-๑o-
ขุด
…………..
“ทางการจำเป็นต้องปกปิดเรื่องคนที่มีอาการประหลาดนี่ไว้ เพราะกลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายอย่างที่เป็นตอนนี้แหละ”
“มันก็จริงเรื่องความวุ่นวาย” เยียรยงตอบพี่ชาย ปากยังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ข้างวงข้าวมื้อเย็น “แต่ถ้าบอกตรงๆ อย่างน้อยคนก็จะได้หาทางระวังตัว หรืออาจจะมีใครนอกกลุ่มฝาถังที่รู้วิธีรักษาก็ได้”
นางโฉมยงตรงที่นั่งข้างกันหันขวับ “พูดอะไรอย่างนั้น ถ้าพวกฝาถังไม่รู้ ใครมันจะไปรู้ได้อีก”
“ก็อย่างบ้านเจ้าไหงไง” นายยุทธ์พูดเรียบๆ อย่างนึกขึ้นได้ “บ้านมันมีความรู้เรื่องสมุนไพรโบราณกันนี่”
“รู้แล้วใช้ได้ที่ไหน” ผู้เป็นภรรยาบอกละเหี่ย “สมุนไพรมันก็ต้องมาจากต้นไม้ เดี๋ยวนี้โลกมันปลูกต้นไม้กันได้ซะที่ไหน!”
คำพูดของแม่เรียกภาพเก่าย้อนเกิดในหัวของเยียรยง ภาพเงาไม้ข้างทางเมื่อวันที่เธอถูกนำตัวไปยังสถานปริศนาของพวกฝาถัง ตกลงนั่นเป็นต้นไม้จริงหรือปลอมกันแน่…
“นั่นซีนะ” นายยุทธ์พยักตามภรรยาอย่างว่าง่าย หรืออีกนัยคือคร้านจะเถียง “ว่าแต่คนที่เป็นโรคนั้นตกลงมันเกิดจากอะไรล่ะ”
ยรรยงตักอาหารเข้าปากอีกช้อน ลักษณะคล้ายจงใจคั่นเวลามากกว่าหิว “ยังไม่รู้ซีพ่อ”
เยียรยงมองพี่ ความระลึกบางอย่างฉุดให้ลดสายตาไล่ไปยังท่อนแขนพี่ ยรรยงยังสวมเครื่องแบบแขนยาว ลายเสื้อของพวกฝาถังดุจจะอำพรางบาดแผลที่เกิดขึ้นข้างใต้นั้นเช่นกัน ตรงข้ามกับแผลที่ปลายนิ้วของพ่อ ทั้งที่กินยาและทายาทุกวันมันยังไม่ดีขึ้น จากขีดน้อยๆ เมื่อแรกเริ่ม ถึงตอนนี้กลับลุกลามจนพ่อต้องใช้ผ้าพันแผลพันปลายนิ้วเอาไว้แล้ว
“ที่ว่าไม่รู้น่ะ พี่ไม่รู้ หรือพวกฝาถังก็ไม่รู้”
“ทุกคนยังไม่รู้!”
“อ้าว แต่พวกพี่จับคนป่วยทั้งหมดไปไม่ใช่รึไง!”
“เยีย เบาๆ หน่อย” แม่เขม้นมอง กวาดลานรอบกายคล้ายกลัวว่าหลืบรูไหนจะมีสายตาของพวกฝาถังซุ่มอยู่
หลายเรื่องเล่าก่อนเก่าพูดถึงการจับกุมของผู้กระด้างกระเดื่อง แม้แต่ตั้งคำถาม พวกฝาถังมีสายสืบอยู่ทุกที่ เพื่อนบ้านที่รักกันดี วันดีคืนร้ายก็สามารถผันตัวเป็นสายสืบได้ การแจ้งเบาะแสให้ทางการจะได้รับบันทึกไว้ในฐานข้อมูลส่วนกลาง ยิ่งแจ้งมากยิ่งมีคะแนนสะสมมาก แสดงว่าเป็นพลเมืองดีและจงรักภักดีมาก ต่อไปหากเกิดคดีความ ประวัติเหล่านี้จะทำหน้าที่ต่าง ‘พยาน’ คำพูดของคนผู้นั้นจะมีน้ำหนักขึ้นว่าเจ้าตัวเป็นคนดี คนดียากจะทำผิด หรือต่อให้ทำผิด ก็ย่อมมีเหตุผลที่ดีซ่อนอยู่เบื้องหลัง เยียรยงเคย ‘ตั้งคำถาม’ กับแม่ว่า ถ้าอย่างนั้นคนที่เป็นพลเมืองดีมากๆ ก็ไม่เคยแพ้คดีอะไรเลยใช่มั้ย บนถนนในสยามอลังการย่อมจะเหลือแต่คนดีๆ ใช่มั้ย แม่กลับตอบชัดทันทีไม่ได้ คนตั้งคำถามได้แต่สงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
อาจเพราะคำพูดของแม่มักเบาเหมือนเขม่าควันเช่นนั้น ลูกทั้งสองจึงไม่สนใจ ยรรยงตอบน้องว่า “ก็ใช่ แต่พวกหมอกับนักวิทยาศาสตร์ยังหาต้นเหตุไม่เจอ”
“ทั้งที่เรื่องเกิดมาตั้งนานแล้วก็หลายคดีแล้ว?”
