-๑-
สยามติงสติวรรษ
…………..
ศุภมัสดุ พระพุทธศรีศักราช ๒๖xx ปีมะเมีย โทศก วันพฤหัส เดือนหก แรมเก้าค่ำ เพลาสี่นาฬิกาห้าบาท ณ อาคารอำนวยการสยามอลังการ มหาสัปปุรุษรวบรวมกำลังหาญตรึงเหตุระส่ำได้ในท้ายสุด หลังจากผู้ทุรยศปลุกปั่นไพร่ราบรุกรบแลจุดพระเพลิงหมายเผามหานาครให้ไหม้เป็นจุณไป ฝ่ายขบถแตกพะพ่ายย้ายจะแจ้น ที่ร่วงในแดนอัคคีก็มอดไปตามวิบาก หากถูกจับได้ก็หมายโทษชั่วโคตรชั่วเหง้า มหาสัปปุรุษแลพวกพ้องรุมเข้ากินเมือง มีข้าทาสเฟื่องคอยคุ้ม ตีรุมกลุ้มไพร่มิให้กำเริบการใหญ่เยี่ยงในกาลก่อน
ลุกึ่งศักราช มหาสัปปุรุษแลวงญาติจึ่งวางบัญญัติเพื่อพิภากษาแลกระลาการใหม่หลายโกฏิ รวมเรียกว่าแผนแม่บทสยามติงสติวรรษ อันสมาชิกทุกคนควรปฏิบัติตามเพื่อความศานติ แลหากคราใดอุบัติมีสงกา จุ่งผินหน้าพิศปถพีทั่วนาคร รำลึกว่าผืนผากดำด่างหาความอุดมมิได้นั้น ก็ล้วนเกิดแต่ความวิบัติฉิบหายของวิสัยขบถ พระเสื้อเมืองพรนิยาย,นวนิยาย,ปราบต์ะทรงเมืองจึ่งดลให้เวหาสเหนือสยามยังมีสีเสนอมชาดมาชั่วกาลนาน ปราศฟ้าฝนตกต้องตามฤดู–
ศุกร์ ๒๐ กุมภาพันธ์
๑ เดือนก่อนวันลงคะแนน
เยียรยงเงยขึ้นจากกระดานไฟฟ้าที่เปิดหน้าหนังสืออยู่ ปิดตา ขยับปากพึมพำท่องจำ
แผนแม่บทสยามติงสติวรรษเป็นวิชาบังคับที่เด็กไทยต้องเรียนกันตั้งแต่ชั้นก่อนประถม เริ่มปูพื้นฐานให้ท่องจำว่าการเป็นเด็กที่ดีนั้นมีลักษณะอย่างไร สมาชิกโรงงานที่พึงประสงค์นั้นเป็นเช่นไร พอพื้นฐานแน่น ชั้นโตขึ้นจึงขยายไปท่องเนื้อความในแผนแม่บทข้ออื่นๆ
เด็กสาวจำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง ข้อสอบกลางจากพวกฝาถังเคยถามว่า ‘เราสามารถจำแนกสมาชิกโรงงานด้วยวิชาแผนแม่บทสยามติงสติวรรษได้หรือไม่ อย่างไร’ มันเป็นข้อสอบที่ได้รับการกล่าวขวัญเลยทีเดียว เพราะปกติพวกฝาถังมักออกแต่ข้อสอบปรนัย นอกจากนั้น นักรณรงค์ฝ่ายซ้าย — หรือที่ถูกเรียกกันว่ากลุ่มชังถัง – ยังออกมาเคลื่อนไหวว่า ข้อสอบดังกล่าวคือตัวอย่างชั้นดีอันชี้ให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันในสังคมของนครโรงงานแห่งนี้ ซึ่งแผนแม่บทสยามติงสติวรรษไม่เคยแก้ไขได้ตามเนื้อหาที่พยายามล้างสมองสมาชิกมาหลายสิบปี
สมัยนั้น เยียรยงอ่านเจอข้อความดังกล่าวในโลกอรลายแล้วได้แต่ส่ายหน้า รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระและคิดเล็กคิดน้อย คำตอบของข้อสอบข้อนั้นง่ายมาก ‘ใช่ เราสามารถจำแนกสมาชิกโรงงานด้วยวิชาแผนแม่บทสยามติงสติวรรษได้โดยพิจารณาว่าใครท่องจำเนื้อความได้หรือไม่ สมาชิกที่ท่องจำได้ย่อมอยู่ในลำดับชั้นขยะทั่วไปขึ้นไป–’
เด็กสาวเป็นขยะทั่วไป แต่หยิบมาทบทวนอีกทีเพราะมันเบาที่สุดแล้วในจำนวน ๓๑๘ วิชาในการสอบเอษะกาศซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้า โดยเฉพาะ – ถ้าเป็นไปตามการเก็งข้อสอบของหลายๆ สำนัก – ปีนี้แผนแม่บทสยามติงสติวรรษน่าจะเป็นวิชาที่มาแรง ต้อนรับการลงคะแนนเสียงที่จะมีขึ้นในวันเดียวกับการสอบเอษะกาศ!
สมาธิถูกกระชากเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เยียรยงเปิดตา ก้มดูกระดานไฟฟ้าบนเตียงอีกครั้ง หน้าจอสามมิติแสดงภาพสัญลักษณ์ของแอบประเคนฉันพูดคุยอรลายขึ้นมาด้านข้าง บ่งบอกว่ามีผู้ทักเข้ามา
‘เพิ่งถึงบ้าน’ นั่นจากสุราลัย
‘นี่ยังไม่ถึง’ กระปุกตอบ
‘ไอ้เยียถึงแล้วอะดิ’
เยียรยงขำคิก ตอบด้วยเสียงให้เครื่องพิมพ์เป็นข้อความอัตโนมัติว่า ‘ใช่’
‘อิจฉาพวกขยะทั่วไป!’ สุราลัยบ่น
เปล่า นั่นไม่ได้หมายความว่ากระปุกกับสุราลัยไม่สามารถท่องแผนแม่บทสยามติงสติวรรษ แม้สองคนนั้นมีผลการเรียนไม่ดีเท่าเยียรยง แต่ก็ท่องกันได้ตั้งแต่ก่อนจบชั้นประถม
มีผู้ศึกษาว่าที่แท้ ‘ขยะทั่วไป’ มีความหมายหลายมิติ แต่ละมิตินั้นมีทั้งทับซ้อนและเลื่อนไหล ใช้เปรียบเทียบต่างเกณฑ์ขั้นต่ำของผู้ที่สามารถท่องแผนแม่บทได้หนึ่ง บ่งบอกอาชีพของสมาชิกโรงงานซึ่งทำงานอยู่ในแผนกกำจัดขยะทั่วไปหนึ่ง แล้วยังหมายถึงสมาชิกที่อาศัยในหอพักรอบนอกของศูนย์กลางสยามอลังการอีกด้วย
หอพักนี้แม้จะเก่าโทรม แต่ก็เป็นความฝันพื้นฐานของสมาชิกโรงงานสยามอลังการส่วนใหญ่ มันมั่นคงกว่า สะอาดกว่า ใกล้ตัวเมืองมากกว่า และปลอดภัยกว่าการอยู่ในอาคารซึ่งก่อสร้างจากเศษขยะอย่างที่ชาวขยะเปียกอาศัยอยู่
เยียรยงยอมรับว่าตั้งแต่ได้ย้ายจากบ้านขยะมาอยู่ในหอพักนี้ ชีวิตของเธอดีขึ้นมาก โรงเรียนของเธอเป็นโรงเรียนชั้นดี ตั้งอยู่ค่อนเข้ามาใจกลางเมือง การมีบ้านใกล้ใจเมืองจึงย่นระยะเวลาเดินทางอักโข คะแนนสอบของเยียรยงไม่เคยตกจากสามอันดับสูงสุดอีกเลย เพราะเธอไม่ต้องเสียเวลาและเสียแรงเหนื่อยกับการเดินทางอีกแล้ว แล้วการนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ในห้องพักก็รู้เรื่องกว่าการยืนอ่านบนรถประจำทางตั้งเยอะ
ทั้งที่คิดอย่างนั้น เด็กสาวตอบเพื่อนไปว่า ‘ท่านก็อ่านหนังสือบนรถไปพลางก่อนซี มิพักประเดี๋ยวจักถึงเรือน’
‘โอ๊ย’ สุราลัยส่งภาพกระติ๊กเก้อรูปแมวโวยวายมาให้ ‘คุยกะเพื่อน มึงเลิกใช้ภาษาห่านี่ซะที!’
‘โทษๆ’ เยียรยงหัวเราะ ‘ก็มันชิน’
แผนแม่บทสยามติงสติวรรษ ‘แนะนำ’ ให้สมาชิกของโรงงานใช้ภาษาเขียนและภาษาพูดแบบสุภาพเช่นนั้น มันเป็นภาษาที่มีถ้อยคำและจังหวะไพเราะ แสดงถึงอารยธรรมอันรุ่มรวยของคนไทย คำต่างชาติทั้งหลายที่ไม่มีคำแปล แม้จะใช้ทับศัพท์ แต่ก็แผลงอย่างอนุรักษ์คำไทยไว้ อาทิ เอษะกาศ มาจาก S-Cast อรลาย มาจาก Online แอบประเคนฉัน มาจาก Application หรือ กระติ๊กเก้อ มาจาก Sticker
แม่กับพี่ชายเป็นคนปลูกฝังให้เยียรยงอ่านและใช้ภาษาดังกล่าวจนชิน อาจเพราะทั้งคู่โตมาในยุคที่สังคมโรงงานเคร่งครัดกว่านี้ ว่ากันว่าหน่วยงานของพวกฝาถังเคยเรืองอำนาจจนสามารถสอดส่องโลกอรลายได้ปรุโปร่ง สมาชิกที่มีทีท่าขัดขืนต่อ ‘คำแนะนำ’ ในแผนแม่บทจะถูกเชิญไปเรียกสติ – แน่นอน การใช้ภาษานอกตำราก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น สมัยที่เยียรยงยังเด็ก สมาชิกบางรายถึงกับต้องลอบใช้แอบประเคนฉันใต้ดินเพื่อคุยกันด้วยภาษาพูดปกติเลยทีเดียว
ไม่ทันเจรจาอะไรมากกว่านั้น เสียงเปิดประตูก็พลันดังแทรก
“นั่นไง!” เสียงผู้เป็นแม่ลอยตามมา “คิดไม่ผิด มัวแต่เล่นกระดาน แล้วมันจะสอบได้มั้ยเนี่ย!”
