-๖-

เมืองพิชัย
…………..

เยียรยงคงถูกชนล้มถ้าไม่เพราะธนลภย์ฉุดมือหลบไปด้านข้างเสียก่อน แม้แผลที่ตักของเจ้าตัวจะยังไม่หายดี แต่เด็กหนุ่มก็คล่องแคล่วพอตัว ขณะเดียวกัน ชายในหัวโขนทะยานต่อไปราวกับมองไม่เห็นเธอ ถนิมพิพาภรณ์สั่นส่ายดังกลิ๊กๆ ตามร่างนั้นไปสู่อีกทางแยกหนึ่ง แต่แล้วก็หยุดนิ่งเหมือนต้องสาปตามเก่า

“อะไรของเขา” เยียรยงบ่น กลับมาลงน้ำหนักบนเท้าของตัวเองได้อย่างระมัดระวัง

ธนลภย์กำลังเพ่งมองแผ่นหลังใครคนนั้นเช่นกัน ด้วยความคิดบางอย่าง เสียงเจ้าตัวเยือกสั่น “รีบไปกันเถอะ”

“เดี๋ยวก่อน!” เยียรยงปัดมือเพื่อนที่พยายามลากจูง ดุ่มดั้นไปยังชายในหัวโขนที่แทบชนเธอล้ม “คุณ ขอโทษนะคะ!–”

เสียงถามชะงักแค่นั้น แล้วปลายเท้าก็ชะงักทั้งที่ยังไม่ทันถึงตัว มุมมองใหม่ทำให้พบว่า ตรงหน้าชายคนดังกล่าว ห่างไปราวห้าก้าว ใครอีกกลุ่มกำลังยืนอยู่

หน้ากำแพงตันมีรูเท่าคนลอดอยู่ข้างล่าง ร่างสันทัดประเปรียวสามร่างยืนชิดกันอยู่ แต่ละรายสวมเสื้อแขนยาว โจงและถุงเท้ายาวสีนิลกาฬ แต่ละมือช่วยกันบังคับหุ่นละครเล็กรูปหนุมานให้ยืนตั้งอยู่ในระดับเอว ร่างของขุนลิงจึงค่อนข้างบดบังใบหน้าผู้เชิดทั้งสามที่อยู่ด้านหลัง

ทันใดนั้น ชายในหัวโขนยักษ์คำรามดัง “เหวยไอ้ลิงป่ากาลี นามกรมึงนี้เป็นไฉน จึ่งทำอาจองทะนงใจ มาลุยไล่ล้างเหล่าอสุรา ไม่เกรงกูผู้วงศ์พรหเมศ ลือเดชทั่วทศทิศา ทรงเทพอาวุธอันศักดา จะผลาญชีวาพานร”

โดยหุ่นละครยังอยู่กับที่ราวตรึงไว้ ผู้เชิดในชุดดำทั้งสามเคลื่อนร่างเพียงเล็กน้อยพอให้เห็นหน้า เยียรยงขนลุกในพลัน ใบหน้าแต่ละรายเตือนให้หวนระลึกถึงใครบางคน

วันเนาว์!

เพื่อนที่ป่วยและเป็นต้นเหตุให้เธอสลบไสลไปเมื่อวันก่อน!

ใช่แล้ว ใบหน้าอันเผือดซีดจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นชัดเจนละม้ายลายหินอ่อน ดวงตาเหลือกโพลงจนเห็นพื้นที่ตาขาวล้อมรอบ และราวจะกัดกินดวงตาดำไปหมดสิ้น ทุกดวงตาจ้องตรงมาที่ชายหัวโขนราวกับปีศาจสามหัว ริมฝีปากสีสวาดบนทั้งสามหน้าค่อยๆ ชักขึ้น น้ำลายเหนียวข้นยืดเยิ้ม และแล้วเห็นแผงฟันคม เฉพาะคนขวาสุด บนแผงฟันนั้นยังมีเลือดกบ เลือดที่ทำให้เยียรยงดึงสายตากลับมาที่ต้นคอของชายหัวโขน!