“เยีย!” แม่เดาะลิ้น พ่อต้องวางช้อนแล้วยื่นมือมาลูบหัวเข่า
“ก็แค่ราวๆ สองเดือน” ยรรยงบอก “แล้วจริงๆไม่ได้เยอะขนาดนั้น เท่าที่รู้เหมือนจะมีแค่ห้าคดี”
พี่ชายเล่าว่า หน่วยของเขาตามสืบพฤติกรรมย้อนหลังเพื่อหาเหตุผลต้นทาง ทว่าแต่ละคดีมีลักษณะร่วมกันแค่ไม่กี่อย่าง ผู้ป่วยมักเป็นเด็กวัยรุ่นอายุกระจายตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายถึงเริ่มเข้างาน ประวัติสุขภาพมีตั้งแต่ดีมากจนถึงแย่ พฤติกรรมการกินไม่ซ้ำแบบ วิถีชีวิตไม่ซ้ำรอย และมีที่เคยเกิดอุบัติเหตุมาก่อนแค่สองราย
“เท่าที่รู้ตอนนี้ พอเกิดอาการนั้นขึ้น ผู้ป่วยจะทำอะไรโดยไม่มีสติ เหมือนคนบ้าหรือเมายา แล้วก็มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมหาศาล ความสามารถพิเศษที่มีอยู่ก็จะแสดงชัดออกมาเป็นเท่าตัว”
“หมายความว่ายังไง” เยียรยงไม่เข้าใจ
“จำเสียงตึงตังเมื่อตอนที่หมอกำลังตรวจแกได้มั้ย”
พี่ชายคงชั่งใจแล้วรู้ว่า เธอคงเล่าเรื่องวันก่อนให้พ่อแม่ฟังสิ้นแล้ว ซึ่งถูก
เด็กสาวหวนคิด เสียงตึงตัง–ใช่แล้ว! เธอจำได้ หลังจากเข้าเครื่องดึงความจำ เธอกับพี่ หมอ และผู้ชายคนนั้น…ขุนระเบ็ง กำลังจะก้าวออกจากห้องตรวจ แต่จู่ๆ เกิดเสียงโครม! พื้นใต้เท้าสั่นสะเทือนและไฟทุกดวงวูบกะพริบ
พี่ชายอธิบายต่อไปว่า “มีผู้ป่วยคนนึงหลุดออกไป”
ผู้ป่วย?
ผู้ป่วยที่มีเรี่ยวแรงพอจะทำอะไรได้ขนาดนั้น มิน่า เยียรยงจำได้ว่าเธอเห็นหน้าทุกคนเผือดสีโดยพลัน แล้วถ้าอย่างนั้น…
แวบหนึ่ง ภาพในหัวตัดไปที่ภาพเงาไหววิ่งตามรถขณะเธอเดินทางออกจากที่แห่งนั้น จากนั้น เงาร่างที่ปรากฏชัดบนคาคบไม้เหนือรถคันที่ขับพาธนลภย์ออกไป รถคันที่เกิดอุบัติเหตุ…
ยรรยงคงเดาความคิดน้องสาวได้ จึงพยักหน้า สบตาหนัก “เท่าที่สืบประวัติมา เด็กคนนั้นมีความสามารถด้านยิ้มนาบกระติก”
เคยเห็นภาพเคลื่อนไหวในกระดานไฟฟ้า พวกเล่นยิ้มนาบกระติกมีร่างกายยืดหยุ่น โดดสูงและป่ายปีนแคล่วคล่อง นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ใครคนนั้นหาทางหลุดจากที่กักกันได้ และแล้วหลบหนีออกมาก่อเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตคนข้างนอก…
อีกครั้ง หลังม่านตาปรากฏภาพหน้าเผือดสีของพี่ชาย ขุนระเบ็ง รวมถึงนายแพทย์ผู้นั้น หนนี้เยียรยงพลอยขนลุก เธอเท่านั้นที่ไม่รู้อะไร คนพวกนั้นรู้ดีว่ากำลังเผชิญกับอะไร พวกเขาถึงได้กลัว…
อยากจะโกรธพี่ตัวเองที่เก็บงำ แต่ก็จำได้ว่ายรรยงพยายามปกป้องเธอขนาดไหน ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่พี่เลือกจะไม่บอกให้รู้ เพราะการรู้เรื่องใดๆ ก็ตาม – โดยเฉพาะต่อหน้าพวกฝาถัง – เธอย่อมตกกลายเป็นคนที่พวกนั้นเฝ้าจับตาได้ไม่ยาก
“จริงสิ แล้ววันเนาว์กับคนพวกนั้นไม่ถูกจับเข้าเครื่องดึงความจำเหรอ ถ้าทำอย่างนั้น พวกพี่น่าจะได้อะไรบ้างนี่”
ยรรยงเม้มปาก ท่าทางอักอ่วนใจที่จะพูด
ในที่สุดแม่ชิงตอบแทน “ก็ได้ยินอยู่ว่าพวกนั้นมันฤทธิ์เยอะ จะจับมันเข้าเครื่องคงลำบากใช่มั้ย”
สายตาแม่ทำให้พี่ชายตอบได้อย่างเดียว
ยรรยงพยักเงียบ
