว์ทั้งสามตัวขึ้นบรรจุในซองปลอดเชื้อเพื่อจะนำไปเผาทำลายเช่นเดียวกับซากสัตว์ตัวอื่นๆ ที่ทยอยตายอย่างน่าเวทนาไปก่อนหน้านี้.

………………………………………..

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่