อย่างเงียบเชียบ ทั้งสามขยับข้อมือและอวัยวะต่างๆ อย่างสัมพันธ์กัน เป็นผลให้หุ่นหนุมานโลดเต้นตบมือ แสดงท่าอันเยียรยงแปลความขึ้นในใจได้ว่า

เหวยเหวยดูกรยักษี

เหตุใดมาว่าเรานี้                           ดูหมิ่นอสุรีนั้นผิดไป

ตัวกูผู้เดียวไม่มีเพื่อน                      พวกเอ็งกล่นเกลื่อนนับไม่ได้

เป็นหมู่หมู่กรูกันเข้าชิงชัย                 จนใจจึ่งต้องโรมรัน

ไม่รู้ธนลภย์นึกถึงบทกลอนพวกนั้นได้เช่นเดียวกันหรือไร จู่ๆ เพื่อนใหม่วิ่งเข้ามากระชากมือเยียรยง พยายามกดเสียงเบา “เราต้องรีบหลบ!“

ไม่ใช่เพราะสัญญาณการบุ้ยบ้าย สิ่งที่เรียกให้เด็กสาวหันตามคือเสียงฝีเท้าตึงตังจากอีกทางแยก คนอีกกลุ่มนำด้วยเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบ รปภ. กำลังกระเหี้ยนกระหือรือมาทางนี้

เยียรยงเบิกตา แม้ในซอยจะค่อนข้างสลัวและมีม่านฝุ่นบางๆ เธอยังจำแนกได้ “พี่ยรร–!”

ธนลภย์ตะปบปากเธอไว้ด้วยมือของเขา เยียรยงถูกลากมาหลบในทางแยกเดิมที่ชายหัวโขนยืนนิ่งอยู่แต่ต้น เพื่อนหนุ่มกดเธอให้นั่งลงหลังถังสังกะสีผุกร่อน ด้วยถังนี้และผ้าที่พาดอยู่มากมาย คนกลุ่มนั้นจะไม่มีทางสะดุดตาเธอและเพื่อนง่ายๆ

“ทำไมต้องไม่ให้พี่เรารู้” เยียรยงถามเพื่อนเบาๆ

“ลืมไปแล้วเหรอว่าเรามาที่นี่กันเพราะเรื่องอะไร” ธนลภย์ตอบพลางโผล่หน้าออกไปนิดหนึ่งเพื่อลอบสังเกตการณ์ ครั้นเยียรยงทำตาม เธอพบว่าจากจุดนี้พอจะเห็นเหตุการณ์ชัดแจ้ง

“นี่แหละใต้เท้า!” ชายผู้หนึ่งที่วิ่งตามยรรยงมาชี้ไปทางแผ่นหลังชายหัวโขน รายนี้สวมชุดดำแบบเดียวกับคนเชิดหุ่นละครเล็ก อีกหลายคนที่วิ่งมาด้วยก็สวมชุดเหมือนกัน ทั้งหมดมาหยุดตรงทางแยก “ไอ้สามคนนั้นมันซ้อมอยู่แล้วโดนครูเดินไปด่า เลยบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ จู่ๆ เชิดหุ่นขึ้นล็อคคอครูลงมากัด แล้วก็วิ่งหนีออกมา”

อีกรายที่หยุดยืนใต้กลุ่มใบปิดรูปหน้าท่าน กดอ. บ่นว่า “ครูวรัตต์แกเป็นครูที่ฝ่ายปกครองส่งมาช่วยดูเด็กถึงนี่แท้ๆ”

“สาอะไรกับไอ้ลิงไพร ที่ไหนจะทนศรสิทธิ์–” ครูวรัตต์ผู้ยังอยู่ใต้หน้ากากยักษ์ไม่ได้สนใจพวกที่ตามมาข้างหลัง ยังจ้องเด็กนักเรียนทั้งสาม “บัดนี้จะสิ้นชีวิต ด้วยฤทธิ์ของกูผู้ศักดา”

เห็นได้ชัดว่าผู้น้อยที่ถูกจ้องก็หาได้ระย่อ เชิดหุ่นต่อทั้งๆ ที่น้ำลายยังเยิ้ม อย่างไรก็ตาม บางอย่างชวนให้รู้สึกว่า หุ่นไร้หัวใจนั่นต่างหากที่กำลังเชิดเด็กทั้งสามคน

เป็นลูกทศพักตร์ยักษี                      พาทีอาจองทะนงจิต

อ้างอวดศักดาวราฤทธิ์                    ถึงมีศรสิทธิ์มารอนราญ

ตัวกูจะสู้แต่มือเปล่า                       หักเอาด้วยกำลังหาญ

ฆ่าเสียให้สิ้นสุดปราณ                     ทั้งพวกพลมารที่ยกมา

เมื่อนั้น ครูวรัตต์กระทืบเท้า ท่าทีโกรธราวไฟรุม ตวาดปานฟ้าลั่น “เหม่ไอ้ลิงไพรใจฉกรรจ์ กูจะหั่นให้ยับลงกับกร” ว่าแล้วหันมาส่งสัญญาณให้พวกข้างหลัง “พวกมึง! ล้อมจับไอ้เด็กไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่นี่ วันนี้กูจะเอาเลือดหัวมันออก!”

