-๙-
เลอโฉม
…………..
“ชื่อเหมือนหนูเลยนะ”
“หืม?”
“ก็วันเนาว์ไง” คนทักพยักไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ด้านในร้าน โรงแรมจิ้งหรีดแห่งนี้จัดรูปแบบคล้ายโรงเตี๊ยมสมัยดึกดำบรรพ์ — หรือจะพูดให้ถูก มัน ‘ดึก’ เพราะผู้ดูแลขาดความใส่ใจเสียมากกว่า แม้แต่เสื้อผ้าท่าทางของตัวแกเองก็ยังปล่อยให้ดึก ดูสกปรกเหมือนเศษขยะข้างตึกอีกชิ้นที่เผลอปลิวมากองในคอกโต๊ะทำงานของผู้จัดการโรงแรม ด้านหน้าโทรทัศน์คือชุดเก้าอี้รีทรายโก้เก่ามอมไม่แพ้กัน
ผู้จัดการเฒ่าพูดต่อไปว่า “วันเนาว์ เมื่อกี้ลุงถาม หนูว่าชื่อนี้ไม่ใช่รึ”
ใช่แล้ว เธอตอบอย่างนั้น เรียกฉันว่าวันเนาว์แล้วกัน
เจ้าของนาม ‘วันเนาว์’ พยักยิ้ม รอยยิ้มของเธอมีเสน่ห์เสมอ แต่ผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยสนใจมันหรอก พวกนี้จึงไม่เคยมองเห็นว่าที่แท้ ในดวงตาหวานคมนั้นแห้งแดง ที่ใต้ตายังสดใสก็ด้วยเครื่องสำอาง เช่นเดียวกับริมฝีปากอวบ ลิปสติกเคลือบมันซ่อนความระแหงข้างใต้ ระแหงเพราะ ‘ผงสวรรค์’ ที่ระบาดในหมู่ชนชั้นสูง! สิ่งที่สายตาพวกนั้นเพ่งจ้องมักคือเอวองค์ อกอิ่ม และต้นขาซึ่งโผล่พ้นริมผ้าน้อยนิดที่เธอสวมใส่
ก็คงจะมีแต่ของพวกนี้ที่โลกสร้างเธอมาให้เป็น อย่างที่คนในสังคมนี้ต้องการให้ ‘เป็น’
แต่เล็ก เด็กหญิงรักการถอดประกอบของเล่น ของใช้ โลหะคือวัสดุล่อตา ยิ่งเวลากรีดเล็บลงไปแล้วได้เสียงเสียดแหลม เธอยิ่งโปรดปราน ทว่าผู้ใหญ่หาว่าเธอรักการทำลาย พวกนั้นโน้มน้าวให้เธอเรียนรู้การรักษามนุษย์ด้วยผลหมากรากไม้ แต่เธอไม่สน ‘ทำไมเราต้องสนใจสิ่งที่ไม่มีอยู่บนโลกอีกต่อไปแล้ว’ ผลตอบแทนคำเถียงคือการโดนหวด แต่เธอไม่กลัว การถูกหวดช่วยให้เธอตั้งคำถามต่อไปมากกว่า ทำไมผู้ใหญ่จึงไม่ชอบยอมรับความจริง ทักษะการถอดประกอบของใช้กระตุ้นให้เธอค่อยๆ ถอดประกอบระบบความคิดของพวกนั้น พิจารณาโลก พิจารณาสังคมที่ตัวเองอยู่ ต่อเมื่อวิพากษ์แล้วถูกตีตราว่าเป็นเด็กชั่ว เลี้ยงเสียข้าวสุก เธอก็หนีออกจากบ้านมาหาเลี้ยงตัวเองเสียเลย แสวงหาคำตอบว่าที่แท้ ‘คนดี’ คืออะไรกันแน่
“เราก็รู้กันใช่มั้ยคะ คุณพ่อคุณแม่ของเด็กที่หลงผิดส่วนใหญ่ก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น ‘ลูกฉันเป็นคนดี!’ ”
“นี่ฉายวนมาตั้งแต่เช้าละ” ผู้จัดการบ่น แต่ก็ยังสนใจสิ่งที่ถูกถ่ายทอดบนหน้าจอ “แต่ทำแบบนี้บ้างก็ดีนะ เด็กเดี๋ยวนี้มันใช้ไม่ได้ ที่มันใช้ไม่ได้ก็เพราะพ่อแม่มันสอนไม่เป็นเนี่ยแหละ”
วันเนาว์กระตุกยิ้มนิดหนึ่ง อีกฝ่ายคงเข้าใจว่าเธอแก่กว่า ‘เด็กชั่ว’ ที่ถูกพูดถึงในจอนั่นมากโข ใครๆ ก็มักเข้าใจอย่างนั้น
“ทำไมลุงเชื่อว่าจริง” เธอชวนคุยบ้าง วางเงินค่าห้องล่วงหน้าลงบนโต๊ะ ธนบัตรและเหรียญเหล่านี้เป็นของหายากเต็มที โดยเฉพาะในธุรกิจบนดิน สยามอลังการก็เหมือนสังคมทั่วโลกส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนมาใช้การจ่ายเงินผ่านหน้าจอหลายทศวรรษแล้ว อย่างไรก็ดี เงินตัวจริงไม่มีทางสูญพันธุ์ คนกลุ่มหนึ่งยังพึงใจที่จะยุ่งยาก เพราะมันจะทำให้การติดตามร่องรอยของพวกเขาเป็นไปได้ยากเช่นกัน
ผู้จัดการแตะนิ้วที่ลิ้นแล้วนับธนบัตรอันเป็นเงินทอนให้เธอทีละใบ ถึงอย่างนั้นยังสังเกตได้ว่าสายตายังถูกตรึงอยู่ที่ร่างอวบอัดของเธอ ผมดำยาวเคลียไหล่เนียนสีน้ำผึ้ง ปากถาม “อะไรจริง?”