เยียรยงถอนหายใจ แต่ยังไม่วายถามต่อ “แล้วเด็กคนนั้นถูกลงโทษ…อะไรรึเปล่า” คำท้ายติดขัดเพราะจินตนาการร้าย เธอยังจำเสียงปืนลั่นเปรี้ยงปร้างติดกันหลายครั้งระหว่างที่พี่ขับรถจากมา
“ไม่รู้สิ” พี่รู้ “แต่ไม่น่าจะ ก็อย่างที่บอกว่าคนป่วยทำทุกอย่างไปโดยไม่รู้ตัว”
“คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด” แม่สรุปง่ายๆ ซึ่งห่างไกลจากความจริงลิบลับ
คนไม่รู้กฎหมาย แต่ทำผิดกฎหมาย ย่อมมีความผิดตามกฎหมาย ค่านิยมความคิดแบบแม่นี่เองทำให้พอใครทำผิดก็มักอ้างว่า ‘รู้เท่าไม่ถึงการณ์’ คำสวยๆ แทน ‘ไม่รู้’ หรืออาจเลยถึง ‘ไม่ใส่ใจ’
เด็กสาวถามต่อไปว่า “หรือว่ามันถ่ายทอดทางพันธุกรรม เรื่องพวกนี้อาจเคยเกิดขึ้นมาในรุ่นก่อนๆ แต่พวกฝาถังปกปิดไว้จนคนไม่รู้”
“ถึงปกปิดยังไงก็ต้องมีบันทึกเอาไว้ในข้อมูลของพวกฝาถังเอง” นายยุทธ์คาดการณ์
“พวกเขากำลังค้นหา” คำตอบของยรรยงแสดงว่า การบันทึกถูกปิดบังอำพรางแม้แต่กับพวกเดียวกัน อาจเพราะฝาถังไม่ต้องการให้เรื่องด่างพร้อยหลุดลอดออกมา
ถ้านั่นคือเหตุผล แสดงว่าสาเหตุของเรื่องอาการพวกนั้นก็ต้องเกี่ยวกับความบกพร่องของพวกฝาถังเอง!
“ข้อมูลทุกอย่างถูกเก็บรวมไว้เฉพาะที่นั่น” เด็กสาวพึมพำ คิดถึงเงาอาคารยิ่งใหญ่ท่ามกลางสายฝน เธอเงยขึ้นถามพี่ “ตกลงที่นั่นคือที่ไหน”
พี่เหยียดริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง ท่าทางหนักใจ “แกไม่รู้ แล้วก็เรียกไม่ถูกจะดีกว่า”
“แล้วสรุปว่าผลการตรวจเลือด ตรวจเชื้อโรค ตรวจสมองของพวกคนที่เป็นโรคน่ะ เป็นยังไงบ้าง อย่าบอกนะว่าพวกนี้ก็ไม่มีปัญญาจับไปตรวจเหมือนกัน!” น้องสาวยังไม่ลดรา
“เรื่องพวกนี้มันเป็นความลับของทางการ จะถามให้ได้เรื่องอะไรขึ้นมา!” นางโฉมยงถึงกับวางช้อนกระแทกจานสังกะสี
“แม่ไม่อยากให้หนูป้องกันตัวเองเหรอ”
คำถามซื่อๆ ของลูกสาวทำให้เจ้าตัวนิ่งลง ถึงอย่างนั้นนางโฉมยงก็ยังกะบึงกะบอน “ถ้ามันป้องกันตัวเองได้ เขาก็คงประกาศกันไปแล้ว ใช่มั้ยยรร”
พี่ชายไม่สนใจคำแม่ หันจ้องเธอโดยตรง “แกไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ทางการจะปกป้องแก”
“หมายความว่ายังไง” พ่อวางช้อนบ้าง
“ผู้ปกครองเห็นว่าการถ่ายทอดเรื่องเมื่อเช้าออกไปได้ผลค่อนข้างดี” ผลค่อนข้างดีเห็นได้จากกระแสตอบรับเหรียญรุ่นมงคล ๔๔ นั่นเอง ทุกอย่างถูกเตรียมการไว้ตั้งแต่วันอาทิตย์ แล้วมันก็เป็นไปตามคาด ทันทีที่เช้าวันจันทร์เหตุการณ์หน้าเสาธงถูกถ่ายทอดออกไป เหรียญรุ่นนั้นก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนผลิตไม่ทัน รายได้หลั่งไหลเข้าส่วนกลาง และอย่างลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเหรียญรุ่นดังกล่าวถูกแฝงฝังไว้ด้วยเครื่องดักฟังและติดตามตัว มันจะช่วยผู้ปกครองสอดแนมว่าพลเมืองรายใดเริ่มเอาใจออกห่างเพราะเรื่องโรคร้ายนี้
ยรรยงพูดต่อไปว่า “พวกเขาต้องการให้เยียเป็นตัวแทนของเด็กดี ประชาสัมพันธ์ให้พวกวัยรุ่นไม่ออกนอกลู่นอกทาง จะได้ไม่ถูกคนเป็นโรคนั่นทำร้าย”
“แต่นั่นมันเรื่องโกหก–!”
“โกหกยังไง” แม่สวนลูกสาว “ไอ้ตัวนั้นมันไม่ฆ่าเอ็งจริงๆ!”
“พี่ยรรบอกเองว่ามีหลายคดีแล้ว คดีอื่นก็ต้องมีคนรอดเหมือนใช่มั้ยล่ะ พวกนั้นคงไม่ใช่เด็กเรียนดีทั้งหมดแน่ๆ”
ก่อนที่แม่จะเถียงอะไรอีก พ่อชิงว่า “แล้วลูกก็ไม่ควรจะต้องตกเป็นเครื่องมือทางการแบบนี้”
แม่สะบัดหน้าหาพ่อ “เป็นเครื่องมือ?! นั่นน่ะเขาให้เกียรติลูกเราต่างหาก คิดดูสิว่าถ้าเขาปั้นให้ไอ้เยียมันมีชื่อเสียงจริงๆ ต่อไปมันก็จะมีหน้าที่การงานที่ดี ลูกสบาย พ่อแม่ก็สบาย พ่ออีหนูอย่าคิดอะไรสั้นๆ!”
พ่อจึงจำหุบปาก
“พ่อพูดถูก แต่แม่ก็ถูกเหมือนกัน” ยรรยงเป็นฝ่ายประนีประนอมเสมอ หันมองน้องสาว “ผู้ปกครองเลือกแกเพราะแกเป็นน้องฉัน”
พูดอีกนัยก็คือ เยียรยงอยู่ในสายตาของทางการ
“แกจะต้อง ‘ทำงาน’ ให้ฝ่ายปกครอง” คนพูดจงใจเลี่ยงไปใช้คำนั้น “แต่มันก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีสำหรับการงานในอนาคตด้วย”
“พี่อยากให้เยียไป?” เยียรยงเลือกจะถามตรงๆ
แต่เป็นครั้งแรกที่พี่ไม่ยอมจ้องตอบเธอตรงๆ
คงเพราะตอนนั้น นายยุทธ์เป็นผู้เดียวที่สังเกตอาการ และเท่าทันความรู้สึกของลูกชาย ยามดึกเมื่อตรองว่าเมียและลูกสาวน่าจะหลับแล้ว ชายสูงวัยร่างผอมจึงแง้มประตูออกจากห้องนอนเบากริบ แสงไฟริมทางทอดผ่านม่านฝุ่นเข้ามาทางช่องหน้าต่าง พอให้เจ้าตัวเห็นว่า ลูกชายนอนอยู่ตรงไหน นายยุทธ์ทรุดกายลงคุกเข่าข้างหนึ่งใกล้ๆ เป็นผลให้ลูกชายกระซิบทัก “พ่อ?”
“นอนไม่หลับเหรอ” เจ้าของเสียงอาทรยกมือข้างที่ไม่เป็นแผลลูบศีรษะลูกชาย ยรรยงตัดผมเหลือแค่ตอสั้นๆ ตามระเบียบของ รปภ.
