ในระบบการศึกษาที่คนรุ่นผมผ่านมาตอนเด็ก ใครสอบได้ 80 เปอร์เซ็นต์ถือว่าเก่ง สอบได้ 90 เปอร์เซ็นต์ถือว่าสุดยอด และมักมีโอกาส “pass ชั้น” การเรียนเก่งหมายถึงได้คะแนนสูง
นี่คือกรอบคิดที่ 1
สมัยนั้นใครได้คะแนนตอนมัธยมปลายสูงๆ มักเรียนต่อในสองคณะยอดฮิตคือ แพทย์ศาสตร์กับวิศวกรรมศาสตร์ ไม่มีนักเรียนที่ได้คะแนนสูงๆ คนไหนเลือกเป็นครูหรือเกษตรกรหรือประมงหรือนักปรัชญา เราปลูกฝังเด็กว่า ถ้าเรียนเก่งควรไปเรียนคณะวิชาที่คะแนนสอบเข้าสูงที่สุด มากกว่าสายวิชาที่ตัวเองชอบ
นี่คือกรอบคิดที่ 2
ด้วยความเก่งทางวิชาการ เด็กเหล่านี้ย่อมเรียนจบไม่ยาก และทำงานต่อไปอีก 30-40 ปี โดยอาจไม่ชอบงาน
เรียนแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ ก็อาจ “เสียของ” เปล่าๆ
ค่านิยมนี้กลายเป็นกรอบที่ปิดล้อมความคิด ทำให้คนเรียนเก่งไปรวมกันเป็นกระจุกที่เฉพาะบางสาขาวิชา อันเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะถ้าเราเพิ่มคนเรียนเก่งเข้าไปในสายวิชาอื่นๆ น่าจะพัฒนาวงการต่างๆ ได้หลากหลายขึ้น
นอกจากนี้เรายังตกอยู่ในกับดักความคิดว่า การเรียนรู้อยู่ในห้องเรียนเท่านั้น และใบปริญญาคือใบกำหนดชะตาชีวิต
นี่คือกรอบคิดที่ 3
แต่ในยุคที่เรามีมหาวิทยาลัยเต็มเมือง คุณภาพของ “คนเก่ง” แบบนี้ยังเป็นเครื่องหมายคำถามในมาตรฐานโลก ข้อมูลการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาโลกชี้ว่าระบบการศึกษาของเรายังต้องพัฒนาอีกมาก คะแนนสูงอาจไม่พออีกต่อไป คนเก่งยุคใหม่ต้องรู้รอบด้าน เก่งทั้งวิชาการและมีมนุษย์สัมพันธ์ วิสัยทัศน์ วิเคราะห์เป็น คิดนอกกรอบ ตรงต่อเวลา
แต่ถึงจะเก่งในนิยามนี้ ก็ไม่เพียงพอ หากไร้คุณธรรมรองรับ
น่าเสียดายที่สังคมแยกความเก่งกับความดีออกจากกัน “เขาเป็นคนเก่ง” “เขาเป็นคนดี”
และมักรวม “เก่ง” กับ “รวย” เข้าด้วยกัน “เขาเก่งจึงรวย” “ต้องเก่งจึงรวย”
นี่คือกรอบคิดที่ 4
ปราศจากคุณสมบัติเก่งและมีคุณธรรมแล้ว มีมหาวิทยาลัยล้านแห่ง บัณฑิตหลายล้านคน สังคมก็ยังไร้ปัญญา เพราะหลายคนใช้ความฉลาดในทางที่ผิด
ทั้งหมดนี้คือความเก่งในด้านสมรรถภาพ ความสามารถที่ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่เคยเห็นคนเก่งคนมีฐานะหน้าตากลัดกลุ้มไหม? คนเหล่านี้มีฐานะและความเป็นอยู่ที่เอื้อให้มีความสุข แต่กลับจมในความทุกข์ นี่บอกว่าบางทีเก่งสุดยอดก็ไม่เก่งพอ ถ้าชีวิตไร้ความสุข
คุณสมบัติเก่งและฉลาดอาจทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ก็อาจจะยังไม่ดีพอที่ทำให้ชีวิตมีความสุข ตัวอย่างมากมายในโลกบอกว่า คุณสมบัติเก่งและฉลาดสองอย่างนี้ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขเสมอไป
เราอาจสงสัยว่าในเมื่อพวกนี้เก่ง ฉลาด มีเงิน มีความรู้ มีสถานะในสังคม ทำไมยังต้องกลุ้มใจอีก
ถ้าเก่งจริง ฉลาดจริง ทำไมไม่มีความสุข?
สามารถยิ้ม แต่เลือกซึมเศร้า
สามารถหัวเราะ แต่เลือกบึ้ง
สามารถผ่อนคลาย แต่เลือกตึงเครียด
ดูเหมือนเป็นคำถามง่ายๆ เพราะเมื่อมีมันสมองฉลาดพอทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็น่าจะฉลาดพอมีความสุข แต่กลับไม่ทำหรือทำไม่ได้
เก่งและฉลาดแค่ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจึงอาจไม่ครบถ้วน เพราะใช้สมองขบคิดเรื่องชวนกลัดกลุ้มใจ ไม่ใช้สมองทำให้ตนเองสุขใจ
คนเก่งจริงฉลาดจริงจึงน่าจะเป็นคนที่เข้าใจชีวิต และสามารถอยู่กับข้อแม้และสถานการณ์ต่างๆ โดยมีทุกข์น้อยที่สุด หรือใช้ความเก่งและความฉลาดจัดการคุมความทุกข์ได้
มีตัวอย่างนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการงานตัดสินใจออกจากงานไปชนบทห่างไกล ใช้ชีวิตแบบสันโดษ สมถะ ธรรมดา บางคนเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร คนเก่งและรวยจำนวนไม่น้อยทำกิจกรรมคืนกำไรให้สังคม บ้างทำโครงการเพื่อพัฒนาสังคมส่วนรวม คนเหล่านี้พบว่าความสงบทางใจมีค่ากว่าเงินตรา
พวกเขาเก่ง ฉลาด และเลือกมีความสุขแบบสันโดษ
อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเก่งและฉลาดจริง
เพราะหลุดพ้นจากกรอบคิดทางโลกเรียบร้อยแล้ว
winbookclub.comเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
คอลัมน์ ลมหายใจ / เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