“ก็ที่ลุงเชื่อว่าเด็กนั่นไม่ใช่ ‘คนดี’ ไงล่ะ”
คำถามของเธอเรียกให้ลูกจ้างที่ยืนไล่หากุญแจห้องว่างอยู่ด้านหลัง หันมาสนใจเช่นกัน
ตรงข้ามกับผู้จัดการเฒ่า “ถามแปลกๆ อาจารย์นั่นแกจะโกหกทำไม”
“เพราะถ้าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนไม่ดี แล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้เลี้ยงมาไม่ดี ทางการก็อาจจะต้องหาตัวการที่ก่อเรื่องยุ่งๆ นั่นต่อไปไงล่ะ”
“ก็หาต่อไปซี่ ไม่เห็นเป็นไร”
มุมปากอันเคลือบสีค่อนข้างคล้ำกระตุกยิ้มอีกครั้ง เป็นยิ้มอันเกลื่อนหยัน เช่นเดียวกับสเปรย์น้ำหอมที่ถูกพ่นพรางกลิ่นกายอันเกิดจากผงสวรรค์ที่เธอเสพ “ถ้าลุงสั่งให้ลูกจ้างทำงานอย่างนึง แต่เขาทำตั้งนานก็ไม่รู้จักเสร็จสักที ลุงจะว่ายังไง”
“ก็ด่ามันสิ ถ้าจะไม่เอาอ่าวขนาดนั้น!”
“นั่นอาจเป็นสิ่งที่อาจารย์กรุณากับคนเบื้องบนของแกกำลังกลัวกันอยู่ก็ได้”
“จะกลัวทำไม เทียบกันได้ที่ไหน นั่นเขาอยู่ข้างบน ส่วนนี่มันลูกจ้าง” แกหันชี้ปลายคางไปทางเด็กหนุ่มข้างหลัง เจ้าตัวคว้าลูกกุญแจมาได้โดยไว คงกลัวถูกว่ากระทบ
เด็กสาวไม่ได้ว่ากระทบ เธอยิ้มหวานให้เขา แต่ปากยังถามคนเป็นเจ้านาย “ทำไมลุงถึงเรียกคนนี้ว่าเป็นลูกจ้าง”
“เอ๊า ก็ให้เงินมันทำงาน”
“งั้นทุกวันนี้ลุงเสียภาษีมั้ย”
“เสียซีวะ!”
ชาวขยะทุกรายมีหน้าที่ต้องทำงานให้ทางการในโรงงานกำจัดขยะ โดยแยกไปยังแผนกต่างๆ ตามละแวกที่พัก นี่คือเหตุผลที่การสังกัดแผนกแทบจะกลายเป็นมรดกตกทอดระหว่างรุ่น เนื่องจากการย้ายเขตในหมู่ชนชั้นขยะทั่วไปลงมาเป็นไปได้ยากยิ่ง
กรณีที่ชาวขยะรายใดมีประสงค์ไม่เข้าทำงานในโรงงาน สามารถจ่ายค่าชดเชยแทนได้ เรียกว่า ‘ภาษี’ โดยคิดอัตราร้อยละแบบก้าวหน้าจากฐานรายได้ จากนั้นผู้บริหารโรงงานขยะแต่ละแผนกจะจ้างแรงงานราคาถูกมาทำงานแทน หลายปีก่อนเคยมีคนยกประเด็นว่าทางการน่าจะจัดซื้อหุ่นยนต์และเครื่องจักรขีดความสามารถสูงมาใช้แทนมนุษย์ แม้ต้นทุนเริ่มต้นจะแพง แต่เมื่อคิดปริมาณงานที่ได้ต่อหน่วยแล้วคุ้มทุนกว่า
ประเด็นดังกล่าวตกไป เพราะทางการหรือพวกฝาถังอ้างว่า ประชากรในโรงงานขยะยังมีมากกว่างาน หากใช้เครื่องมือเข้าช่วยจะทำให้คนตกงาน โดยเฉพาะคนเหล่านี้ล้วนเป็นแรงงานไร้ฝีมือ ไม่สามารถพัฒนาสู่การคุมงานอื่นๆ ได้ ต่อเมื่อถูกถามว่าทำไมคนส่วนใหญ่ไร้ฝีมือ ทั้งๆ ที่ผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐานตามที่ฝ่ายปกครองจัดให้ ผู้ตั้งคำถามก็ถูกแจ้งความในข้อหาดูหมิ่นทางการ
ลุงเจ้าของโรงแรมเปิดกิจการโรงแรมเช่นนี้ย่อมไม่สามารถเข้าไปทำงานในโรงงานกำจัดขยะ การถูกซักเรื่องภาษีจึงเสมือนถูกจับผิดว่าได้กระทำถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะฉุนขึ้นมา
คนถามไม่ได้ยี่หระ ถามต่อไปว่า “แล้วค่าจ้างคน ‘ข้างบน’ พวกนั้นมาจากไหน”
“ก็จาก…” หางเสียงเริ่มลาก แสดงว่าความคิดใกล้บรรจบสิ่งที่เธอต้องการสื่อ
เจ้าของนามวันเนาว์ยักไหล่ รับกุญแจจากเด็กรับจ้าง “หนูขึ้นข้างบนก่อนนะ แต๊งกิ้ว!”