ชาวชุดดำโรงเรียนนาฏศิลป์รับคำสั่ง เตรียมจะเฮเข้ารุมกันอึงมี่

ยรรยงรีบส่งสัญญาณมือให้หยุด จากนั้นพยักกับคนของตัวเอง ทำนองบอกให้เข้าประชิดตัวผู้ก่อเหตุวุ่นวายอย่างไร

รปภ. ที่รับคำสั่งต่างคว้าหน้าไม้ขึ้นมา ต่อเมื่อยิงออกไปก็กลายเป็นแหใหญ่โรยคลุมคนทั้งสาม ผู้เชิดขุนลิงพยายามถีบตบขบกัดเป็นพัลวันแต่ก็ไม่อาจพ้นเป็นอิสระ ครูวรัตต์วิ่งเข้าไปหมายชกเข้าที่หน้ารายหนึ่ง แต่ยรรยงกันออก รปภ. อีกรายเอากระบองไล่ตีคนในแหให้อยู่ในความสงบ และแล้วก็ลากกันไปตามทางแยกที่พากันวิ่งมาแต่ต้น

ก่อนที่ธนลภย์จะห้ามอะไร เยียรยงก็รีบลุกตามไปแล้ว เลี้ยวจากทางแยกนั้นไม่เท่าไหร่ก็ถึงซอยขนาดใหญ่กว่า นี่คงเป็นซอยพิชัยที่ว่า สภาพโดยรวมยังคงไม่งดงามโอ่อ่าเช่นตึกรามในเขตรีทรายโก้ และยิ่งห่างไกลจากชุมชนฝาถัง แต่ก็นับว่ายังดีกว่าซอยลัดนั่นมากโข

ในซอยพิชัยมีคนออรออยู่ พวกผู้ใหญ่หน้าดำหน้าแดงด้วยโทโส เยียรยงเคยได้ยินว่าชาวนาฏศิลป์บูชาครูนัก เหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับพวกเขา เฉพาะเด็กและวัยรุ่นลงมาเท่านั้นที่สายตาสงสัย เหมือนล้อมเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่า

“ว่าแล้วต้องเป็นไอ้สามตัวนี้!” ผู้ใหญ่รายหนึ่งตะโกนดุดัน “คราวก่อนมันก็ทำพานไหว้ครูห่าเหวนั่นทีนึงแล้ว!”

หลายปีที่ผ่านมา แต่ละโรงเรียนมักเปิดโอกาสให้นักเรียนทำพานไหว้ครูด้วยความคิดสร้างสรรค์ ทว่าระยะหลัง เมื่อการลงคะแนนเรื่องแผนแม่บทร่นเข้า แถมเกิดกระแสแปลกๆ ในหมู่เยาวชน พานไหว้ครูก็กลายเป็นประดิษฐกรรมที่เด็กๆ ใช้ส่งต่อแนวคิดพวกชังถัง แม้แต่ในโรงเรียนเยียงยงซึ่งนับว่าเป็นโรงเรียนชั้นดี ก็ยังมีพานทำนองนี้หลุดลอดเข้ามาหลายพาน

ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง พวกฝาถังไม่ถูกใจสิ่งนี้ เยียรยงคิดว่าลึกๆ พวกเขาคงอิหลักอิเหลื่อ พิธีไหว้ครูเป็นงานสูงส่ง จะยกเลิกก็ไม่ได้ ขณะเดียวกัน จะสั่งห้ามเด็กใช้ความคิดสร้างสรรค์ก็จะดูไม่ดี เด็กสาวเดาว่าท้ายสุดทางออกอาจเหมือนเรื่องการแนะนำหนังสือของท่าน กดอ. ปีต่อไปทุกพานอาจต้องตกแต่งด้วยรูปอวกาศนอกดาราจักรทางช้างเผือก