นางโฉมยงแม่ของเยียรยงอยู่ในชุดเครื่องแบบของแผนกกำจัดขยะเปียก เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีเทานี้ตัดเย็บด้วยผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งได้จากการรีทรายโก้เศษขยะในแผนกนั่นเอง สมัยก่อน ครั้นได้เสื้อตัวใหม่รายสามปี นางโฉมยงกับสามีจะผลัดชุดเครื่องแบบเก่าเป็นชุดอยู่บ้าน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปในตัว แรงงานแผนกขยะเปียกได้รายรับไม่มาก เดี๋ยวนี้ฐานะของครอบครัวดีขึ้นหน่อยเพราะลูกชายเรียนจบและได้งานมั่นคง แต่นางโฉมยงกับสามีก็ยังติดนิสัยมัธยัสถ์ ไม่ยอมเจียดเงินซื้อเสื้อมือสองจากชนชั้นขยะรีทรายโก้แบบที่ชาวขยะทั่วไปนิยมกัน
อย่างไรก็ดี ชุดเครื่องแบบวันนี้ไม่ใช่ชุดเก่าที่ถูกผลัดมาใช้อยู่บ้าน นางเพิ่งเลิกงานและเดินทางกลับมาถึงที่พัก เห็นชัดจากผมฟูเป็นกระเซิงและหน้าดำมันแผล็บ
“สุราลัยมันเพิ่งทักมาเอง หนูก็อ่านหนังสือตลอดแหละแม่” เยียรยงตอบมารดา ลุกมาเกาะแขนพะนอ
เด็กสาวรู้ว่าสถานการณ์ของแม่กับพ่อตรงข้ามกับเธอ ขณะที่การย้ายที่อยู่ช่วยให้เธอเดินทางสะดวก พ่อแม่กลับต้องทุลักทุเลไกลขึ้น แผนกขยะเปียกที่ทั้งคู่ทำงานอยู่ด้วยกันนั้นตั้งห่างออกไปรอบนอกตัวเมืองโรงงาน ในแต่ละวันพ่อกับแม่ต้องโหนรถเมล์ร้อนนานกว่าสามชั่วโมงทั้งขาไปขากลับ พี่ชายยุให้ทั้งคู่ลองหางานใหม่ในแผนกขยะทั่วไปซึ่งอยู่ใกล้เข้ามา ถึงกระนั้น เป็นที่รู้กันว่าแม้ความน่าเชื่อถือของการงานลูกชายจะช่วยเพิ่มโอกาส แต่อายุพ่อกับแม่ก็ล่วงเลยจนยากจะมีใครรับเข้าเป็นพนักงานใหม่แล้ว โดยเฉพาะในแผนกชนชั้นที่สูงขึ้นกว่าเดิม
“อ่านๆ น่ะ ให้มันจริงเถอะ” แม่ยังบ่น แม้สัมผัสของลูกจะทำให้เสียงอ่อนลงหน่อย “ดูพ่อกับแม่เป็นตัวอย่าง เอ็งอยากจะลำบากอย่างนี้รึเปล่า”
เยียรยงรู้ นี่ละเหตุผลที่พ่อแม่เคี่ยวเข็ญเธอกับพี่ให้ตั้งใจเรียนเสมอมา พ่อแม่เชื่อว่าการศึกษาเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัว
นับว่าโชคดีที่ทั้งเยียรยงและยรรยงพี่ชายต่างก็รักดีและหัวดีทั้งคู่ เยียรยงได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆ ของชั้นเรียนเสมอ เธอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชั้นดีได้ตั้งแต่ ม.ต้น ถึงตอนนี้ก็มีความหวังว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นดี และจบออกมาได้การงานที่ดีในอนาคต ข้างยรรยงแม้จะไม่หัวดีเท่าน้อง แต่ก็ประคองตัวอยู่ในชั้นแนวหน้า สามารถสอบเข้าโรงเรียนรักษาความปลอดภัยได้ตั้งแต่ ม.๔ ทำให้พ่อแม่ประหยัดเงินค่าเล่าเรียนลูกไปได้คนหนึ่ง แถมยังมีเงินเดือนจากโรงเรียนรักษาความปลอดภัยมาจุนเจือคนในบ้านตั้งแต่ตอนนั้น
“วันนี้มีอะไรกินบ้างจ๊ะแม่”
“เอ็งอาบน้ำแล้ว ปล่อยแม่น่ะ ตัวเหนียวๆ” แม่ปัดมือเธอ หมุนตัวเพื่อเดินนำออกมาที่ห้องนอน ตอบว่า “วันนี้ยายสมหมายแกทำแมงสาปทอดซะที ไปตื๊อหลายวันแล้วเลยยอมใจอ่อน แมงสาปทอดมันแพงกว่าเอาไปทำแกง ขายลำบาก”
“เป็นตัวนิ่มรึเปล่าแม่”
“ใช่สิ แกเลือกมาแต่พวกที่เพิ่งลอกคราบ ทอดพริกกะเกลืออร่อยกว่า แล้วก็มีปักปักด้วย–”
“อ้าว แต่ปักปักมัน–!”