ระหว่างกระแทกเท้าขึ้นไปตามขั้นบันได เธอยังได้ยินเสียงลอยตามหลัง
“อีกะหรี่พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง!”
“แต่ผมรู้นะ” เด็กรับจ้างว่า
“เสือก! เป็นเด็กมึงก็อยู่ส่วนเด็ก!”
. . . . . . . . .
ยรรยงถูกปล่อยให้กลับบ้านหลังจากเรื่องยุ่งยากยึดตัวไว้ที่หน่วยงานกลางตั้งแต่วันก่อน ช่วงเวลาน่าปวดหัวเช่นนี้ ชายหนุ่มหวังเพียงจะได้กลับมาพบหน้าใครบางคนที่ห้องเยื้องๆ กัน นี่เป็นเวลาที่เธอมักจะออกไปทำงาน หลายครั้งยรรยงถึงกับตัดใจนั่งรถไฟฟ้าเพื่อให้กลับมาทัน ‘เดินสวนกัน’ ค่ารถค่อนข้างแพง แต่เมื่อคิดว่าเขาแทบไม่เคยซื้อความสุขใดๆ ให้ตัวเองเลย มันก็กลับดูจิ๊บจ๊อยขึ้นทันตา
วันนี้ยรรยงมีขนมติดมือมาฝากเธอเช่นเคย ไม่มากมายอะไร แค่ของแสดงน้ำใจ ชายหนุ่มบอกตัวเองอย่างนั้น ไม่กล้าไต่ระดับไปมากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ระหว่างออกจากห้องเลื่อนก้าวมาตามทางเดินหว่างห้องพักชั้นแปด หัวใจก็กระทุ้งระทึกขึ้นทุกทีตามจำนวนฝีก้าว มันแทบกระดอนออกนอกอกเมื่อพบว่าบานประตูห้องเป้าหมายค่อยๆ แง้มเปิดพอดี
จังหวะเต้นดังกล่าวมีอันสะดุด ครั้นพบว่าผู้สอดร่างออกมาคือหญิงสูงวัยผู้ดูแลหอพัก ตามด้วยลูกจ้างสาวที่หอบอุปกรณ์ทำความสะอาดพะรุงพะรัง
“อ้าว!”
เห็นสีหน้าเขา คนนำหน้าก็ตอบได้โดยไม่ต้องรอคำถาม “เขาย้ายออกแล้ว เมื่อกลางวันนี่เอง”
“ย้ายออก?” ไม่ใช่แค่หัวใจหยุดเต้น มันเหมือนจู่ๆ ทั้งดวงก็กำลังละลาย “ปะ…ไปไหนครับ”
“ไม่ได้บ๊อก” หล่อนขึ้นเสียงสูงคล้ายรำคาญ “ก็รู้อยู่ว่าเขาทำงานอะไร อาจจะหาเสี่ยคนใหม่เลี้ยงได้แล้วก็ได้”
คนอธิบายหันไปบ่นลูกจ้างแล้วจ้ำต่อเข้าห้องเลื่อน เสียงเครื่องยนต์กระชากตัวต่อจากนั้น ทว่ายรรยงไม่ได้ยินอะไรเลย
ใช่ นั่นละเหตุผลที่เขาต้องห้ามใจตัวเองเสมอ
เลอไถงเป็นผู้หญิงไม่ดี เธอขายตัว!
เพื่อนบ้านว่ากันว่า เด็กสาวใจแตก นั่นเป็นเหตุให้เธอหนีออกจากบ้าน ยรรยงเดาว่าเธอไม่มีความรู้ความสามารถพอจะเลี้ยงตัว จึงต้องใช้เรือนร่างต่างต้นทุน เลอไถงนอนกับผู้ชายไปกี่คน คนละกี่ครั้ง กว่าจะถีบทะยานมาอยู่ในสังคมแบบนี้ได้ ที่ที่สกปรกน้อยกว่า อย่างน้อยก็ปราศจากกลิ่นขยะและการรบกวนของแมลงเชื้อโรคเฉกเช่นเธอชิงชัง
แต่มันจะอยู่ได้ไม่นาน อีกไม่ช้าความหอมหวานของชีวิตจะพ้นไปพร้อมวัยสาว ถ้าฉลาดพอ เธอก็ควรจะทำอย่างนั้น รีบคว้าโอกาสก่อนที่ตัวเองจะหมดค่า!
ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ไม่เคยหวัง – หรือต่อให้หวังก็แค่น้อยเท่าน้อย – ยรรยงยังรู้สึกหนืดหน่วงในใจ น้ำลายเหนียว และขาก็คล้ายจะไร้เรี่ยวแรง ต้องยกมือยันผนังไว้เพื่อประคองกายให้หยัดอยู่
เขารู้ เรามันโง่! โง่ที่ไม่อาจหักใจจากรักแรก ทั้งๆ ที่เธอไม่มีตรงไหนดีพอเลย เลอไถงอาจมีเสน่ห์อยู่บ้าง หากทว่าเธอไม่ใช่คนสวยที่สุด แล้วก็ไม่เคยแสดงท่าทีทอดไมตรีมาด้วยซ้ำ ทุกอย่างเรียบเสมอเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ยรรยงตอบไม่ได้ว่าอะไรในตัวเธอปักลึกในใจเขา ทำให้เฝ้าฝัน กระวนกระวาย บางหนอยากเห็น แต่ก็ไม่อยากเห็น แต่แล้วก็ต้องพยายามกลับมาให้เห็น เมื่อยากจะหาคำตอบ คนไม่ซับซ้อนอย่างเขาจึงตัดสินใจเลิกหาคำตอบ ปลอบตัวเองว่าให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอ
แต่ต่อจากนี้จะไม่มีแล้ว
เขารู้ว่ามันจะยากยิ่งกว่าความบังเอิญหนแรกที่ได้มาพบกันที่นี่ ปาฏิหาริย์ครั้งที่สองไม่น่ามีอยู่จริง เขาจะไปหาเธอเจอจากไหน โดยเฉพาะ ถ้าเธอมีใครสักคน…ดูแล ผู้ชายคนนั้นคงไม่ปล่อยให้เธอออกมาพบใครข้างนอกง่ายๆ
คนโชคดีคนนั้นคือใครกันนะ
นิ้วเย็นเฉียบสอดกุญแจเข้าในรู ประตูหอพักระดับล่างๆ ยังใช้วิธีนี้แทนที่จะเข้ารหัสด้วยตัวเลข ด้วยลายนิ้วมือ หรือม่านตา ยรรยงต้องพยายามบังคับไม่ให้นิ้วสั่น เขาพบว่ามันยากยิ่งกว่าการวิ่งไล่จับคนร้ายเสียอีก อีกหลายอึดใจกว่าเสียงแกร็ก! จะดัง ประตูปลดสลัก แต่เขายังติดกับดักตัวเองดังเดิม
ทันทีที่ประตูเปิด สามคนในห้องก็หันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว พ่อแม่และน้องสาวกำลังกินข้าวเย็นเช่นเคย ทว่าวันนี้ แทนสายตายิ้มทักชวนร่วมวง กลับกลายกังขา
“มาพอดี” นายยุทธ์ผู้เป็นพ่อวางช้อน ฉุดรอยยิ้มกลบเกลื่อนบรรยากาศ “แม่เขาเอาจานกะช้อนมาให้แล้ว เอ็งไปล้างมือแล้วรีบมากินข้าวกัน กำลังร้อนๆ”
“จ้ะพ่อ” เขาตอบรับ ถอดรองเท้าแล้วเลี้ยวเข้าห้องน้ำ รู้แน่แก่ใจ ทุกคนกำลังรอเราตอบคำถามเรื่องเมื่อเช้าต่างหาก!
ไม่แปลก ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขายังไม่มีโอกาสได้คุยกับใครกระทั่งน้องสาวผู้เป็นเจ้าของเรื่อง เมื่อเช้าจะโทรไปเตือนก่อนเยียรยงก็ไม่รับสาย แล้วพอลงจากเวทีหน้าเสาธง อาจารย์กรุณาก็รีบก้าวหลบแดดไปขึ้นรถประจำตำแหน่งคันที่มีเยื่อกรองแสงและเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เขาจำเร่งตาม มีโอกาสแค่ส่งสายตาบอกเยียรยงว่าอย่าเพิ่งแพร่งพรายอะไรออกไป
เขาไม่ห่วงน้อง ค่อนข้างเชื่อใจว่าเยียรยงฉลาดพอจะเอาตัวรอด อันที่จริงมันยังฉลาดกว่าเรา! ดีไม่ดีจะพอคาดการณ์อะไรต่อมิอะไรได้แล้วด้วยซ้ำ
ตามคาด ทันทีที่เขานั่งขัดสมาธิลงกับผ้าปูพื้นหน้าจานของตน น้องสาวถามจากที่นั่งข้างกัน “คดีที่พี่ทำอยู่น่ะ คือเรื่องคนที่เป็นแบบวันเนาว์ใช่มั้ย”
สายตาพ่อกับแม่จ้องตรงมา มีจุดอันแสดงว่าน้องสาวได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ไปบ้างแล้ว
เขาถอนสายตาไปสนใจแกงแมลงสาบกลางวง ตักน้ำแกงราดข้าวสวยที่แม่เพิ่งตักให้ ปากตอบเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “ใช่–”
. . . . . . . . .
