อายุไม่ได้วัดความเป็นคน – พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

-

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน พบกันอีกเหมือนเดิมนะโยม ธรรมะง่ายๆ สไตล์ธรรมะเดลิเวอรี่ ส่งถึงที่ซึ้งถึงใจ ใครเป็นโรคซึมเศร้า โรคเหงาหงอย โรคเครียด โรคคิดมาก โรคชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน อันหลังนี้ใช่โรคไหมโยม น่าจะใช่นะ เพราะว่ามันทำให้ชีวิตของเราบกพร่องเหมือนกัน ไปหาหมอที่ไหนอาการไม่ดีขึ้น

โยมลองหันหน้าเข้าหาธรรมะ เข้าหาความสงบดู โยมจะได้รู้ต้นเหตุแห่งโรคนั้นๆ ว่ามันเป็นเช่นไร

เป็นโรคที่เราแก้ไม่หาย เพราะจิตใจของเราวุ่นวาย จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ถ้าจิตใจของเราสงบ เราก็สามารถรู้สาเหตุความทุกข์นั้นได้

เปรียบง่ายๆ นะโยม น้ำที่ขุ่น เราย่อมมองไม่เห็นตะกอนที่นอนก้นอยู่ แต่เมื่อใดน้ำนั้นใส เราก็มองเห็นตะกอนที่นอนก้นอยู่ได้ ในทางธรรมะคือ จิตที่วุ่นวายย่อมไม่มีเวลามองใจตนเอง เมื่อใดจิตสงบเราจะพบตนเองที่ชัดมากขึ้น

โยมทุกท่าน ใช่ว่าความวุ่นวายของจิตจะเป็นโทษเสมอไป ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือมันจะทำให้เราไม่หลงระเริง ทำให้เราเห็นทุกข์ และสุดท้ายก็ทำให้เราเห็นธรรม เหมือนคำพระที่ว่า ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม

เมื่อเห็นทุกข์ก็เห็นธรรม คือเราเห็นความจริงของชีวิต และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงนั้น โคลนเกิดขึ้นจากน้ำ เราก็ใช้น้ำนั่นแหละล้างโคลน ทุกข์เกิดขึ้นจากใจ เราก็ใช้ใจนั่นแหละล้างทุกข์ ใจที่สงบเย็นย่อมเห็นความทุกข์ทั้งปวง

พอเกริ่นมาก็มุ่งให้ถึงพระนิพพานเลยทีเดียวนะโยม ชีวิตคนเรานั้นมีหลายระดับ เช่น มีปัญญามาก ปัญญาปานกลาง ปัญญาน้อย และด้อยปัญญา แต่ใช่ว่าคนที่ปัญญาน้อย คนที่ด้อยปัญญาจะเข้าถึงธรรมะขั้นสูงไม่ได้

เพราะบางครั้งคนที่ปัญญาน้อย คนที่ด้อยปัญญา เขาไม่ค่อยคิดมาก ไม่วิเคราะห์มาก เมื่อเจออาจารย์ที่ดี สอนดี สอนตรงจริต จิตก็สงบ สามารถเข้าธรรมะได้เช่นกัน

ตรงข้ามกับคนที่มีปัญญามาก ไม่เปิดใจ ใครสอนอะไรก็บอกว่า รู้แล้ว รู้หมด ปัญญาแบบนี้มันปิดกั้นธรรมะที่เข้ามาเติมเต็มให้แก่ตนเอง ในทางกลับกัน ถ้าคนที่มีปัญญามาก มีศรัทธา เปิดใจรับธรรมะ เขาผู้นั้นย่อมเข้าถึงสภาวธรรมโดยเร็วเช่นกัน และที่สำคัญอายุไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเข้าถึงธรรมะ บางคนเกิดมาแก่จนจะเข้าโลงยังไม่เห็นคุณค่าของธรรมะก็มี

โยมคงได้ยินคำว่า

“เกิดมาร้อยปีไม่ทำความดีก็ไร้ค่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ค่าของงานอยู่ที่การกระทำ
ค่าของการกระทำอยู่ที่ทำความดี ค่าของความดีอยู่ที่มีศีลธรรม”

โยมทุกท่าน ชีวิตนี้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเราเกิดมาแล้วได้ทำหน้าที่ตนเองอย่างดีที่สุด เป็นลูกทำหน้าที่ลูกให้สมบูรณ์ เป็นพ่อแม่ทำหน้าที่พ่อแม่ให้สมบูรณ์ เป็นศิษย์ทำหน้าที่ศิษย์ให้สมบูรณ์ เป็นครูอาจารย์ทำหน้าที่ครูอาจารย์ให้สมบูรณ์ เป็นพระทำหน้าที่พระให้สมบูรณ์ เมื่อเราได้ทำหน้าที่ตนเองอย่างสมบูรณ์ ชีวิตเรายิ่งอยู่นานก็ยิ่งเหมือนมรดกอันทรงคุณค่า ควรแก่การยกย่อง