ปักปักคือเมนูหลักของชาวขยะเปียก ผู้ปรุงจะแสวงเศษอาหารจากกองขยะ โดยเฉพาะกระดูกไก่ติดเนื้อ นำมาล้างน้ำหลายๆ ครั้ง แล้วตั้งไฟคลุกกับน้ำปรุงรสมะเขือเทศในกระทะ น้ำปรุงรสจะช่วยให้เป็นจานโอชา ทั้งยังบรรเทากลิ่นกองขยะให้เจือจางลงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากเครือข่ายสมองกลทำให้เยียรยงรู้ว่าวัตถุดิบจากกองขยะนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งยังทำให้เกิดโรค แม้แต่ในประเทศที่โรงงานของพวกเธอตั้งอยู่ก็รณรงค์ไม่ให้ประชากรของพวกเขากินของเหล่านี้ เด็กสาวจึงเตือนพ่อกับแม่หลายทีว่าให้พยายามหลีกเลี่ยง
“รู้!” แม่ลงน้ำหนักเสียง “แต่ยายสมหมายยืนยันว่าไม่ได้เอาของมาจากกองขยะ แกว่าไปรับเศษอาหารจากร้านเหลาของพวกรีทรายโก้”
“ก็แล้วไป” ลูกสาวอุบอิบ อันที่จริงเธอก็คิดถึงรสชาติปักปักซึ่งห่างลิ้นไปนาน
ก้าวเดียวจากห้องนอนก็ถึงส่วนกลางห้องพัก พื้นที่ไม่กว้างในส่วนนี้มีข้าวของกองสุมริมผนังอย่างเป็นระเบียบ กลางวันจะใช้นั่งเล่นหรือรับประทานอาหาร หากเป็นคืนที่ยรรยงกลับบ้าน พี่ชายจึงจะกางฟูกออกมานอน อุทิศห้องนอนห้องหนึ่งให้เธอ กับอีกห้องให้พ่อกับแม่ มีห้องน้ำเล็กๆ กับพื้นที่ส่วนครัวเล็กยิ่งกว่าอยู่ตรงระเบียง
เวลานี้ พ่อถอดเสื้อเหลือแต่ร่างผ่ายผอม แขนยาวผอมจนเห็นกระดูกปูดโปนเป็นช่วงๆ กำลังสะบัดผ้าปูรองเปื้อนลงบนพื้น ครั้นเห็นเธอกับแม่ก็หันมายิ้มให้ เห็นฟันที่ผุจนเหลือเหลืองอ๋อยอยู่แค่ไม่กี่ซี่ ขนจมูกของพ่อยาวแลบออกมา ผิวหน้าก็คล้ำกร้านเป็นริ้วรอยสารพัด ถึงกระนั้นมันเป็นยิ้มที่สดใสสวยงามเสมอในสายตาของเยียรยง
“ว่าง้าย ได้กลิ่นปักปักแล้วล่ะสิ ไม่ใช่ฝีมือพ่อนะ” ว่าแล้วคนพูดก็พยักเพยิดไปที่แม่อย่างรู้กัน
“เดี๋ยวเถอะพ่อ!” แม่หัวเราะ
เยียรยงนั้นมีรูปลักษณ์ต่างจากพี่จากพ่อแม่ไปไกล ในขณะที่คนทั้งหมดผอมคล้ำ ค่อนข้างสูง เธอกลับอวบขาว และมีแนวโน้มว่าจะไม่สูงมากไปกว่านี้ – ที่ก็ไม่สูงอยู่แล้ว แถมการเคลื่อนไหวยังดูต้วมเตี้ยมน่ารำคาญใจ
ทั้งหมดนี้อาจเพราะตลอดมาเธอแทบไม่เคยต้องขยับตัวหรือออกแรงมากมาย พ่อแม่ทำเพื่อเธอและพี่ชายทุกอย่าง เยียรยงไม่เคยต้องใช้แรงงาน ไม่ต้องทำอาหารหรือทำความสะอาดบ้านอย่างสุราลัย ไม่ต้องช่วยที่บ้านเลี้ยงน้องเลี้ยงหลานอีกโขยงใหญ่อย่างกระปุก หน้าที่ของเธอมีเพียงตั้งใจเรียนหนังสือ ครั้นรับผิดชอบมันได้ดี พ่อกับแม่จึงให้รางวัลเป็นความสุขสบายเท่าที่จะให้ได้ เพื่อนบ้านตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ค่อนขอดพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกเป็นสำลี ทั้งที่พ่อกับแม่เป็นถ่าน แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยใส่ใจ
“หนูช่วยจ้ะ” เยียรยงมักเป็นฝ่ายอาสาเอง เด็กสาวนั่งลงข้างพ่อ ยกมือป้อมขาวดูนุ่มนิ่มขึ้นจับผมดำสั้นเต่อปลายงอนน้อยๆ ขึ้นทัดหู ช่วยพ่อแกะปิ่นโตออกจากเถา ถึงกระนั้นครั้นยกปิ่นโตขยับก็ถึงกับอ้าปาก “โห หนัก!”