‘—มีคดีทำนองนี้เกิดขึ้นมาหลายคดีแล้ว ก็อย่างที่เห็นนี่ละ–’ คนพูดพยักไปยังหน้าจอกระดานไฟฟ้า ขณะนั้นมันกำลังแสดงหน้าต่างแอบประเคนฉันเถื่อน ‘ทุกคดีไม่มีหลักฐานหลุดลอดออกมาให้เห็นเลย ทั้งคนทั่วไป โดยเฉพาะสื่อมวลชน’
เด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวติดกันกับธนลภย์ก้มลงใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอช้าๆ แสดงว่ากำลังเพ่งสนใจทุกตัวอักษร
แอบประเคนฉันนี้มีลักษณะละม้ายสุโนก แต่เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ใช้สามารถปกปิดตัวตนได้มิดเม้นกว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เขาต้องพาเธอมาเข้าใช้ในร้านเช่ากระดานไฟฟ้า ป้องกันพวกฝาถังแกะรอยพบ
ธุรกิจร้านเช่ากระดานไฟฟ้ามีให้บริการตั้งแต่รอบนอกชุมชนขยะทั่วไปเป็นต้นไป ละแวกขยะเปียกอย่างนี้ยิ่งมีมาก เพราะคนในชุมชนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจะซื้อกระดานไฟฟ้าดีๆ ไว้ใช้งาน ที่พอมีติดตัวก็มักรองรับเฉพาะแอบประเคนฉันพื้นฐานจำพวกส่งจดหมาย ข้อความ โทรศัพท์ เครื่องคิดเลข บันทึก แต่งรูปง่ายๆ และแอบประเคนฉันสำหรับการจับจ่าย รวมถึงของธนาคารต่างๆ หากต้องใช้งานพิเศษ แม้กระทั่งการละเล่นแข่งขันใดๆ ก็ต้องอาศัยเข้าร้านเช่า
ในร้านที่ธนลภย์พาเธอมานี้มีเด็กชายชาวขยะเปียกคลาคล่ำ กระดานไฟฟ้าหนึ่งเครื่องมีเด็กรุมหลายคน แต่ละคนส่งเสียงเฮละโลเมื่อแข่งชนะ หรือโฮ่ร้องด้วยความเจ็บใจเมื่อพ่ายแพ้ เด็กหนุ่มพาเพื่อนใหม่หลบมาดูเรื่องลึกลับสำคัญในมุมหนึ่งของร้าน ผนังด้านนี้ตีสังกะสีผุล้อม แม้ภายในเปิดไฟแต่ก็ให้แสงสลัว
‘ไม่มีหลักฐาน แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่าเรื่องที่คนพวกนี้เล่ามาเป็นความจริง ใครเป็นคนเล่าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ’ คนถามไม่ได้เงยขึ้นมาจากกระดาน ตอนนี้เธอกำลังอ่านถึงคดีที่ว่าด้วยเด็กหญิงผู้มีความสามารถพิเศษด้านกายกรรม ว่องไวเกินจับตา และสามารถป่ายปีนขึ้นที่สูงได้คล่องราวกับสัตว์
นั่นทำให้ธนลภย์หวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่เขาอยู่บนเก๋งของเจ้าหน้าที่รปภ. กำลังจะถูกส่งตัวออกจากสถานปริศนาแห่งหนึ่ง จู่ๆ กิ่งไม้ใหญ่ร่วงลงมารุนแรงราวถูกขว้างโดยผู้มีพละมหาศาล มันทะลุกระจกหน้ารถเข้ากระแทกศีรษะคนขับของเขา เลือดและมันสมองทะลักกระจาย จากสภาพการณ์ ดูจะไม่มีใครคิดว่านั่นเป็นอุบัติเหตุเพราะลมฝน เจ้าหน้าที่หลายคนวิ่งมาตรวจสอบพื้นที่ ระหว่างนั่งรถจากมา ปลายตาเห็นคลับคล้ายเงาใครคนหนึ่งยืนอยู่บนคาคบบนต้นไม้นั้น…
เขาตอบคำถามเพื่อนว่า ‘ไม่มีใครรู้หรอกว่านี่เป็นเรื่องจริงรึเปล่า แต่มันถูกเล่ามาสักพักแล้ว แต่ละเหตุการณ์ต่างกัน แต่มีลักษณะร่วมแบบเดียวกัน คือคนร้ายไม่ได้สติ แล้วจู่ๆ ก็อาละวาด ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ จนได้มาเจอด้วยตัวเอง’
‘มีภาพเคลื่อนไหวหลุดไปอย่างนั้น ตอนนี้คนคงไม่คิดสงสัยอะไรกันอีกแล้ว’
‘ก็คงอย่างนั้น’
‘ว่าแต่นายน่ะ มาเจอเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน’ เธอหมายถึงเรื่องราวต่างๆ ในแอบประเคนฉันเถื่อนนี่
ธนลภย์เตรียมใจไว้แล้วสำหรับคำถามนี้ ‘เราเป็นเด็กซิ่วไง ระหว่างรอสอบใหม่ปีนี้ก็พยายามอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ เจออะไรน่าสงสัยก็ไปค้นข้อมูลต่อ เธอไม่รู้สึกเหรอ เรื่องในหนังสือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเราจริงๆ มันไม่เห็นเหมือนกันเลย’
อีกฝ่ายไม่ตอบ ยังจ้องแน่วอย่างยากจะบอกว่ากำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไร
เขาจึงพูดต่อ ‘ค้นไปค้นมา เราเจอข้อมูลหลายอย่างที่กลับตาลปัตรจากในหนังสือเรียน เป็นข้อมูลที่ทำให้รู้สึกว่าที่แท้ตัวเองเข้าใจผิดมาตลอด ตอนแรกเราก็สงสัยนะว่ามันเชื่อได้จริงรึเปล่า เพราะถ้ามันจริง ก็แสดงว่าเรื่องในหนังสือเรียนเป็นนิทานหลอกเด็กน่ะสิ เราเลยลองค้นดูว่ามีคนคิดอย่างนี้บ้างมั้ย’
‘คิดว่าถูกหลอก?’
‘ใช่’
‘ข้ามรายละเอียดพวกนั้นไป’ เธอโบกมือ ‘เราแค่อยากรู้เรื่องอาการประหลาดๆ ของคนพวกนี้’
‘ได้สิ’ เขายิ้มอย่างรู้ทัน ‘เราจะตอบคำถามของเธอก่อน เลอไถง’
‘ขอบใจ’
เด็กหนุ่มกำลังจะอ้าปากต่อ ทว่าฉับพลัน เสียงระเบิดก็ดังตุ้ม! มันค่อยๆ ไล่จากที่ไกลๆ มายังที่ที่เขาและเธอนั่งอยู่ ตุ้ม! ตุ้ม! ธนลภย์ทะลึ่งลุกด้วยความตระหนก แต่แล้วพบว่าชายเสื้อเกี่ยวกับโต๊ะที่รีทรายโก้ขึ้นไม่ดีนัก จังหวะที่เครื่องยิงระเบิดเลยมาถึงเหนือศีรษะ เป็นเวลาเดียวกับที่เขาออกแรงทั้งตัวกระชาก
เฮือก!
“ให้เฝ้าร้านดันมานั่งหลับนะ ไอ้ลภ!”
เสียงแผดดังข้างหูจนเขาต้องห่อตัวลงตกใจ ตอนนั้นเองภาพเบื้องหน้ากระจ่างขึ้น ไม่ใช่เมื่อวันก่อน ไม่ใช่ในร้านเช่ากระดานไฟฟ้า เรากำลังนั่งอยู่หน้าร้านที่บ้านต่างหาก!
อาคารในเขตขยะทั่วไปช่วงถนนนี้เป็นที่อยู่ของชนเชื้อสายจีน แต่ละหลังเปิดหน้าร้านที่ชั้นล่าง พักอาศัยในชั้นบน สินค้าที่จำหน่ายมีตั้งแต่สมุนไพรนำเข้า ของสด ของแห้ง ขนมเปี๊ยะไส้ต่างๆ ทั้งไส้กิ้งก่า หนูท่อ แมลงสาบ ไปจนถึงของแพงกว่าอย่างไส้ไข่เค็ม หมูย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้จากการปลูกด้วยเค็มมี ธนลภย์เคยคะยั้นคะยอให้อากงอาม่าหันไปขายของพวกนั้น แต่ทั้งสองยืนกรานว่าจะขายสินค้าประเภทเดิม ไม่สนใจว่ามันเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อมที่แย่อยู่แล้วให้หนักข้อยิ่งๆ ขึ้นไป
‘ถึงเราไม่ขาย บ้านอื่นมันก็ขายอยู่ดี พิธงพิธีอะไรมันก็ยังต้องใช้กระดาษไหว้เจ้า!’
‘แต่เราทำเป็นร้านทางเลือกก็ได้นี่อาม่า แบบที่เขาใช้ลูกโป่งมาแทนปะทัด ธูปไฟฟ้าแทนธูปที่ต้องเผาจริงๆ แล้วพวกกระดาษเงินกระดาษทองที่ต้องเผาก็–’
‘ขายน่ะขายได้ แต่ลูกค้ามันจะซื้อรึเปล่า ของแพงๆ แถมยังผิดหลัก’
‘หลักอะไรอาม่า ของพวกนี้ก็คนเราเองคิดกันมาทั้งนั้น มัวแต่ไหว้ให้คนตาย คนเป็นก็ดมควันพิษดมฝุ่นพิษกันเข้าไป ถ้าพวกผมตายก่อน เดี๋ยวไม่มีใครไหว้อาม่ากะอากงนะ’
‘ไอ้ลภ! ไอ้ปากเสีย! ลบหลู่บรรพบุรุษอย่างนี้ไงมันถึงสอบไม่ติดกับเขาน่ะ!–’
ใช่แล้ว นี่คือหน้าที่ของเขา
ไม่ใช่แค่เฝ้าร้านขายของ ทว่าต้องหุบปาก จงเชื่อในสิ่งที่บรรพชนเชื่อ ทำตามสิ่งที่บรรพชนทำ ความเชื่อและการกระทำตามบรรพชนนี่แหละทำให้เงินไหลเข้าบ้านตลอด อย่างแน่นอนและเห็นจริง!