“อะ…อืม” ในความมืด เขาแหงนจ้องหน้าคนข้างๆ ใบหน้านั้นเป็นสีดำจนสังเกตเห็นแค่แววตาเป็นห่วงเป็นใย
เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง ยรรยงจึงไพล่ไปว่า “หัวหน้าน่ะพ่อ แกโดนพักงานเพราะเรื่องข่าวรั่ว”
“หัวหน้าเอ็ง?” นายยุทธ์เงียบลงนิดหนึ่งอย่างใช้ความคิด “ท่านขุนระเบ็งอะไรนั่นน่ะเราะ”
“ครับ” ยรรยงไม่จำเป็นต้องเท้าความ เขาเคยชื่นชมขุนระเบ็งให้พ่อฟังตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เข้าไปทำงาน สมัยนั้นชายหนุ่มยังเป็นเด็กใหม่ซื่อใส แค่เจ้านายทำดีด้วยหน่อยก็เห็นเป็นเทวดา ถึงกับหารูปมาชี้ชมกับพ่อว่าสักวันจะเป็นแบบนั้นให้ได้ ไว้ใจถึงขนาดเล่าเรื่องสาวในฝันให้ฟังเมื่อวันเมา
ว่าที่จริง ถึงบัดนี้ขุนระเบ็งก็ไม่ใช่เจ้านายที่ไม่ดี เพียงแต่เจ้าตัวชอบละเมิดกฎ อันมักนำความตะขิดตะขวงมาให้คนเป็นลูกน้อง แต่นั่นก็ยังดีกว่าขุนหงามุกผู้ปฏิบัติตามกฎทุกอย่าง
เรื่องมันเริ่มแย่ก็ตรงที่รายนั้นยึดกฎเกณฑ์ไปเสียทุกอย่าง…
เกรงว่าพ่อจะจับความรู้สึกได้ เขารีบกลบเกลื่อน “ทำงานกับขุนระเบ็งมานานจนรู้ทางกัน ผิดบ้างแกก็เตือนก็ให้โอกาส แต่หัวหน้างานคนใหม่ไม่รู้จะเป็นยังไง มีคนบอกว่าแกเถรตรงนัก”
“เอาน่า” มือของพ่อตีผมเขาเบาๆ “ค่อยๆ เรียนรู้ไป เอ็งเป็นมือเป็นเท้าให้เขา ยังไงเขาก็ต้องคอยสนับสนุน”
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เขาอ้อมแอ้ม
เงียบลงไม่กี่อึดใจ พ่อจึงเริ่มประโยคใหม่ “ว่าแต่เอ็งแน่ใจแล้วใช่มั้ย เรื่องนั้น”
ยรรยงรู้ว่าบิดาเท่าทัน ท้ายที่สุดหันข้างกอดเอวพ่อเหมือนเมื่อวันยังเยาว์ ยังเต็มไปด้วยความเขลาขลาดโลก หากเพียงแต่ตอนนี้ สิ่งที่กลัวไม่ใช่โลก ทว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจลงไปแล้วต่างหาก
เมื่อเช้า หลังกลับจากโรงเรียนน้องสาวมาพร้อมอาจารย์กรุณา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ‘โชคดีนะขอรับอาจารย์ น้องสาวกระผมมันหัวไว ไม่ได้คุยกันก่อนก็พอเออออได้’
‘ที่กระทำสำเร็จเสร็จสิ้นดี เพราะกูนี้ตั้งใจให้ฝาถัง หามิใช่อาจช้ำระกำกรัง ต้องภินท์พังเพราะพึ่งน้องมึงนั่น!’
คำของอีกฝ่ายทำให้เขาชะงัก ‘ขะ…ขอโทษขอรับ’
‘ประมาทเกินประเมินไกลไม่สมตัว โง่ชั่วมั่วบ้าน่าประหวั่น ต้องรีบบอกเบื้องบนทันควัน อย่าหมายมั่นเด็กนี้เห็นทีล่ม!’
อย่างไรก็ตาม การประเมินของอาจารย์กรุณาผิดพลาดไปไกล ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ของเยียรยงดูเข้ากันกับเด็กดีในแผนแม่บทแนบเนียน นอกจากยอดขายเหรียญรุ่นมงคล ๔๔ อีกสิ่งที่สะท้อนความสำเร็จของละครฉากเมื่อเช้า ก็คือเสียงชื่นชมน้องสาวเขาในหมู่พ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กเล็ก ไม่กี่ชั่วโมงที่เหตุการณ์หน้าเสาธงถูกแพร่ภาพออกไป เยียรยงแทบจะกลายเป็นอนาคตในฝันของเด็กๆ
นั่นเอง ช่วงบ่ายแก่ ยรรยงจึงถูกเรียกตัวกลับเข้าที่ประชุม อาจารย์กรุณาลอยคอพูดว่า ‘ประเมินผ่านประมาณเพ่งเก่งสมตัว ไม่โง่ชั่วมั่วบ้าน่าเพาะบ่ม ต้องรีบบอกน้องสาวเฝ้าลับคม จะสุขสมดีเด่นเป็นขวัญใจ’
แผนงานเฉพาะกิจของขวัญใจเด็กไทยคนใหม่ถูกร่างขึ้นว่องไว แต่ละเอียดยิบ ทั้งหมดนั้น แม้แต่ยรรยงยังขวัญผวา ‘ตะ…แต่ว่านี่มัน…’
คำปฏิเสธหลุดลอดได้เพียงเท่านั้น อาจารย์กรุณายิ้มให้ทั้งที่นัยน์ตาเป็นประกาย
‘โอกาสมาไม่เหร้ง รีบฉวย มือคว้า ระมัดอาจมีซวย เรื่องฉ้อ ปกปิดมิดเทพทวยพอปิด ป้องได้ ปกปิดฝาถังท้อ ไป่ป้องปกปิด!’
ไม่ใช่เพราะถูกยกตนข่มด้วยโคลง แต่ความในโคลงต่างหากที่ทำให้เขาอึ้งงัน
ถูกแล้ว ปกปิดฝาถังท้อ ไป่ป้องปกปิด!
คิดแล้วเขากำมือ ครั้นคิดว่าคนพวกนั้นรู้ความลับของเขาได้อย่างไร…
ถึงอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด นี่จึงอาจเป็นทางเดียว…
ชายหนุ่มพยักรับคำพ่อ “ครับ ผมแน่ใจ”
ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะพลิกเพียงเช้าถัดมา
. . . . . . . . .
อังคาร ๒๔ กุมภาพันธ์
๒๔ วันก่อนลงคะแนน**
เยียรยงรู้สึกเหมือนแข้งของตัวเองหายไป มันเริ่มจากอาการยะเยือก ก่อนเปลี่ยนเป็นชาเฉียบ
พิธีกรสาวใหญ่ถามด้วยเสียงแหบแห้งอันเป็นเอกลักษณ์ “หนูมีศัตรูมั้ยคะ”
เด็กสาวอยากตอบ ไม่ แต่ความตกใจทำให้ได้แต่ส่ายหน้า
เสียงแหบแทบไม่มีเนื้อเสียงนั้นดังต่อ “นึกไม่ออกจริงๆ เหรอว่าใครพอจะทำเรื่องแบบนี้ได้ เพราะนี่เป็นหน้าเฉพาะเพื่อน”
คนถูกถามเพ่งมองสิ่งที่อยู่ในหน้าจอกระดานไฟฟ้า พยายามรวบรวมสติ แต่ภาพตรงหน้านั้นเหมือนหินอันถูกเขวี้ยงทิ้งน้ำ ทุกอย่างกระจายซัดออกไปอย่างยากจะควบคุม
ใครบางคนลอบคัดลอกหน้าจอจากประกาศส่วนตัวในแอบประเคนฉันพักตร์สมุดของเยียรยงไป มันเป็นรูปถ่ายเมื่อสองปีก่อนตอนโรงเรียนมีงานรื่นเริง เยียรยงแต่งตัวฝันศรีโดยประยุกต์ขยะรีทรายโก้เป็นชุดไทยโบราณของชนชั้นสูง เธอตั้งค่าให้มีคนเห็นได้เฉพาะเพื่อนและครอบครัว ยังจำได้ว่าพ่อเข้ามาชมจนอาย ต้องรีบเตือนว่าอย่าออกนอกหน้าเพราะมีคนอื่นเห็นเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่ารูปแห่งความสุขนั้นจะย้อนกลับมาเป็นอาวุธทิ่มแทงเธอเอง
‘#เด็กดีแห่งสยาม จ้า ทำตัวเทียมฝาถังมาแต่ไกล’
ใต้คำพูดบิดเบือนของเจ้าของประกาศในสุโนก มีคนเข้ามารุมวิพากษ์อีกมากหลาย ยังไม่นับตัวเลขแสดงจำนวนปัน อันทำให้หัดแถก #เด็กดีแห่งสยาม เริ่มติดอันดับความนิยม และเมื่อตามดูคนที่พูดเกี่ยวกับข้อความนั้น เยียรยงก็รู้สึกไม่ต่างจากถูกลากออกไปสับละเอียดต่อหน้าสาธารณชน!
‘พวกคลั่งถังไม่ออกมาช่วยเถียงหรา มะวานเหนอวยกันใหญ่เชีย #เด็กดีแห่งสยาม’
‘ถ้าเปลี่ยนความคิดจริงๆ ทำคลิปออกมาชี้แจงเลยดีที่สุดครับ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องตีตนเสมอชนชั้นปกครอง เราเชื่อว่าคนเราเปลี่ยนกันได้ ตอนนั้นคุณอาจจะนึกสนุกเหมือนเด็กๆ แต่ก็ต้องรู้เรื่องควรไม่ควร เชื่อว่ามันจะเบาลงถ้าออกมาพูดแบบตรงไปตรงมา #เด็กดีแห่งสยาม’
‘จากหนูตกถังข้าวสาร กลายเป็นหนูตกถังขยะ #เด็กดีแห่งสยาม’
‘ขรรมแฟนขับบางคนบอกเรื่องนานแล้วจะขุดมาด่าทำไม ทีเคสชังถังแต่ละคน เรื่องก็นานแล้วยังจะฟ้องเอาเข้าคุกกันให้ได้อยู่เลยปะ แหม่ #เด็กดีแห่งสยาม’
‘เฮ้ยมึง แค่ใส่ชุดไทยปะ ดึงสติพลีส #เด็กดีแห่งสยาม’
คงเห็นเธอนิ่งนานไป คู่สนทนาที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงลงเสียงย้ำ “ว่าไงคะ”
“โถ คงกำลังตกใจน่ะค่ะ” ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองที่กำลังปัดแปรงลงบนแก้มของเยียรยง บอกเสียงสงสาร
ในที่สุด เด็กสาวเงยขึ้น สบตาพิธีกรผ่านบานกระจกเงาในห้องแต่งตัวที่เธอและครอบครัวนั่งรวมกันอยู่ “หนะ…หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะ”
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน ตอนออกจากบ้านเดินทางมาสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ โลกยังเสมือนแต้มด้วยสีทองระยับ ทางการส่งรถคันใหม่พร้อมคนขับมารับครอบครัวเธอ ครั้นถึงที่นี่ ก็มีคนเข้ามาดูแลอย่างดี เสนอชุดอย่างดี – อย่างที่ทั้งครอบครัวเธอไม่คิดว่าชาตินี้จะได้มีโอกาสหยิบใส่ แม้ฟังพี่ชายเล่าเมื่อวานแล้วจะรู้ทันว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการจัดฉากเพื่อสร้างสถานการณ์จำพวกหนึ่ง เธอก็ยังอดลำพองใจมิได้
ไม่คิดเลยว่าฝันทั้งหมดกลับถูกขยี้เพียงเพราะรูปโง่ๆ รูปนี้ แล้วมันก็ชวนขำขื่นตรงที่มีคนโง่ๆ อีกจำนวนมากเชื่อแล้วเอาไปพูดต่อ!