“ก็เพราะปล่อยปละไว้น่ะซี่ ไอ้พวกนี้ถึงลามปามทำเหมือนหมา!” เสียงของครูวรัตต์ดังชัด แสดงว่าน่าจะถอดหัวโขนแล้ว แต่ตอนนี้แกลุเข้าไปในอาคารหนึ่งพร้อมด้วยแหติดลิงทั้งสามและกลุ่ม รปภ. เยียรยงจึงสามารถพรางตัวแนบเนียนมารวมกลุ่มคนที่อออยู่หน้าประตูเพื่อสังเกตการณ์ ถึงกระนั้นก็ยังถูกบังและห่างเกิน เห็นไม่ถนัดว่าครูวรัตต์ถอดหัวโขนนั้นวางไว้ไหน

แล้วใครจะรู้ว่าตกลงแกกำลังถอดหรือใส่

“กระบองมึงช้าไยให้กูมา!” เสียงแกดังอีก เยียรยงตัวเตี้ยจนต้องพยายามเขย่งชะเง้อ เธอเห็นครูวรัตต์ฉวยอาวุธจากเอวยรรยง พี่ชายเธอไม่กล้าขัด เด็กสาวถึงกับอ้าปากค้างเมื่อแกเงื้อมันขึ้น ก่อนฟาดลงที่หัวเด็กในแหเข้าเต็มรัก!

พลั่ก!

เสียงดังจนแม้แต่คนที่ล้อมเฮอยู่หน้าประตูยังถึงกับตกใจเงียบ เหลือแต่เสียงเพลงซ้อมรำที่ดังแว่วๆ มาจากอาคารไหนสักแห่งละแวกนี้

–ศิษย์ทำตัวไม่ดี                            ท่านเต็มที่แก้ปัญหา (พลั่ก!)

สั่งสอนบ่มวิชา                              ป้อนปัญญาให้เห็นทาง (พลั่ก!)

เหนื่อยกายก็ไม่บ่น                         ครูสู้ทนจนเหงื่อจาง (พลั่ก! พลั่ก!)

วางใจไว้เป็นกลาง                          ตื้นลึกบ้างก็ศิษย์ตน (พลั่ก!)

พรหมเทพบริวาร                           บนสวรรค์จงช่วยยล (พลั่ก!)

คุ้มครองอาจารย์จน                        ทุกแห่งหนทั่วสาขา (พลั่ก!)

พานเทียนพานดอกไม้                     ทำด้วยใจเพื่อบูชา–

“พะ…พอเถอะครับครู!” ชายวัยกลางชุดดำรายหนึ่งพุ่งเข้าไปกัน ยกมือกราน

ครูวรัตต์ผลักห่างพลางชี้นิ้ว ตอนนี้หน้าแกแดงเหมือนเลือดพร้อมจะระเบิดออกมา “ทำใจดีอย่างนี้ ควรหรือ ครูเจ้า พวกเฮี่ยจึงกลับหือ ใส่ได้ ‘ฝาถัง’ นั่งหารือ ส่งค่า มานี่ เป็นเยี่ยงปรากฏไว้ จุ่งให้สูจำ!”

คำพูดที่เลื่อนสู่โคลงสี่สุภาพแทน ดั่งสัญญาณว่าคนพูดยกตนข่มขึ้นอีกขั้น คนขอร้องซึ่งคงเป็นครูเจ้าของสถานที่ได้แต่คอย่น หน้าแหย โดยเฉพาะกับคำย้ำ ‘ฝาถัง’

“ว่าแล้ว!” เสียงคุ้นดังขึ้นข้างๆ เยียรยงเอี้ยวไปนิดๆ พอให้รู้ว่าธนลภย์ตามมาหยุดยืนตรงนี้แล้ว เจ้าตัวกระซิบต่อโดยไม่หันมา “พวกนี้ทำอย่างที่ตัวเองถนัด ดูนั่น มันมีแต่จะทำให้เด็กๆ โกรธ”

เด็กสาวกวาดสายตาตามการพยักเพยิด เป็นจริงตามที่เขาว่า นักเรียนช่วงต้นวัยรุ่นผอมแห้งนุ่งโจงยืนอยู่ริมผนังห้อง ๒-๓ คนกำลังก้มหน้า เห็นได้ชัดว่าในความสยบยอมนั้น แท้จริงจงใจซ่อนแววตา มือทั้งหมดกำแน่น

ด้วยสังหรณ์บางอย่าง เยียรยงเสกลับไปที่เด็กในแห ทั้งสามถูกทำร้ายจนได้แผลแตกหลายแห่ง ทว่าตลอดการทำโทษไม่มีเสียงร้องใดๆ แต่ละคนดิ้นพล่าน น้ำลายสะบัด เลือดกระจาย คล้ายความเจ็บปวดทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ความอึดอัดจากการถูกบีบบังคับในที่แคบต่างหาก!

น่าแปลก ดวงตาอันแทบปราศจากลูกตาดำของทั้งสามดูจะเพ่งจ้องไปยังจุดเดียว ที่เด็กๆ ผู้กำมืออยู่ตรงนั้น เยียรยงแทบขนลุกเมื่อพบว่าในที่สุดใบหน้ายับเยินจากการถูกตีกลับปรากฏรอยยิ้ม จากนั้นหันพร้อมกันราวกับถูกสะกดจิต ไปยังโต๊ะหมู่บูชาครู ไปยังเทียนที่ถูกจุดอยู่

อาการขนลุกนั้นต่อเนื่องกลายเป็นยะเยือกสั่น คนข้างๆ คงสัมผัสได้ จึงหันมาถาม “อะไรเหรอ”

“พวกเขาจะเผาที่นี่!”

“หา?”

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกผมเถอะครับครูวรัตต์” เสียงยรรยงแทรกขึ้น “เราต้องเอาตัวพวกนี้ไปรับโทษอยู่แล้ว”

เยียรยงไม่ทันตอบธนลภย์ แล้วก็ไม่ทันเห็น ไม่ทันได้ยินว่าครูวรัตต์มีปฏิกิริยาตอบรับพี่ชายเธอว่าอย่างไร เสียงร้องวี้ดว้ายดังขึ้นในหมู่ผู้ชม หันตามไปอีกทีก็ปรากฏว่าลิงทั้งสามฉีกแหลุกขึ้นพร้อมกันง่ายๆ ครูวรัตต์ผงะ “เฮ้ย!” แต่ผู้ถูกทำโทษไม่สนใจอีกต่อไป ลิงโลดเชิดหุ่นหนุมานไปที่โต๊ะหมู่บูชา กวาดเทียนล้มลงบนพื้นอันปูด้วยขยะแห้งอันเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี

“น้ำ!” คนที่มุงอยู่เริ่มร้อง แหวกวงเพื่อจะช่วยดับไฟ เยียรยงและธนลภย์ต้องรีบถอยห่างก่อนที่ยรรยงจะหันมาเห็นพวกเธอง่ายขึ้น

ท่ามกลางความอลหม่าน รปภ.ที่ถลันจะเข้าไปดับเปลวไฟด้วยฝ่าเท้ากลับถูกโดดขย้ำคอ และคราวนี้ไม่ใช่ฝีมือของสามลิงนั้น เด็กที่ก้มหน้าอยู่ข้างผนังห้องแต่แรกต่างหาก!

ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่สอง แล้วก็สาม! เด็กทั้งสามมีดวงตาแบบเดียวกับลิงทั้งสามตัว แบบเดียวกับวันเนาว์! ตาดำหดหาย ริมฝีปากแสยะปล่อยน้ำลายยืดเยิ้ม พุ่งเข้าโจมตีผู้คนแวดล้อมด้วยพละกำลังอันไม่น่าเชื่อ!

กลุ่มเด็กประหลาดจับเชื้อไฟโปรยทั่ว เปลวร้อนติดตรงนั้นตรงนี้ ยรรยง เหล่า รปภ. ครูและกลุ่มคนอีกส่วนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบถอยห่าง ครูวรัตต์เป็นคนสุดท้าย เยียรยงมองไม่เห็นว่าชะตากรรมของเจ้าตัวเป็นเช่นไร ได้ยินแต่เสียงโหยหวน แล้วก็ พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! ไม่ช้าเสียงร้องตกใจก็ดังขึ้นจากกลุ่มคนหน้าอาคาร บัดนี้ควันโหมออกมาเต็มไปหมด และแล้วร่างของครูวรัตต์ซึ่งมีไฟลุกท่วมก็วิ่งพุ่งออกมา

“ที่นี่จะไม่เหลืออะไรเลย!” เยียรยงยังคงตาค้าง ถึงอย่างนั้นก็ถอยห่างจากที่เกิดเหตุมาเพราะถูกเพื่อนรั้ง

“เธอรู้ได้ยังไง!”

“ผะ…เผาลงกา!” ริมฝีปากเหมือนจะขยับไปเอง เสียงเล็ดลอดเพียงกระซิบ

“ว่าไงนะ?!”

“เมื่อกี้ ที่ครูวรัตต์กับคนเชิดหนุมานต่อบทกันในซอยนั่น มันคือเนื้อเรื่องรามเกียรติ์ตอนอินทรชิตรบหนุมาน หนุมานไม่ได้แพ้ แต่แกล้งยอมถูกจับเพื่อการบางอย่าง” ในที่นี้คือทำให้เด็กที่ริมผนังนั่นกำมือแน่น แล้วก็—“ตอนนี้หนุมานได้ตามปรารถนาแล้ว ต่อไปมันจะเผากรุง เราต้องบอกพวกเขา!”

ก่อนที่เธอจะผลีผลามเข้าไปในความโกลาหล ธนลภย์กระชากข้อแขนอย่างแรงเหมือนเพื่อเรียกสติไปในตัว “ไม่ได้!”

“ถ้าที่นี่ถูกเผา ทุกอย่างที่เธอจะพาเรามาดูก็จบ!”

“มันไม่ได้จบแค่ที่นี่ เชื่อสิ เราต้องออกไป!”

ไม่พูดเปล่า ธนลภย์ดึงข้อมือเธอวิ่งสู่ปากซอยพิชัย ผ่านกลุ่มครู นักเรียน และคนที่อาศัยอยู่แถบนี้ซึ่งเริ่มได้ยินเสียงโวยวายจึงก้าวออกมาชะเง้อดูอยู่หน้าอาคารของตัวเอง

“รถรับจ้าง!” ก่อนจะถึงปากซอย รถคันหนึ่งวิ่งผ่าน ธนลภย์รีบตามให้ทัน แต่เยียรยงร้องบอก

“แพงนะ!”

“ฉันจ่ายเอง”

“เขาไม่รับอยู่ดีถ้านายไม่มีผมปลอม!”

“จริงด้วย!” คนได้สติวิ่งช้าลง ถอดกระเป๋าสะพายออกจากหลังแล้วลนลานควานมือลงไปหาของ ยังรีบร้อนทั้งที่ทิ้งห่างกลุ่มคนข้างหลังโดยเฉพาะยรรยงมาไกลแล้ว ในที่สุดมือใหญ่ก็คว้าได้ผมปลอมสีทองออกมา ธนลภย์รีบสวมหัว หยุดยืนพอดีที่บาทวิถีตรงปากซอย กางมือเรียกรถ

นี่คือธรรมเนียม ถ้าไม่มีผมปลอมสีทองใส่ตอนโบกเรียกก็ยากจะได้รับบริการ คล้ายๆ เวลาเจ้าหน้าที่ศาลของพวกต่างชาติว่าความนั่นละ มันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการให้ความเป็นธรรม นัยว่าคนขับรถจะสามารถถีบราคาได้ตามความจำเป็นของการใช้ชีวิตของพวกเขา

ไม่ช้าก็มีรถรับจ้างโฉบมาจอด ทั้งสองคนรีบผลุบเข้าไปในนั้น ธนลภย์ชะโงกบอกสารถี “ขับไปเลยครับ!” ทันทีที่รถออกตัว คนบอกก็แทบจะทิ้งตัวพิงพนักถอนหายใจ เยียรยงเองก็นั่งหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอไม่สันทัดการออกกำลังมาแต่ไหน

ไม่มีใครสังเกตว่าเก๋งอีกคันที่ขับตามรถรับจ้างมาแต่ต้นค่อยๆ เลี้ยวเข้าซอยพิชัย ถึงอย่างนั้นคนข้างหลังพวงมาลัยก็แทบจะยังเห็นภาพพวกเขาอยู่หลังม่านตา

เดาไม่ผิด! ริมฝีปากของขุนระเบ็งบิดมุมหยัน แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เราควรสนใจตอนนี้

ผู้บังคับบัญชาของยรรยงย้ำปลายเท้าลงบนคันเร่ง พารถพุ่งต่อเข้าไปในซอยที่เริ่มมีควันดำโหมขึ้นทุกที มือใหญ่อีกข้างกระแทกใส่แตรดังไปตลอดทาง

. . . . . . . . . .

 

เสียงหวอดังสะท้าน รถดับเพลิงกำลังฉีดน้ำเน่าเพื่อดับไฟซึ่งลุกลามอาคารในซอยพิชัยไปสามห้อง ขณะนี้เปลวไฟเริ่มรา ทว่าควันยังโหม ผู้คนรายล้อมถูกกันไว้แค่ข้างนอก ต่างมองความพินาศด้วยความโทมนัส นักข่าวกำลังรายงานว่าห้องข้างๆ โรงเรียนพิเศษต้นเพลิงนั้นมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ อันเป็นแหล่งรวมของล้ำค่าทางนาฏศิลป์ไทยในอดีตไว้มากมาย ตัวเลขความเสียหายยังไม่อาจประเมิน ตัวเลขผู้เสียชีวิตเท่ากับเจ็ด บาดเจ็บอีกห้า

“อุบ๊ะ! ท่านผู้ชมกรุณาจ้อง นี่คือน้ำมือยุวชนของท่าน ผิว่าปล่อยปละกันก็จักโดนอ้ายพวกชังถังล้างขมองเยี่ยงนี้ปะไร อ้ายพวกตำบอน มึงทำเกินไปแล้ว!–” ผู้ประกาศข่าวสาวใหญ่ช่องเนติ์สั้นกัดฟันส่งเสียงแหบเสียงแห้งดังมาจากข้างหลัง ร่างสูงของขุนระเบ็งจำต้องก้าวห่างออกมาเพื่อคุยโทรศัพท์ต่อ

“เยี่ยงไรนะขอรับ กระผมมิใคร่ได้ยิน แถบนี้เสียงดังยิ่ง” ขุนหนุ่มพินอบพิเทากว่าทุกที

“ผมถามว่าคุณรู้มั้ย เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันใหญ่แค่ไหน!” การระเบิดเสียงจากปลายสายทำให้เขาแทบต้องเบี่ยงหน้าหนี แต่นั่นย่อมไม่สำเร็จ โทรศัพท์ถูกสอดไว้ในรูหูเขาอยู่ดี

“หน่วยของกระผมอุตสาหะถึงที่สุดแล้วขอรับท่านหลว–”

“ไม่พอ!” เสียงแผดมาอีก “ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันทำให้เบื้องบนไม่พอใจมากๆ นี่คำสั่งออกมาแล้ว คุณคงได้พักยาว!”

“อะไรนะ!” เขาหลุดปาก ความวุ่นวายในหัวพุ่งพล่านกว่าสถานการณ์รอบกายเสียอีก “ขะ…ขออภัยขอรับ แต่ว่า มาตรว่าเพลิงจักกินบริเวณค่อนข้างกว้าง ทว่านี่เป็นเพียงชุมชนขยะทั่วไปเล็กๆ แห่งเดียว–”

“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ!”

ขุนระเบ็งสะดุดปากงง “ท่ะ…ท่านหลวงหาได้หมายถึงเรื่องที่อ้ายพวกบ้านั่นมันจุดไฟย่านพิชัย?”

“ซอยเล็กๆ แค่นั้นใครมันจะไปสนวะ! ผมหมายถึงภาพเคลื่อนไหวที่หลุดออกมานี่ตะหาก!” คงเพราะรู้สึกว่าเขานิ่งงัน ท่านหลวงจึงสำทับถาม “นี่อย่าบอกนะว่าคุณมัวสนใจไอ้ชุมชนบ้านั่นจนยังไม่ได้ดู?!”

“กระ…กระผม…”

“ปัดโธ่! คุณนี่มันสมควรโดนจริงๆ นี่ตอนแรกผมอุตส่าห์พยายามขอโอกาสแทน–”

“ท่านขอรับ” เขาขัดด้วยความรำคาญ พล่ามมากฉิบหาย สุดท้ายยังกะมึงช่วยกูได้! “กระผมขอดูภาพเคลื่อนไหวนั่นก่อนได้หรือไม่ขอรับ”

. . . . . . . . . .

 

“ไอ้พวกควาย!”

“แม่ประไพ เบาเสียงหน่อยจ้า!”

“กูสะใจมึงจะให้กูเงียบทำไม ไอ้คูน! มีอย่างที่ไหนโรงงานมันก็เจริญดีอยู่แล้ว เสือกตั้งท่าจะประท้วงให้เลิกใช้แผนแม่บท สมควรแล้วที่พวกมันโดนคดีเข้าตะรางกันไปให้หมด เฮอะ! บ้านเมืองสงบๆ แล้วไม่พอใจ มึงอยากจะวุ่นวาย อยากจะจุดไฟกันขึ้นมาอีกสิ ไอ้พวกเหี้ย! ตาเถร!–”

คำท้ายของหญิงวัยกลางเจ้าของนามประไพดังขึ้น เพราะเห็นร่างของเยียรยงลอยละลิ่วลงกระแทกพื้นที่ตีนบันไดเลื่อนของสถานีรถไฟฟ้า

ได้กลับมาเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีกทีจากหน้าจอกระดานไฟฟ้าเช่นนี้ เด็กสาวยังรู้สึกถึงความตระหนกอันแล่นขึ้นกุมใจในวาระนั้น

“ตอนนี้เธอสลบไปแล้ว” ธนลภย์ซึ่งนั่งดูอยู่ข้างกันบนเบาะหลังรถรับจ้างปรารภ

ใช่ เราสลบไปตั้งแต่ตอนนั้น เยียรยงบอกตัวเอง สายตายังเพ่งมองภาพเคลื่อนไหวซึ่งถูกปันลงในแอบประเคนฉันสุโนกโดยใครบางคน ตอนนี้มันกลายเป็นประกาศที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เห็นได้จากตัวเลขจำนวนผู้ปันและถูกใจ

ในภาพ นางประไพหันพูดอะไรกับชายชื่อคูนที่มาด้วยกัน แต่คราวนี้เสียงเบาลง กล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ด้านบนสถานีรถไฟฟ้าจึงจับไม่ได้ แต่เดาว่าน่าจะพูดถึงเยียรยงนั่นเอง เพราะนาทีถัดมา ทั้งคู่ก็รุมเข้ามายังร่างเธอที่นอนคว่ำหน้าสลบอยู่

“ช่วยด้วย!” นางประไพแหงนหน้าเรียกคน คนเดินถนนสองรายวิ่งตรงเข้ามา ขณะที่อีกหนึ่งแค่เดินผ่านแล้วหันมองด้วยความสนใจ

“คนพวกนี้คือคนที่โดนพาตัวไปที่ตึกนั่นพร้อมกับเรา!” เยียรยงจ้องภาพในจอแล้วรำพึงอย่างระลึกได้

“คนตกกระด๊า–!” นางประไพในจอยังตะโกน ทว่าเสียงตอนท้ายขาดหาย เพราะจู่ๆ ร่างของคนที่ยืนอยู่บนบันไดข้างกับเยียรยงแต่ต้นก็โจนลงมา

เด็กสาวคนป่วยที่ชื่อวันเนาว์ถลาเข้างับต้นคอคนร้อง และโดยพร้อมเพรียงกัน มือสองข้างจับศีรษะนางโดยสอดนิ้วเข้าในปาก จากนั้นแค่อึดใจ ปากของนางประไพก็ถูกฉีกดึงถึงรูหู ช่วงคางตั้งแต่ขากรรไกรของห้อยหล่นลงจนใบหน้าผิดรูป เห็นได้ชัดว่ากระดูกช่วงนั้นได้ขาดจากส่วนบนเรียบร้อยแล้ว

“เฮ่ย! เฮ่ย!” คูนหลานชายผงะตกใจ พอได้สติก็ปรี่เข้าหา พยายามลากตัววันเนาว์ออกจากญาติ ขณะที่ใครอีกสองรายซึ่งตั้งใจจะเข้ามาช่วยเยียรยงแต่แรกรีบวิ่งห่าง

“ตอนนั้นเราขึ้นไปบนสถานีแล้ว กำลังตกใจ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี” ธนลภย์อธิบายเหตุการณ์อย่างลุแก่โทษ ตอนนี้ภาพของเขาหายไปจากมุมภาพที่กล้องจับได้แล้ว

“เราเข้าใจ” เยียรยงตอบด้วยเสียงแหบแห้ง ขวัญหายกับภาพตรงหน้า แต่ก็ยังจ้องมองไม่ละสายตา

เสี้ยววินาทีถัดมา หลังจากหันจ้องเป็นเชิงขู่จนคูนต้องยกมือถอย วันเนาว์ก้มหัวเข้าไปหว่างโพรงปากของนางประไพ เยียรยงพอจับภาพได้ว่าการส่ายหน้าไปมาน้อยๆ นั้นน่าจะหมายถึง เจ้าตัวกำลังดูดกินบางอย่างจากทางนั้น

บางอย่าง…

ในที่สุด วันเนาว์เงยขึ้น ลุกยืนโซเซ ทำให้เห็นว่าร่างกายขยับเป็นคลื่น และแล้วมีเสียงสำรอกรุนแรงดังติดๆ กัน

ใช่แล้ว วันเนาว์ – ใคร – ตัวอะไรสักอย่างนั่น – มันสวาปาม แต่แล้วขย้อนสมองของนางประไพออกมาเพราะว่ากระเดือกไม่ลง!

……………………………………


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่