คู่สนทนาของเขาคือหญิงสูงวัยจนหลังเริ่มค่อม การเคลื่อนไหวเริ่มช้า ทว่าด้วยนิสัยทำให้ยังกระฉับกระเฉง อาม่าแข็งแรงกว่าอากงทั้งที่อายุน้อยกว่ากันไม่เท่าไหร่ อาจเพราะแต่ไหน รายหลังมักนั่งเฉยๆ ปล่อยให้ภรรยาวิ่งพล่านไปทั่วร้าน
แม้ลักษณะภายนอกต่างกัน แต่ความคิดเรื่องการดำเนินธุรกิจของครัวเรือนไม่ต่างกันเลย อากงกับอาม่าเป็นคนเลี้ยงธนลภย์มาตั้งแต่เล็ก อาปากับอาม้าของเขาเสียชีวิตเนื่องจากถูกโจรฆ่าชิงทรัพย์ระหว่างไปรับของที่สั่งทำจากคนในชุมชนขยะเปียก ทิ้งไว้เพียงสร้อยกับจี้เล็กๆ เลี่ยมเส้นผมของทั้งคู่ไว้ดูต่างหน้า อาปากับอาม้าเป็นคนหัวสมัย คิดว่าการกระจายรายได้เป็นสิ่งสำคัญ การให้โอกาสและเชื่อใจในเพื่อนมนุษย์ก็ยิ่งสำคัญ ความตายของทั้งคู่เป็นบทพิสูจน์ให้อากงกับอาม่ากำจัดความเชื่อเหล่านั้นไปโดยสิ้นเชิง
ธุรกิจกระดาษไหว้เจ้าได้กำไรค่อนข้างดี แถมมีโอกาสเลี่ยงภาษีได้มาก ปกติหากไม่จ่ายภาษี ชาวขยะละแวกบ้านเขาจะต้องถูกเกณฑ์เข้าไปทำงานในแผนกขยะทั่วไป ใครๆ ก็ว่างานหนักและสกปรกจนน่าขนหัวลุก สมัยก่อนธนลภย์ไม่อยากเชื่อว่าจนถึงเดี๋ยวนี้ ทางการยังไม่ปรับปรุงให้กระบวนการต่างๆ ทันสมัยและสะอาดปลอดภัย จึงลองค้นดูข้อมูลในโลกอรลาย
แหล่งข้อมูลอธิบายว่า หลังจากขยะถูกส่งเข้ามาในสยามอลังการผ่านอุโมงค์ยักษ์ใต้ดิน เจ้าหน้าที่จะคัดแยกขยะออกเป็นประเภทต่างๆ แล้วส่งต่อแต่ละแผนก โดยทั่วไปขยะ ๓๐๐ ตันจะแยกเป็นขยะเข้าเตาเผาจริงได้ ๑๐๐ ตัน แปรเป็นพลังงาน ๑ เม็ดกระหวัด ทุกหนึ่งเม็ดกระหวัดใช้น้ำ ๑๒๐ ลูกบาศก์เม็ดกระบวนการคัดแยกที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ ปนเปื้อนขยะพิษหรือกากอุตสาหกรรมอันตราย ครั้นถูกเผาแล้วจะยิ่งก่อมลพิษ ทั้งสารพิษ น้ำเสีย กากตะกอน และก๊าดพิษต่างๆ
ขยะที่แยกได้จะถูกรถตักขยะเทสู่เตาเผาแบบตะกรับ ความร้อนไม่ต่ำกว่า ๘๕๐ องศาเซียวซีดความร้อนเป็นตัวการให้กลิ่นเหม็นขยะสลายไป ไอเสียความร้อนสูงจะถูกดูดสู่ระบบหมุนเวียนไอน้ำ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นไอน้ำที่มีความร้อนและความดันสูง ป้อนสู่ชุดกำเนิดไฟฟ้า ไฟฟ้าจากกระบวนการนี้จะถูกส่งขายให้ต่างประเทศเป็นหลัก นับเป็นรายได้หลักอีกส่วนของทางการ ส่วนชาวขยะอาศัยไฟเฉพาะที่ผลิตได้จากโสรัจจ์เซียวภายในสยามอลังการ พอบ้างไม่พอบ้าง เพราะแม้สยามอลังการจะตั้งอยู่กลางทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แต่โรงงานก็เต็มไปด้วยหมอกควันบดบัง เป็นผลให้โสรัจจ์เซียวทำงานได้ไม่เต็มที่
หลังจากกระบวนการเผา ขยะจะกลายเป็นเถ้าหนักและเถ้าลอยขนาดประมาณร้อยละ ๒๐-๔๐ ของขยะก่อนเผา ตามหลักแล้วจะต้องนำไปตรวจสอบปริมาณสารก่อมะเร็งจำพวกใดออกสินและโลหะหนักอื่นๆ ก่อนนำไปฝังกลบในบ่อขยะที่ได้มาตรฐาน แต่อย่างที่รู้กัน มาตรฐานของสยามอลังการนั้นก็คือความไม่ได้มาตรฐาน และการร้องเรียนใดๆ มักนำไปสู่การถูกฟ้องกลับ หรือบางทีถูกจับกุมหายตัวไปลึกลับ ไม่เหลือแม้แต่เถ้าร้อยละ ๒๐-๔๐ ด้วยซ้ำ จึงมีคำกล่าวของพวกชังถังว่า ขยะที่พวกฝาถังกำจัดได้หมดจดที่สุดก็คือชีวิตของประชาชนชาวขยะใต้ปกครองนั่นเอง
ธนลภย์บิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงข้อลั่น ปากว่า “ตะกั่วในกระดาษเงินกระดาษทองพวกนี้มันคงสะสมในตัวผม จนเวียนหัวแล้วหลับไปน่ะอาม่า”
“ซี้ซั้วต่านะอาลภ!” แม้ปีเกิดของอาม่าจะห่างไกลจากยุคสมัยจีนโพ้นทะเล ทว่าแกก็ยังติดพูดไทยคำจีนคำ — แน่นอน นั่นช่วยให้คนซื้อส่วนใหญ่ชอบใจว่าได้อุดหนุน ‘พวกเดียวกัน’ จริงๆ “ถ้าป่วย ลื้อก็ต้องใช้เงินอยู่ดี ไม่ทำงานนี่แล้วลื้อจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาตัว!”
“คนเรามันควรจะมีทางเลือก…”
เสียงอุบอิบของเขาคงเบาเกินกว่าอาม่าจะได้ยิน แกขนถุงฮวงแซจี้จากที่เก็บชั้นบนลงมาแขวนเพิ่มที่ชั้นล่าง ปากยังบ่น “ปีนี้ท่าจะแย่ เศรษฐกิจไม่ฟื้น แล้วยังมีมาเรื่องโรคผีประหลาดนั่นอีก”
“โรคผีประหลาด?”
“ก็ไอ้เด็กที่อาละวาดกินสมองคนนั่นไง”
อาม่าหมายถึงวันเนาว์ “มันเกี่ยวยังไงล่ะอาม่า”
“ก็คนมันกลัวกันใหญ่ อาแช–” เจ้าของร้านขายส่งวัตถุมงคลใกล้ๆ กัน “—บอกว่าสองวันนี้ลูกค้าหายหมดเพราะแห่ไปซื้อไอ้เหรียญ ม. ๔๔ อะไรนั่น ตลาดพระคร่งพระเครื่องตอนนี้คงปั๊มกันจ้าละหวั่น”
ธนลภย์นึกถึงตลาดพระเครื่องซึ่งอยู่แถวอนุสาวรีย์บรรพบุรุษท่าน กดอ. อนุสาวรีย์นี้เป็นที่ที่ชาวขยะมักเข้าไปกราบไหว้ขอพรเพราะเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก รอบๆ บริเวณเป็นแผงขายเครื่องรางของขลัง ใบหน้าของบรรพบุรุษท่าน กดอ.ก็ถูกจำลองลงเหรียญในรูปแบบต่างๆ เช่นกัน รุ่นมงคล ๔๔ หรือที่ชาวขยะเรียกย่อว่า ม.๔๔ นั้นนับถือกันมากในหมู่ฝาถังมาก่อน ว่ากันว่าใครใช้รุ่นนี้ ออกปากอะไรเป็นได้อย่างนั้น
แต่ผลที่ตามมาจากนั้นก็เป็นอีกเรื่อง
เด็กหนุ่มผู้ติดตามประวัติศาสตร์การปกครองของเมืองโรงงานมานานแสร้งถาม “เขาแน่ใจเหรอว่ามันจะช่วยกันผีได้จริงๆ”
“คนเขาถือว่าท่าน กดอ.เป็นพ่อเป็นลุงตัวเอง บรรพบุรุษท่านก็ถือเป็นบรรพบุรุษตัวเองด้วย ยังไงบรรพบุรุษก็ต้องปกป้องคุ้มครองลูกหลาน เหมือนอาปาอาม้าลื้อไง”
ถ้อยและท่าพยักของอาม่าเรียกให้เด็กหนุ่มยกมือแตะจี้ที่ห้อยแปะอก ตัวสร้อยและจี้ใช้วัสดุพิเศษมีน้ำหนักเบา อีกทั้งอาปาอาม้าก็มีน้ำหนักเบา… หมายถึงเบาต่อใจของเขา เพราะเขาแทบจำพวกท่านไม่ได้เลย เวลาปกติธนลภย์จึงแทบลืมไปว่ามีสร้อยเส้นนี้ติดอยู่กับตัว
อาม่าพูดต่อไปว่า “พวกที่ตอนแรกไม่เชื่อไอ้เหรียญนี่เท่าไหร่ มาตอนนี้ ทางการกับยายกรุณาอะไรนั่นออกมาประกาศซะขนาดนั้น จะกลายเป็นหันมาเชื่อกันก็ไม่แปลก”
“นั่นสินะ” เขาทวนคำ ละมือลงจากจี้ “คนจะเชื่อกันก็คงไม่แปลก”
ก็เหมือนกับทุกๆ เรื่อง…
……………………………………