แต่ถ้าเราเกิดมาแล้ว ทำตัวให้เปล่าประโยชน์ อยู่ไปวันๆ ก็คงไม่ต่างอะไรกับขยะสังคม แถมยังแพร่พิษปนเปื้อนให้โลกนี้อีก ถ้าเราจะเป็นขยะขอให้เป็นขยะที่สามารถรีไซเคิล คือนำกลับมาใช้ได้ ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเรารู้ว่าผิดพลาด จงยอมรับและพร้อมปรับปรุงแก้ไข

ทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครประเสริฐโดยไม่ต้องพัฒนานะโยม

“ความประเสริฐของมนุษย์คือการงานที่มีคุณธรรม ถ้าผู้ใดไม่ทำงาน ไม่สร้างสรรค์ ไม่ก่อคุณค่าและประโยชน์ ผู้นั้นก็เป็นขยะชิ้นหนึ่งที่สกปรกรกเลอะอยู่ในสังคม ในโลก”

คนเรานี้มักชอบความสนุกสนานในชีวิต มีส่วนน้อยที่แสวงหาความเงียบสงบ ส่วนใหญ่ชอบความสนุกทั้งนั้น เช่น ดูรายการทีวีก็รายการสนุก รายการธรรมะก็ชอบแบบสนุก เราเสพความสนุกได้หลายวิธี

วิธีทางโลกคือดื่มเหล้าเคล้านารี เที่ยวสตรียามวิกาล ถือว่าเป็นวิมานของนักท่องราตรี ถ้าสนุกแบบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ต้องเสียทรัพย์และอับปัญญา ทั้งยังนำมาซึ่งชะตาที่เสื่อมถอยด้อยลงด้วยกิเลสหนา ปัญญาเสื่อม

โยมอย่าคิดว่าความสนุกเกิดขึ้นได้เฉพาะการดื่มเหล้าเคล้านารี ที่จริงความสุขสนุกแบบนี้มันไม่ถาวร

สุขตอนต้น ต้องขื่นขมบั้นปลาย เพราะอะไรโยม เพราะจะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

เจอแบบนี้มันต้องสอนกันหน่อย จริงไหมโยม คนข้างวัดมีดื่มกันเป็นประจำ เราเป็นพระก็ต้องสอน

โยม อาตมามีเรื่องซีเรียสอยากจะคุยด้วยสักหน่อย โยมคนนั้นก็พูด ว่ามาเลยพระอาจารย์

อาตมาจึงเตือนสติว่า โยมรู้ไหม การดื่มเหล้าจะทำให้คุณโยมตายไปอย่างช้าๆ

โยมคนนั้นก็พูดว่า รู้ครับ พระอาจารย์ หมอก็บอก ด้วยเหตุนี้แหละผมเลยต้องกินเหล้าทุกวัน เพราะผมไม่อยากตายเร็วไง พระอาจารย์

ดูสิโยม เราอุตส่าห์สอน แต่มันกลับยังเห็นดีเห็นงามกับการดื่มเหล้า เรียกว่าพวกเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นขี้วัวเป็นขนมเค้กซาลาเปา

สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความสุขที่แท้จริงต้องเกิดจากภายใน ไม่ใช่แสวงหาจากภายนอก

อย่าให้เหมือนหมาขี้เรื้อนที่วัดอาตมานะโยม มันพยายามวิ่งหาความสุขทั้งวันทั้งคืน

อาตมาพอว่างก็นั่งสังเกตหมา ดูสิว่ามันจะทำยังไง ตอนแรกมันวิ่งมานอนใต้บันได แล้วก็เกาแกรกๆ

สักพักวิ่งไปนอนใต้ต้นไม้แล้วก็เกาแกรกๆ ต่อมาวิ่งไปนอนข้างกุฏิ มันหยุดได้ไม่นาน มันคิดว่าตรงที่มันนอนทำให้มันคัน มันก็เลยวิ่งหาที่ไม่คัน วิ่งหาที่สงบ

มันก็เหมือนคนนั่นแหละโยม คนที่มีความทุกข์ ความเศร้า ทุกข์เกิดที่ใจ แต่เราเที่ยวไปแก้ที่อื่น เช่น เธค คลับ บาร์ ไปกินเหล้า เลยแก้ไม่ได้ เพราะว่าแก้ไม่ถูก หยุดปัญหาไม่ได้

ถ้าเราเกาไม่ถูกจุด ก็หยุดคันไม่ได้ คันตรงไหนต้องเกาตรงนั้น เมื่อเกาแล้ว เราต้องอาบน้ำให้สะอาด ทายาให้เรียบร้อย แบบนี้รับรองหายคันร้อยเปอร์เซ็นต์

ดังนั้นเราจึงต้องแก้ที่ตัว ที่ใจของเรา ปรับตัวปรับใจให้เข้าใจความทุกข์แล้วความสุขจะเกิดขึ้นนะโยม

ความสุขจะเกิดขึ้นได้จากจิตที่สงบระงับ

ความสุขจะเกิดขึ้นได้จากจิตที่ดับจากตัณหา

ความสุขจะเกิดขึ้นได้จากจิตที่หลุดพ้นจากอวิชชา

นี่เป็นความสุขที่พึงปรารถนาอย่างแท้จริง

เจริญพร


เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต / ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!