คงมีคนแจ้งพิธีกรสาวใหญ่ก่อนถ่ายทอดสดรายการข่าวเช้าอย่างฉิวเฉียด เจ้าตัวจึงต้องรีบเข้ามาคุยกับเธอ เยียรยงใจสั่น พยายามบอกตัวเองว่า ไม่ได้ออกทีวีก็ไม่เห็นเป็นไร เราก็ไม่ได้อยากจะออกอยู่แล้วตั้งแต่แรก! น่าแปลกใจที่มันไม่สำเร็จ ต้องยอมรับว่าเพียงหนึ่งวันที่ผ่านมา เธอเริ่มติดรสการเป็นคนพิเศษ!
ว่าแต่ใคร…ใครที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนของเธอ แต่กลับหักหลังกันอย่างร้ายกาจ!
“มะ…มันจะเป็นอะไรมั้ย” นางโฉมยงพูดจากเก้าอี้ตัวข้างกัน สีสันเครื่องสำอางบนใบหน้าพรางจนแทบจำไม่ได้ว่าคือใคร แต่ไม่อาจพรางแววตาหวั่นวิตก “ระ…เราไม่ออกทีวีแล้วก็ได้นะ ว่าไงเยีย แค่นี้ก็…ก็เริ่มโดนโจมตีแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เรามีวิธีแก้” พิธีกรสาวกลับยิ้มขยิบตาให้
“ยะ…ยังไงคะ”
เสียงที่ให้คำตอบเยียรยงกลับดังมาจากประตูทางเข้าห้อง “เธอก็แค่บอกว่านี่ไม่ใช่พักตร์สมุดของเธอจริงๆ ส่วนของจริงน่ะคืออันนี้!”
“อาจารย์กรุณา!” เด็กสาวอุทานแล้วยกมือประณมทำความเคารพ พ่อแม่และคนอื่นๆ ก็ทำตาม มีเพียงยรรยงที่ลุกยืนวันทยหัตถ์เพราะยังอยู่ในชุดเครื่องแบบ
ผู้เข้ามาใหม่ยักคอให้เล็กน้อยอย่างถือตัว ไม่ยกมือรับไหว้ ทว่ายื่นกระดานไฟฟ้าใหม่เอี่ยมอีกเครื่องตรงมาที่เยียรยง คนรอบๆ รุมมองพร้อมกัน
ปรากฏว่ามันกำลังแสดงหน้าจอแอบประเคนฉันพักตร์สมุดซึ่งมีรูปและชื่อเธอเหมือนกันกับพักตร์สมุดบัญชีเก่าไม่มีผิด ทว่าประกาศที่อยู่ในนั้นมีทั้งที่ประกาศของเธอจริงๆ และที่ไม่ใช่ ส่วนหลังนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการสร้างประวัติขาวสะอาดเลิศเลอขึ้นใหม่ให้ตรงตามพฤติกรรมอันพึงประสงค์ในสยามติงสติวรรษ
“นี่มันปลอมเกือบทั้งหมด?!” นายยุทธ์อุทาน
“พูดอะไรอย่างนั้น” แทนที่จะฟังดูมีน้ำโห เสียงอาจารย์กรุณากลับเสมือนขันหยันมากกว่า เจ้าตัวเสือกกระดานไฟฟ้าให้เยียรยงรับไว้เสียที เพื่อตัวเองจะได้ดึงมือกลับไปกอดอกวางท่า “เพิ่มระดับขึ้นนิดเดียว ลูกของแกก็ไม่ใช่เด็กเลวร้ายนี่ เราออกแบบให้ท่องง่ายขึ้น เชื่อมโยงเรื่องเดิม แล้วสามารถตัดต่อได้”
“หะ…ให้แม่เขาคนเดียวแล้วกัน พ่อจำไม่เก่ง” นายยุทธ์ย่นคอ
“โธ่พ่อ” คนเป็นเมียหนักใจไม่แพ้กัน
พิธีกรสาวหัวเราะด้วยเสียงแห้งๆ “คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวไปค่ะ มีลูกอีกทั้งคน พันยรรยงก็เป็นคนเก่ง น่าจะช่วยพูดได้ จริงมั้ยคะ”
ผิวหน้าของพี่ชายกระตุกนิดหนึ่ง แต่แล้วก็เม้มปากพยักรับ
. . . . . . . . .