“วางเถอะน่า เรามันไม่ค่อยมีแรง” พ่อหัวเราะเอ็นดู “พ่อรู้ว่าหนูชอบซดน้ำปักปัก ก็เลยขอเขามาเยอะๆ น่ะ”
“ไหนว่าแม่จัดการไง”
พอลูกสาวแสร้งค้อนให้ พ่อก็รับไม้ต่อโดยตะครุบปากตัวเองร้อง “อุ๊ย!”
เยียรยงขำคิก “ทีหลังหนูว่าให้หนูเป็นคนซื้อกับข้าวเข้าบ้านดีกว่านะ โรงเรียนอยู่แค่นี้ หิ้วแป๊บเดียว พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องถือของหนักๆ นานๆ”
พ่อส่ายหน้า “โรงเรียนเอ็งมันอยู่เกือบจะกลางเมืองแล้วลูกเอ๊ย แถวนี้ของแพง”
“แต่เดี๋ยวนี้บ้านเราก็พอมีเงินแล้ว–”
“แน่ะ” แม่ส่งตาเขียว “เริ่มติดนิสัยคนเมืองมาจนได้!”
“แม่อีหนูก็” พ่อเป็นคนไกล่เกลี่ยทุกที “ลูกมันรักเราน่า”
“พ่อกะแม่ก็กลัวหนูหิ้วหนักใช่มั้ยล่า” ลูกสาวอ้อนเข้าซุกพ่อ นายยุทธยกแขนโอบศีรษะลูกสาวไว้ ใช้ฝ่ามือแข็งเป็นไตตีหน้าผากเยียรยงอย่างรักใคร่แทนคำตอบ
“จ้า” แม่ขานเสียงยาว ลุกไปหยิบขันใส่น้ำบุบบู้มาวางข้างวงข้าว
น้ำสะอาดเป็นของหายากในอาณาเขตไพศาลของโรงงานนี้ เฉพาะในตัวเมืองมีแม่น้ำสายเดียวไหลผ่าน แต่ทั้งสายก็เป็นสีเดียวกันกับพื้นดิน – ดำด่างเหมือนถ่านคลุกเถ้า! แถบชุมชนของพวกขยะรีทรายโก้มีแผนกกลั่นน้ำสะอาดไว้เจือจานสมาชิกโรงงาน ทว่าผลผลิตไม่เคยเพียงพอ พวกฝาถังเสียสละโดยยอมสั่งซื้อน้ำจากเขตนอกโรงงาน ไหนจะค่าสินค้า ค่าขนส่ง นับว่าเป็นความใจกว้างที่พวกนั้นยอมรับภาระไว้กับตัว การใช้น้ำราคาแพงอย่างประหยัดยังเป็นการประชาสัมพันธ์ทฤษฎีพอเพียงในแผนแม่บทให้เห็นจริงอีกด้วย
“เรายังต้องใช้เงินระวังๆ” พ่อหันมาบอกเยียรยง “เศรษฐกิจไม่ดีขึ้นเลย พ่อกับแม่ก็อายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะโดนให้ออกเมื่อไหร่”
เยียรยงเข้าใจ ในความเป็นจริงแม้พ่อกับแม่จะเพิ่งต้นเลขสี่ ทว่าร่างกายทรุดโทรมเนื่องจากสภาพการใช้ชีวิต มองผิวเผินใครๆ ก็ต้องเข้าใจว่าย่างห้าสิบเข้าไปแล้ว
“แต่เขาว่าหลังลงคะแนนครั้งนี้ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นนะพ่อ”
“จะไปหวังอะไรกะของพรรค์นั้น–”
พ่อพูดยังไม่ทันขาดคำ แม่ก็ว่า “ไม่เอาๆ คดข้าวเถอะน่า ปักปักยังร้อนๆ”
แต่หัวข้อที่แม่ไม่ยอมให้พูดถึงนั่นร้อนกว่า!
เยียรยงยอมหุบปากลงแต่โดยดี
. . . . . . . . . .
กระดานไฟฟ้าคืออุปกรณ์ที่สมาชิกโรงงานมีติดตัวกันเกือบทุกคน ขนาดมาตรฐานมีความสูง ๓๘ กระเบียด กว้าง ๒๗ กระเบียด ได้ข่าวว่ารุ่นล่าสุดบางแค่ราวๆ ๑.๓ หุน และหนักไม่เกิน ๒๕ บาท แต่แผ่นที่เยียรยงใช้นั้นตกรุ่นไปแล้ว หนาตั้งเกือบ ๒ หุน แถมหนักขึ้นมาแตะ ๒๘ บาท แต่ระบบปฏิบัติการก็ยังรองรับการทำงานได้ดี ความเร็ว หน่วยความจำ เวลาพับหรือม้วนเก็บก็ยังไม่มีปัญหา
สมาชิกโรงงานใช้กระดานไฟฟ้าทำกิจกรรมเกือบทุกอย่างในชีวิต ทั้งหาและเก็บข้อมูล จ่ายเงิน ติดต่อสื่อสาร กิจกรรมสันทนาการ ตลอดจนอ่านหนังสือ ขณะนี้หน้าจอของเยียรยงถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือหนังสือเรียนพิเศษวิชาตรรกะในอตรรกศาสตร์ อีกส่วนคือแอบประเคนฉันสุโนกซึ่งเป็นสังคมอรลายที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่อย่างสูง มีรูปนกสีขนคอนางยูงเป็นสัญลักษณ์ ผู้ใช้จะประกาศความคิดเห็นลงสั้นๆ แต่ละประกาศไม่เกินจำนวนตัวอักษรที่ทางแอบประเคนฉันอนุญาต ประกาศที่แสดงขึ้นบนหน้าจอนั้นขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะติดตามใคร หรือหัวข้ออะไร ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคน เยียรยงติดตามดาราหนุ่มชื่อดังจากฝั่งเมียนมาเป็นหลัก หากทว่าเพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มร้อนขึ้นทุกที ช่วงหลังนี้จึงมีประกาศอันไม่ชวนพึงใจแสดงขึ้นมาให้เห็นบ่อยๆ
ประกาศที่เด็กสาวอ่านอยู่นี้ปันมาจากเครือข่ายข่าวอรลาย หัวข้อว่า ‘ผู้รณรงค์คว่ำบาตรแผนแม่บทสยามฯ ต้องคะดีเน่งอำยวนบมิยื่นภาษี อีก ๑ กระลาการไม่รับอุธรคะดียุบกิจการอีก ๑–’ เจ้าของประกาศเพิ่มความเห็นส่วนตัวลงไปว่า ‘เหี้ย! จ้องจะตัดขากันทุกทาง!’
“—เอาละครับ วันนี้พอแค่นี้ กลับบ้านไปนักเรียนควรทบทวนข้อสอบบ่อยๆ อตรรกศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่อยู่ๆ จะคิดเองขึ้นมาได้ลอยๆ ยิ่งฝึกจะยิ่งทำได้ไว แล้วเจอกันคาบหน้าครับ”
สิ้นสุดเสียงนั้น ภาพโฮระกำร่างของอาจารย์หนุ่มสอนพิเศษชื่อดังที่ยืนลอยอยู่เหนือเก้าอี้ฟังบรรยายทุกตัวในห้องเรียนก็ดับหายไปพร้อมกัน เสียงเก็บข้าวของ ลุกยืน เลื่อนเก้าอี้ และเสียงพูดคุยของนักเรียนในห้องขนาดกว้างเริ่มดังจากมุมนั้นมุมนี้
“รำคาญอีพวกเด็กห้องสดตอบไว” สุราลัยบ่นหลังจากลุกยืนข้างกัน เข้าแถวรอออกจากห้องเรียน “กูรู้ค่ะว่ามึงเป็นพวกฝาถังการศึกษาดี พร้อมลงสนามรบ แต่ไม่ต้องยกมือตอบข้อสอบไวจนเด็กห้องวิดีโอจิตแตกแบบนี้ก็ได้!”
เพื่อนของเยียรยงหมายถึงเด็กนักเรียนในห้องเรียนที่ใช้ถ่ายทำภาพเคลื่อนไหวการสอนเมื่อครู่ ไม่รู้กี่ทศวรรษแล้วที่การเรียนพิเศษผ่านหน้าจอเช่นนี้มีขึ้น เด็กฐานะดีจะมีสิทธิ์เลือกเข้าไปเรียนในห้องเรียน ‘สด’ ซึ่งค่าเรียนแพงกว่า ได้เจอได้ถามครูผู้สอนตัวเป็นๆ ในห้องถ่ายทำ ขณะที่เด็กฐานะด้อยลงมาจะได้เรียนแค่ในห้องภาพเคลื่อนไหวเช่นนี้
อันที่จริง ผู้สอนที่มีชื่อเสียงหลายรายเคยพยายามใช้วิธีให้นักเรียนเรียนผ่านหน้าจอกระดานไฟฟ้าที่ไหนก็ได้ แต่ปรากฏว่ามีพวกหัวใสแอบทำซ้ำและแพร่ภาพเคลื่อนไหวว่อนไปในโลกอรลาย ท้ายสุดจึงต้องกลับมาใช้วิธีให้เรียนในอาคารหรือสถานที่ที่สามารถควบคุมได้เท่านั้น ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ชอบใจที่ถูกผลักภาระค่าใช้จ่ายการเดินทาง และค่าเช่าสถานที่จัดเรียนมาเช่นนี้ อย่างไรก็ดี เด็กจากระดับขยะทั่วไปลงไปมักพึงใจ เพราะที่เรียนพิเศษส่วนใหญ่ถูกจัดในอาคารค่อนข้างดี ได้รับการปรับปรุงเพื่อป้องกันสิ่งรบกวนนานา โดยเฉพาะกลิ่นขยะซึ่งเด็กเหล่านี้ต้องเผชิญอยู่แทบจะตลอดเวลา การได้ออกมาเรียนข้างนอก นอกจากได้เปิดหูเปิดตา จึงยังช่วยให้นักเรียนมีสมาธิและเรียนรู้เรื่องมากกว่าด้วย
กระปุกขยับแว่น ยิ้มจนตาหยีและเห็นร่องลักยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากด้านล่าง ระหว่างไหลตามออกมาถึงด้านหน้าประตูห้องเรียน “เราเห็นเยียมันทำข้อสอบเสร็จไวกว่าพวกในวิดีโอนั่นอีก”
“โอ๊ย!” สุราลัยร้องเสียงดัง ท่าจะยิ่งหงุดหงิดเพราะเป็นสาวร่างใหญ่คล้ายหมีขาวที่สูญพันธุ์ไปแล้ว กว่าจะพ้นกลุ่มคนมาได้ก็ลำบากเต็มที
เยียรยงรีบยกมือแตะริมฝีปาก “ชู่วว์!” พยักไปทางด้านหลัง เด็กหนุ่มรายหนึ่งซึ่งเพิ่งก้าวออกจากห้องเรียนมาเช่นกันกำลังหันมาทางนี้
“เขาสนใจแกรึไง” สุราลัยประชดเสียงไม่เบานัก
“ผู้ชายหน้าตาดีๆ อย่างนั้นจะมาสนใจพวกเราเหรอ” กระปุกหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
ว่าที่จริงเด็กหนุ่มรายนั้นไม่ถึงกับ ‘หน้าตาดี’ แต่เพราะมีรูปร่างสูง บุคลิกเยี่ยม ถึงจะมีหน้าตาเรียบๆ จึงมองรวมๆ แล้วกลายเป็นดูดีไปโดยปริยาย เจ้าตัวเสใบหน้าไปทางด้านหลัง คล้ายเขินที่ถูกจับได้ว่าแอบมอง แต่ในไม่ช้าก็มีใครบางคนก้าวตามออกมาจากห้อง เจ้าตัวก็รีบเข้าไปช่วยพยุง ระยะที่อยู่ไม่ไกลทำให้เยียรยงได้ยินเสียงทุ้ม “ไหวรึเปล่า”
ผู้ถูกถามเป็นเด็กสาวใส่แว่นหนาเตอะ รูปร่างผอมบาง ขณะนี้ใบหน้าอันเต็มไปด้วยผื่นสิวดูซีดเผือดจวนจะเขียว ตาปรือ ริมปากเริ่มกลายเป็นสีม่วง
“ปวดเยี่ยว” เสียงของสุราลัยดึงความสนใจกลับมา “ไปเยี่ยวกัน”
“ไปดิ” ดูก็รู้ว่ากระปุกไม่ได้ปวด แต่เป็นคนว่าง่ายมากกว่า
ระหว่างที่กำลังจะเดินตามเพื่อนไป เยียรยงถูกรั้งไว้จากเสียงทุ้มเดิม “เธอ”
เด็กสาวร่างท้วมหันไปงงงวย
เจ้าของเสียงต้องก้มหน้าลงมาเพื่อพูดกับเธอ ใบหน้ายาวตัดผมทรงนักเรียน เสื้อผ้าค่อนข้างเก่ามีตัวอักษรภาษาอังกฤษ แสดงว่าน่าจะเป็นมือสองจากต่างชาติแบบเดียวกับที่พวกขยะทั่วไปชอบใส่ แต่รูปแบบเข้ากับเจ้าตัวทำให้ชวนมอง แขนยาวข้างหนึ่งช่วยประคองเด็กสาวหน้าซีดตรงมาด้วย
“ว่างมั้ย ช่วยทีสิ” ว่าพลางเด็กหนุ่มหน้ายาวพยักไปยังคนป่วย แล้วยกมืออีกข้างให้เยียรยงดู มีข้าวของพะรุงพะรัง — คงทั้งของตัวเองและคนที่พยุงมาด้วยกัน
โดยไม่ต้องให้ถาม เจ้าตัวพูดต่อ “พยุงคนนี้ไปส่งที่รถไฟฟ้าที ของมันเยอะ เราพาไปไม่ถนัด”
“ไม่ใช่เพื่อนเรานะ” สุราลัยปากไว
“ไม่ใช่เพื่อนเราเหมือนกัน” เด็กหนุ่มตอบ แต่เห็นชัดว่าไม่ได้โต้
ถึงอย่างไรสุราลัยก็ยังหน้าหงิก อุบอิบ “แล้วทำไมไม่ไปเรียกคนอื่นวะ”
“เราช่วยละกัน” เยียรยงสรุปอย่างคนใจกว้าง หันบอกเพื่อน “พวกแกไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วไปเจอกันข้างหน้าตึก แค่ส่งให้ รปภ.ของรถไฟฟ้าเดี๋ยวเขาก็คงช่วยต่อเองใช่มั้ย”
“ใช่” เด็กหนุ่มตอบ “ถ้าไม่ไหว รถไฟฟ้าก็มีห้องพยาบาลด้วย ตึกนี้ไม่มี”
ด้วยเหตุนี้ เยียรยงจึงแยกจากเพื่อน เด็กสาวเข้าประคองผู้ป่วยแทน ปล่อยให้ฝ่ายชายหิ้วข้าวของก้าวนำไปลำพัง ลงจากอาคารเรียนต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าซึ่งอยู่ด้านหน้านั่นเอง
ถึงแม้ละแวกนี้จะอยู่รอบนอกใจกลางโรงงาน แต่อาคารส่วนใหญ่ก็ยังก่ออิฐถือปูนอย่างดี ขยะมูลฝอยทั้งหลายถูกโกยไปทับถมเป็นภูเขาตามที่ว่างระหว่างอาคาร พอให้เห็นพื้นถนนสีดำด่างอันเกิดจากการเผาเมืองของพวกขบถเมื่อกาลก่อน ข้างถนนมีผู้สัญจรไปมาทั้งเดินเท้าและอาศัยยวดยานบนท้องถนน ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์และรถประจำทางบุโรทั่ง บางคันเห็นชัดว่าประกอบขึ้นจากโครงเก่าหรือเศษขยะ รถพวกนี้ แม้เครื่องยนต์จะใช้พลังงานไฟฟ้า ทว่าครั้นล้อบดถนน ฝุ่นละอองก็จะคลุ้งขึ้นมาจนเหมือนทั้งเมืองตกอยู่ในหมอกจางๆ ยากจะมองฝ่าไปเห็นรายละเอียดของอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เหนือถนนคือสถานีรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ สภาพเก่าโทรม แต่ยังนับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ดีดูกว่าทั้งหมด
ระหว่างช่วยพยุงก้าวขึ้นบันไดเลื่อน คนป่วยมีเสียงขลุกขลักในคอ น้ำลายเริ่มยืดออกจากปาก เยียรยงพยายามเอียงตัวออกห่าง ถึงเธอจะเติบโตจากชุมชนขยะเปียก แต่เธอก็ไม่วายแขยง “เธอ…ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวก็ถึงห้องพยาบาลแล้วละ”
แต่เป็นเช่นเดียวกับตลอดทางที่ผ่านมา ผู้ป่วยยังตาลอยสะลึมสะลือ ไม่ตอบอะไรสักแอะ
“ไอ้พวกควาย!” จู่ๆ เสียงดังลอยมาจากด้านล่างบันได เยียรยงหันไปมองพร้อมทุกคนแถวนั้น
หญิงวัยกลางรายหนึ่งกำลังดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดลายพร้อย และรูพร้อย แสดงชัดว่าน่าจะเป็นชนชั้นขยะเปียก ไม่มีกระดานไฟฟ้าใช้ ใบหน้าบวมผัดแป้งจนดูเป็นสีเทาคล้ายจะบวมขึ้นด้วยโทสะ ชายหนุ่มที่เดินเคียงกันมาอาศัยศอกสะกิด หน้ายังยิ้มขำ “แม่ประไพ เบาเสียงหน่อยจ้า!”
“กูสะใจมึงจะให้กูเงียบทำไม ไอ้คูน! มีอย่างที่ไหนโรงงานมันก็เจริญดีอยู่แล้ว เสือกตั้งท่าจะประท้วงให้เลิกใช้แผนแม่บท–!”
เยียรยงเบนสายตากลับมาด้านข้าง เป็นครั้งแรกที่ร่างซึ่งหิ้วปีกกันมาเริ่มขยับ เธอได้ยินเสียงคนป่วยหายใจฟืดฟาดรุนแรง
“เธอ…?”
“—สมควรแล้วที่พวกมันโดนคดีเข้าตะรางกันไปให้หมด เฮอะ!”
“เธอเป็นอะไร–”
คนข้างกายค่อยๆ หันมา เยียรยงถึงกับผงะ ไม่รู้ว่าเพราะแสงเงาหรือไร บัดนี้ผิวเผือดของเจ้าตัวมีเส้นเลือดปูดขึ้นจนเห็นสีชัดคล้ายลายหินอ่อน ตาปรือครู่ก่อนกลับเหลือกโพลง ทว่าตาดำหดเล็กเป็นจุดแทบจะเหลือแต่ตาขาว ปากอ้ามีน้ำลายเหนียวหนืดยืดลงมามากเข้า
เด็กสาวเผลอผงะ หันหาเด็กหนุ่มผู้มอบหน้าที่มา แต่ปรากฏว่าขายาวๆ ของผู้ชายคนนั้นกลับพาเขาห่างขึ้นไปบนสถานีแล้ว เจ้าตัวคงรู้สึกถึงการถูกมอง จึงหันกลับมาที่เยียรยง
จังหวะนั้นเอง ผู้ป่วยขยับกายแรงขึ้นคล้ายจะสลัดเธอ เยียรยงตกใจ รีบยึดเจ้าตัวไว้อย่างจะใช้เป็นหลัก คราวนี้คนป่วยถึงกับยกมือขึ้นคว้าลำคอเธอแน่น
ก่อนจะรู้สึกหายใจไม่ออก เด็กสาวก็รู้สึกว่าร่างของตัวเองลอยขึ้นจากพื้นนิดหนึ่ง และแล้วปลิวร่วงจากบันไดเลื่อน
เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือ
“—บ้านเมืองสงบๆ แล้วไม่พอใจ มึงอยากจะวุ่นวาย อยากจะจุดไฟกันขึ้นมาอีกสิ ไอ้พวกเหี้ย!”
ภาพตรงหน้าตัดเป็นพื้นบันไดลอยใกล้เข้ามา และแล้วก็กลายเป็นสีดำดับวูบ
……………………………………
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป