เป็กกี้ ศรีธัญญา ยิ้มสร้างชีวิต

-

“เป็กเป็นนักร้องสายเอ็นเตอร์เทนที่รับงานพิธีกรได้ รับงานพูดสร้างแรงบันดาลใจได้ เป็นนักข่าวสายบันเทิงได้ เป็นนักแสดงละครและภาพยนตร์ได้ และเป็นนักออกกำลังกายที่มีซิกซ์แพค”

เมื่อเราขอให้ เป็กกี้ ศรีธัญญา นิยามสิ่งที่เธอเป็น ก็ต้องทึ่งกับคำตอบทั้งหมดของเธอ จนเรารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ผู้หญิงเก่งคนนี้ทำไม่ได้

เมื่อเอ่ยถึงเป็กกี้ ภาพของนักร้องที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผู้ชมผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน ทว่าเบื้องหลังเสียงเพลง เบื้องหลังความเอ็นเตอร์เทน เบื้องหลังมุกตลกแพรวพราว ได้ผ่านการเคี่ยวกรำด้วยบททดสอบที่สอนให้รู้จักรสชาติความทุกข์และความเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม ความโหดร้ายของชีวิตก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งและกลืนกินผู้หญิงเก่งคนนี้ได้ เราเชื่อว่าประสบการณ์และวิธีคิดที่น่าสนใจของเป็กกี้จะสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจให้ใครหลายคนได้ลุกขึ้นยิ้มสู้ชีวิตกันอีกสักตั้ง

1.สัมผัสความทุกข์

เป็กกี้บอกเล่าเรื่องราวในวัยเด็กให้เราได้รู้ว่า ในวัยเด็กเธอพบว่าพ่อของเธอไม่ใช่พ่อแท้ๆ เธอเป็นเพียงลูกติดจากแม่ ในวัยที่ยังไม่เดียงสา ยังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกผิดหวังและสะเทือนใจ เธอจึงใช้วิธีปิดกั้นตัวเอง จมอยู่กับความเจ็บปวด และมองตัวเองเป็นส่วนเกินของครอบครัว เป็กกี้ปล่อยให้ความเศร้าหมองนี้กัดกินหัวใจนานนับสิบปี พรากความสดใสของวัยเด็กไป ในขณะที่ความทุกข์ตรมยังไม่ทันคลี่คลาย ความทุกข์ใหม่ก็ถาโถมเข้ามา เมื่อคุณแม่ผู้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจของเธอเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ นั่นคือช่วงเวลาที่เธอระทมทุกข์ที่สุดในชีวิต

“ช่วงที่คุณแม่เสียคือช่วงทุกข์สุดๆ หมดสิ้นหนทางทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนั้นเราโทษพ่อเลี้ยงด้วยว่าดูแลแม่ไม่ดี แม่เลยต้องเดินทางไปทำงานไกลจนเสียชีวิต จริงๆ ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เราคิดไม่ดีกับเขาอยู่แล้ว จิตเราขุ่นมัวและคิดลบเลยโทษว่าเขาคือสาเหตุ ตอนนั้นรู้สึกไม่เหลือใคร ตัดขาดพ่อเลี้ยงแล้วหนีออกมา ทิ้งทุกอย่างมาอยู่บ้านเพื่อน เป็นช่วงเวลาที่ได้ลิ้มรสความจนอย่างสุดๆ สิ้นไร้ไม้ตอกเป็นยังไงก็ได้สัมผัส จมดิ่งในห้วงทุกข์

“ถามว่าได้ปรึกษาใครไหม เราไม่ได้ปรึกษาใคร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องปรึกษา จริงๆ หากปรึกษาใครสักคนที่ให้คำแนะนำเราได้ตั้งแต่แรก เขาคงช่วยหาทางออกที่ดีกว่านี้ แต่โลกของเราตอนนั้นมีแค่แม่คนเดียว และเราก็ไม่กล้าเอาความในใจไปพูดกับแม่ เพราะคิดว่าแม่กับพ่อเลี้ยงคือครอบครัวเดียวกัน ส่วนเราคือคนนอก จึงขาดการปรึกษาผู้ใหญ่ เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ยิ่งแม่เสียยิ่งทุกข์หนัก แต่ก็ยังไม่คิดหาหนทางบรรเทา คิดแค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ ให้ได้ ตื่นเช้ามาหิว ตกเย็นคิดถึงแม่ กลางคืนนอนร้องไห้จนหลับ ตื่นขึ้นมาหิวใหม่ วนอยู่แบบนี้แรมปี”

จนวันหนึ่งก็ถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่อลุงของเธอมาพบพร้อมชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน

2.ไปเพื่อสู้ ดีกว่าอยู่ตรงนี้

            “เป็กไม่ได้มองว่าการได้เจอคุณลุงถือเป็นฟ้าหลังฝน แต่นั่นคือหนทาง ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะพาไปจุดไหน แต่ไปเพื่อสู้ ดีกว่าอยู่ตรงนี้ จึงตัดสินใจไป และตั้งปณิธานว่าต่อให้เจออุปสรรคขวากหนามอีก เราก็จะสู้ให้เต็มที่ ใช้ชีวิตตามสมควร สุขตามสมควร ไม่จมดิ่งกับอะไรแล้ว และจะทุ่มเทเพื่อให้ตัวเองไม่ลำบาก เพราะจุดที่เรายืนอยู่ก่อนหน้ามันช่างโหดร้ายอำมหิตต่อความรู้สึก และเราจะไม่ยอมกลับไปเจออะไรแบบนั้นแล้ว”

ประจวบกับคุณลุงที่อุปการะทำธุรกิจเครื่องเสียงและวงดนตรี เป็กกี้จึงได้มีโอกาสคลุกคลีช่วยงาน ตั้งแต่การเป็นคนเบื้องหลัง เช่น ขับรถ ตั้งเวที ติดตั้งเครื่องเสียง จนมาเป็นคนเบื้องหน้า นักร้องของวง

“พอดีคุณลุงต้องการนักร้อง เราก็ถามเลย เป็กเป็นนักร้องให้เอาไหม ลุงไม่ต้องไปจ้างคนอื่น ลุงตกลง จากนั้นเลยได้ร้องเพลงเรื่อยมา เป็กไม่เคยเรียนร้องเพลงที่ไหนมาก่อน แค่ร้องเล่นกับแม่สมัยเด็ก แต่เราเรียนรู้จากประสบการณ์จริง คนดูคือผู้ที่สอนเรา เวลาร้องห่วยแตก คนดูก็มีปฏิกิริยาไม่ยินดีให้เห็นทันที ส่วนเวลาร้องดีก็ได้เสียงปรบมือ ยิ่งเป็นเพลงสากล ถ้าเราแกะเนื้อร้องชุ่ยๆ ฝรั่งถาม What! ร้องอะไรของเอ็ง เพลงสากลเพลงแรกที่เป็กร้องคือเพลง “Zombie” ร้องเสร็จถามฝรั่ง สำเนียงเราเป็นไงบ้าง ฝรั่งตอบ bullshit โอเค (ฮ่า) กลับไปแกะใหม่ ฝึกเพิ่ม การจะพัฒนาได้เราต้องมีใจกล้าหาญ ถ้าคุณไม่กล้าลอง กลัวผิด จะไม่มีวันได้เรียนรู้”

มุกตลกแพรวพราวของเป็กกี้ก็เช่นกัน ที่ผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะจนแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ

“เราตัดสินใจเป็นนักร้องสายเอ็นเตอร์เทน ดังนั้นนอกจากร้องเพลง ยังต้องเอนเตอร์เทนคนดู ช่วงแรกเราใช้วิธีจำมุกตลกเขามาเล่น มันไม่ฮาหรอก ไม่ธรรมชาติ แต่เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ หมั่นสังเกตปฏิกิริยาคนดู และเลือกเล่นให้เข้ากับลักษณะผู้บริโภค เช่น ลูกค้าสังคมไฮโซหน่อย เราใช้วาจาสกปรก เขารับไม่ได้ แต่ถ้าลูกค้าเป็นชาวบ้านทั่วไป เราใช้คำ ‘เฮ้ยมึง’ เขารับได้ ธรรมดาสำหรับเขา กว่าเป็กจะสรุปได้แบบนี้ก็ผิดพลาดมาเยอะ เล่นไม่ถูกกาลเทศะ โดนสายตามองเหยียด จนใจฝ่อก็เคยมาหมดแล้ว กลั้นใจ ไม่เป็นไรเอาใหม่ ฝึกไปเรื่อยๆ ระมัดระวังมากขึ้น การฝึกฝนอยู่เสมอเปรียบเสมือนการเติมของลงลิ้นชัก เป็กเรียกของนั้นว่าอาวุธ ถ้าคุณว่างเปล่า ไม่มีอาวุธในลิ้นชักเลย คุณคือคนที่ไปจับเสือมือเปล่า โอกาสสำเร็จย่อมน้อย ถ้าอย่างนั้นคุณเตรียมลิ้นชักให้เต็มดีกว่าไหม เพิ่มเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จมากขึ้นด้วยนะ”

ความสำเร็จของเป็กกี้ไม่เพียงได้มาด้วยโชค ความพยายาม หรือการเตรียมตัวอย่างดีเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเธอมองเห็นโอกาส และไม่รีรอที่จะคว้ามันด้วย ดังที่เธอแจ้งเกิดในรายการ กิ๊กดู๋ สงครามเพลง เธอไปแข่งขันในฐานะเงาเสียงของหญิงลี ศรีจุมพล และใบเตย อาร์สยาม จนสร้างความประทับใจแก่พิธีกรและคนดู

“เขาติดต่อให้เป็กไปร้องเพลงเป็นหญิงลี ตอนนั้นเราไม่รู้จักหญิงลีด้วยซ้ำ แต่เราเห็นโอกาส ถ้าเราไป คนจะเห็นเราในทีวี แล้วจ้างไปออกอีเวนต์ เราเห็นโอกาสในการต่อยอดนี้ จึงไปอย่างจัดเต็ม ตัดชุดให้เหมือนหญิงลี เอาให้ศิลปิน เห็นแล้วต้องร้องว้าว เป็กไม่สนด้วยซ้ำว่าจะชนะหรือไม่ แค่เอ็นจอยกับโชว์ ดื่มด่ำกับช่วงเวลา และสร้างความบันเทิง เราไปให้คนจดจำ แค่จำเราได้เยอะๆ งานอีเวนต์ต้องเข้ามาแน่

“เป็กเป็นมนุษย์ประเภทถ้ามีใครถามว่า ‘ทำได้ไหม’ ‘ได้ค่ะ’ ไม่มีการปฏิเสธ แต่กลับบ้านไปแล้วโอดครวญ จะทำยังไงเนี่ย ‘เล่นละครได้ไหม’ ‘ได้ค่ะ’ เรื่องแรกโดนไป 11 เทค ทุกอย่างมันต้องผ่านการล้มเหลว ก่อนจะแข็งแกร่งต้องล้มก่อน เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่จะพลาด”

ถึงแม้เป็นสิ่งที่ไม่ถนัดแต่ก็ไม่ปฏิเสธ

“เป็กคิดว่าคนเราฝึกได้ ไม่ผิดที่จะเก็บสิ่งที่ถนัด สิ่งที่รักไว้ทำ แต่ขณะเดียวกันควรฝึกสิ่งที่ไม่ถนัดด้วย อาจมีหลายคนพูดว่าควรตั้งหมายอย่างเดียว ไม่ผิด แต่อย่าลืมว่าในศาสตร์ที่เราชอบนั้นมีแขนงแยกย่อยด้วย งานที่เป็กทำอยู่ทั้งหมดคือเส้นทางที่มุ่งสู่การเป็นนักร้อง แต่เป็กแค่ลองเลี้ยวไปเปิดประตูบานอื่นบ้าง ไม่ใช่ก็ปิด เป็กอาจเป็นมนุษย์อยากรู้อยากลอง ขอลองก่อน ไม่รู้หรอกว่าทำได้ไหม แต่มีคนยื่นโอกาสมาตรงหน้าแล้ว เราไม่รู้หรอกว่าประตูที่กำลังลองเปิดจะพาเราไปไหน อาจไปไกลถึงจักรวาลหรือแค่หน้าปากซอย แต่ถ้ากลัวผิดพลาด กลัวไปหมดทุกอย่าง ปิดประตูแล้วนั่งสวยๆ ตรงนั้นไปเถอะ”

3.ยิ้มสร้างชีวิต

ในช่วงเวลาที่ผจญกับความทุกข์แสนสาหัส เป็กกี้กลับไม่เคยคิดทำร้ายตัวเอง เธอเอาชนะความทุกข์อย่างไร ไม่ให้ความทุกข์กลืนกินตัวเธอ

“เป็กไม่เคยคิดทำร้ายตัวเองเลยค่ะ ไม่มีรอยกรีดแขนใดๆ อาจเพราะเรารักตัวเอง และยังมองว่าชีวิตมีหลายด้าน มีทั้งด้านโหดร้ายและสวยงามอยู่ ก็แค่สู้กันต่อไป การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับเป็กด้วย ตายแล้วไปไหน เราไม่รู้ ดับแล้วยังไง เป็กกลัวความมืดด้วยมั้งเลยไม่เคยคิด

“ถามว่าแล้วเอาชนะความทุกข์ยังไง เป็กโดนความทุกข์กลืนกินมาก่อน คงเหนื่อยมั้ง เหนื่อยจนรู้สึกว่าลุกไปทำอย่างอื่นดีกว่า พอเปลี่ยนไปโฟกัสเรื่องอื่นจิตใจก็ดีขึ้น แน่นอนว่าทุกวันนี้ยังมีวันเหน็ดเหนื่อยหัวใจ วันที่โมโห เราแค่พาตัวเองไปแตะความรู้สึกนั้น คลุ้มคลั่งให้สุด บัดซบเหลือเกิน จากนั้นพอ แล้วเอาพลังงานขั้วลบทั้งหมดไปลงในงาน เปลี่ยนให้เป็นพลังบวก”

เคล็ดลับอย่างหนึ่งของเธอในการปลุกขวัญและสร้างกำลังใจให้ตื่นตัวอยู่เสมอ คือการคุยกับตัวเองทุกวัน

“เป็กเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนรักสบาย อยากนอนเอกเขนก เราพูดเพื่อสร้างกำลังใจและเตือนสติ จงดีกับตัวเองและคนอื่นที่เจอ เช้ามาเป็กจะพูด ‘ดีจ้ะเธอ อรุณสวัสดิ์นะจ๊ะ สวยจังเลย ดูดีมาก เอาละไปอาบน้ำทาครีม วันนี้เธอทำอะไรบ้าง ยังขี้เกียจอยู่เลย แต่เราต้องสู้กันต่อนะ’ เป็นการฝึกจิตให้เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ ไม่หดหู่ ออกจากความรู้สึกลบที่มี”

อีกสิ่งซึ่งช่วยเติมพลังบวกเป็นอย่างมาก คือคู่ชีวิตและกัลยาณมิตรของเธอ

“คุณฐากูรคือพลังบวกของเป็กมากๆ เวลาเราปรึกษา ฐา คนนี้เขาเป็นอะไรนะ ทำไมเขาไม่ค่อยโอเคเลย ฐาจะมีคำตอบที่เป็นบวกเสมอ ‘เธอ เขาเครียดอะไรรึเปล่า เขาอาจมีปัญหาทางบ้านมั้ง’ ฐาจะมีคำแนะนำที่เป็นบวกเสมอ นอกจากนั้นยังมีพี่บุ๋มบิ๋ม สามโทน พี่บุ๋มบิ๋มมักมีคำอธิบายดีๆ เสมอ เช่น เราไม่ควรถือโทษโกรธมนุษย์คนไหนเลย ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง แต่ถ้าไม่ไหวก็ถอย การให้อภัยเป็นสิ่งสวยงาม”   

จากเรื่องราวชีวิตที่ผ่านอะไรมามากมาย เห็นทั้งโลกที่เศร้าหมองเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กับโลกที่เต็มไปด้วยโอกาส และความเข้าใจที่มากขึ้น เราจึงขอให้เธอถอดบทเรียน สิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา

“คนเราเกิดมาต่างกัน บางคนอาจมองว่าเพราะเป็นโชคลาภหรือวาสนาที่มีไม่เท่ากัน แต่เป็กมองว่าโชคหรือวาสนาอาจมีผลต่อชีวิตแค่ 10% ส่วน 90% ที่เหลือเกิดจากความเพียรพยายาม ความมุ่งมั่น รู้จักมองหาโอกาส นี่ต่างหากคือสิ่งผลักดันชีวิตและช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้จริงๆ ไม่ว่าคุณทำอาชีพใดก็ตาม”


คอลัมน์: สกู๊ปจากปก / เรื่อง: ภิญญ์สินี  ภาพ: อนุชา ศรีกรการ

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

1 ความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!