การออกอากาศสดในรายการข่าวเช้าทางเนติ์สั้นทีวีเป็นไปอย่างราบรื่น พิธีกรสาวใหญ่ผู้ดุดัน เกรี้ยวกราด และมักหยาบคายจนกลายเป็นเอกลักษณ์ แท้จริงใจดี ช่วยประคับประคองเยียรยง พี่ชาย และแม่ไปได้จนจบ ยรรยงพูดเสริมบ้างเล็กน้อย แม้แต่เยียรยงผู้เป็นเจ้าของเรื่องเองก็มีโอกาสพูดได้เพียงเล็กน้อย ว่าที่จริงมันเกือบเป็นช่วงสนทนากันเองระหว่างพิธีกรกับอาจารย์กรุณา ผู้ชมส่วนหนึ่งรำคาญและต่อว่าเข้ามาทางพักตร์สมุดไล้ ผลคือทางรายการปิดรับการแสดงความคิดเห็น ความเห็นที่แสดงขึ้นหน้าจอกลายเป็นข้อความที่คนของอาจารย์กรุณาช่วยกันพิมพ์ปั่นขึ้นเอง ทั้งหมดทำได้ง่ายดายในเมื่อพักตร์สมุดคือแอบประเคนฉันที่ทางการคิดค้นและพัฒนาขึ้นเองอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่ขานเวลาเข้ารายการหลังจากตัดโฆษณา พิธีกรกับอาจารย์กรุณาซึ่งคุยกันอย่างสนิทสนมค่อยเงียบเสียง กลับสู่ท่านั่งหลังตรงเป็นทางการ ต่อเมื่อเสียงดนตรีเข้ารายการจบลง พิธีกรสาวใหญ่จึงว่า “เอาละ–” เสียงไม่มี เจ้าหล่อนกระแอม “เอาละค่ะ ช่วงที่แล้วท่านอาจารย์กรุณาได้เอื้อนวจีปลดปรัศนีแล้วว่า รูปของน้องเยียที่ถูกปันว่อนโลกอรลาย ณ บัดนี้ ที่แท้เป็นรูปตัดต่อ แล้วบัญชีพักตร์สมุดนั้นก็เป็นของที่พวกชังถังทำเลียนแบบเพื่อใส่ร้ายนะคะ ถึงช่วงเพลาท้ายนี้ดิฉันอยากเรียนถามท่านอาจารย์เจ้าค่ะ จากอุบัติการณ์น้องวันเนาว์ ทางการก็หาได้นิ่งนอนใจ ทว่าได้ออกมาตรการใหม่เพื่อคุ้มครองเยาวชนของเราด้วยใช่มั้ยคะ”
“ถูกต้องค่ะ” อาจารย์กรุณายิ้มแสดงลักยิ้มขวัญใจถังขยะ “บัดนี้ทางฝ่ายการศึกษาได้ประสานกับสถาบันการศึกษาทุกแห่งแล้ว ต่อไปนี้จะมิใช่เพียงครูอาจารย์ที่จับตานักเรียน แต่จะเป็นเด็กๆ ที่มีโอกาสจับตากันเองด้วย และหากใครนำรายชื่อเพื่อนที่แสดงพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงมาแจ้งครูอาจารย์ ก็จะได้คะแนนเพิ่มพิเศษในการสอบเอษะกาศไป”
“เป็นนโยบายที่สร้างสรรค์มากๆ นะค้า เอาละค่ะท่านผู้ชม–” พิธีกรหันจากแขกรับเชิญเข้าหากล้อง กำลังจะสรุปส่งท้าย ทว่าอีกเสียงกลับดังแทรก
“ขออภัยครับ ขออภัย!”
ทั้งเยียรยง ยรรยง และนางโฉมยงต่างตกใจ ผู้ที่ลุกยกมือตะโกนแทรกเสียงดังคือนายยุทธ์!
ก่อนที่พิธีกรหรือใครจะได้พูดอะไร บิดาเยียรยงแทรกต่อ “นอกจากมาตรการที่ท่านอาจารย์กรุณาเล่ามา ไม่ทราบว่าทางการยังมีแนวทางรับมืออย่างอื่นอีกมั้ย เพราะดูเหมือนว่าเหตุการณ์โรคประหลาดนี้จะไม่เคยเกิดมาก่อน แสดงว่าแผนแม่บทสยามติงสติวรรษก็ไม่น่าเขียนทางออกเอาไว้–”
แสงบนเวทียังไม่เปลี่ยน แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของอาจารย์กรุณาเปลี่ยนเข้มขึ้นทันควัน เยียรยงรู้ว่าพ่อคงแค่กลัวว่าเธอจะต้องติดบ่วงละครนี่ไปอีกนาน และอาจเป็นอันตราย
แต่คนอื่นจะไม่คิดแค่นั้น
ใช่ ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน คำถามของพ่อจะกลายเป็นเครื่องกระตุ้นการลงคะแนนไม่ยอมรับแผนแม่บททันที!
……………………………………
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป