◊ สินค้ามีชีวิต ◊
……………….
“สถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำกรุงอินนีเซีย เมืองหลวงของประเทศมุสลิมที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน”
“เจ้านั่นว่าไงบ้าง”
“ยังยืนยันตามคำให้การเดิมครับ”
เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการตอบขณะที่สายตาจ้องมองผ่านกระจกห้องควบคุมไปยังชายผิวคล้ำผมหยิกเจ้าของร่างล่ำสันซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าคนสอบสวน
“มุสตาฟาร์ระบุว่าจะเปิดเผยรหัสผ่านเครือข่ายก่อการร้ายในภูมิภาคอาเซียนและแผนการโจมตีเป้าหมายที่เป็นแหล่งผลประโยชน์ของสหรัฐ รวมทั้งหลักฐานว่าหน่วยงานของรัฐสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อออกไปจากประเทศนี้แล้วเท่านั้น”
“แล้วทำไมมันต้องเลือกกรุงเทพฯ เป็นจุดหมาย”
หัวหน้าซีไอเอ. ประจำเอเชียที่แฝงตัวในคราบผู้ช่วยทูตขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“อย่าบอกนะว่าที่นั่นอาหารอร่อยเหมือนที่รองนายกฯ ของไทยให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่กลุ่มก่อการร้ายใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีโรงแรมของเราที่เคนยา”
“มุสตาฟาร์ต้องการให้รัฐบาลไทยอภัยโทษให้ญาติพี่น้องของตนเองที่ถูกคุมขังจากการฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐในภาคใต้ครับ”
“ตกลงหมอนี่เป็นพวกไหนกันแน่”
“ไม่ใช่โจรกลับใจร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ แต่เป็นโจรกลับใจที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าอื่นใด”
“คุณคิดว่าคำพูดของมันเชื่อถือได้หรือเปล่า”
“มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ครับ”
เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการตอบตามตรง
“มุสตาฟาร์ผ่านกระบวนการทดสอบด้วยเครื่องจับเท็จแล้ว แต่เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องออกหน้า หน่วยเหนือจึงสั่งการให้เราส่งต่อเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานความมั่นคงของไทย”
หัวหน้าซีไอเอ. ประจำเอเชียยิ้มเล็กน้อย
“ยืมมือทีมไทยให้เล่นเกมนี้งั้นหรือ”
“ใช่ครับ”
คนตอบพยักหน้า
“เราไม่ต้องเปลืองตัว แต่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตามนโยบายอเมริกันเฟิร์สของทำเนียบขาวอย่างเดียวครับ!”
อาคารผู้โดยสารขาเข้า สนามบินนานาชาติคาคาจาร์
“เป้าหมายลงจากเครื่องแล้วครับ”
ชายร่างสูงในชุดสากลติดบัตรแสดงตนบอกให้รู้ว่าสังกัดหน่วยงานความมั่นคงบอกกับหัวหน้าของตนหลังได้รับแจ้งทางเอียร์โทนที่เสียบอยู่ในหู
“อีกไม่เกิน 10 นาที คงผ่านด่าน ตม. ออกมาเจอกับเรา”
“ทำไมต้องผ่าน ตม.”
คนที่มีตำแหน่งเหนือกว่าย้อนถาม
“เขาไม่ได้มาในฐานะเจ้าหน้าที่พิเศษที่ได้รับสิทธิทางการทูตหรอกหรือ”
“เป็นความต้องการของฝ่ายไทยที่ต้องการให้เรื่องเป็นเหมือนการเดินทางปกติที่ไม่ใช่การมารับตัวบุคคลที่มีฐานะเป็นแนวร่วมคนสำคัญของขบวนการแบ่งแยกดินแดนครับ”
“งั้นก็แล้วไป”
คนพูดพยักหน้า
“เมื่อเขาร้องขอมาแบบนั้นและเราจัดให้ก็เหมาะสมดีแล้ว”
“หน่วยงานของไทยถือว่ามุสตาฟาร์เป็นกุญแจสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปยังกลุ่มก่อการร้ายซึ่งจะช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆ ได้”
“แต่ผมว่าต่อให้ทางกรุงเทพฯ ได้ตัวคนที่รู้ความลับของฝ่ายตรงข้าม มันก็คงอีกนานกว่าที่เหตุการณ์ในภาคใต้ของไทยจะสงบลง”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งมีตำแหน่งสำคัญยักไหล่ขณะที่ให้ความเห็น
“ผมเคยได้ยินมาหลายครั้งแล้วว่ามีบางคนในกองทัพไทยและนักการเมืองบางพรรคไม่ต้องการให้มีสันติสุข เพราะพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้คือแหล่งผลประโยชน์ที่ได้จากการกระทำที่เรียกว่าธุรกิจความมั่นคง”
“ผมก็ได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกันครับ”
ชายร่างสูงยิ้มเล็กน้อย
“ถ้ามันเป็นจริงก็นับว่าอำมหิตมาก เพราะชีวิตของเจ้าหน้าที่ระดับล่างทั้งทหาร ตำรวจ รวมทั้งชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยไปกับความรุนแรงที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 10 ปีแล้ว”
“เคยมีคนกล่าวหาด้วยซ้ำว่าผู้บริหารระดับสูงรู้เห็นเป็นใจในเรื่องที่คุณพูด แต่มันพิสูจน์ไม่ได้”
“ไม่ว่าที่ไหนในโลกคนที่ครองอำนาจและเป็นผู้ปกครอง ล้วนแล้วแต่มีด้านมืดให้คนกล่าวหาทั้งนั้นครับ”
“คุณพูดถูก”
ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าพยักหน้า
“รัฐบาลของเราก็มีดาร์คไซด์เหมือนกัน ไม่งั้นเราคงไม่ได้รับคำสั่งให้มารับตัวเจ้าหน้าที่พิเศษจากประเทศไทยในวันนี้หรอก”
ทั้งคู่สนทนากันอีกเพียงไม่กี่อึดใจ ร่างผึ่งผายของบุรุษชาวไทยในเครื่องแต่งกายแบบลำลองมีแจ๊คเก็ตสูทสวมทับก็ปรากฏออกมาพร้อมกับผู้โดยสารกลุ่มหนึ่ง
แม้จะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่จากภาพถ่ายที่เคยเห็นพร้อมกับรายชื่อที่ส่งมาล่วงหน้าก็ทำให้เจ้าของบ้านที่มารอรับรู้ได้ในทันทีว่าคนที่เห็นคือนายทหารเรือซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษจากเมืองไทย
ฝ่ายที่เป็นเจ้าของบ้านจึงตรงเข้าไปหาโดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้แต่น้อย
“นาวาโทคมจักร…”
เขาพูดพร้อมกับยื่นมือให้จับ
“สวัสดีครับ ในนามของสำนักงานความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ขอต้อนรับด้วยความยินดี ผมคือพันเอกนูชาลิม หัวหน้าสำนักงาน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
นายทหารชาวไทยพูดยิ้มๆ ขณะที่บีบมือตอบก่อนจะปล่อยมือแล้วหันไปทางเจ้าบ้านคนที่สองซึ่งรอที่จะแนะนำตัวเช่นกัน
“ผม… พันตรีโจโล นายทหารฝ่ายข่าวประจำสำนักงาน ยินดีที่ได้พบกับผู้พันเช่นกันครับ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ท่านทั้งสองกรุณาสละเวลามารับผมที่สนามบินด้วยตนเอง”
คมจักรพูดอย่างสุภาพ
“อันที่จริงแค่ส่งรถกับเจ้าหน้าที่ประสานงานชูป้ายกระดาษมีชื่อผมอย่างเดียวมารอที่ทางออกก็พอแล้วครับ ไม่น่าจะต้องลำบากมาด้วยตนเองเลย”
“ไม่ได้หรอกครับ ผู้พันเป็นตัวแทนฝั่งไทยที่เดินทางมาในภารกิจลับครั้งนี้ ถ้าทางเราไม่ให้ความสำคัญก็คงจะไม่ดีแน่”
พันเอกนูชาลิมกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการกับคมจักรก่อนจะถามอย่างสงสัย
“ว่าแต่ทำไมผู้พันมาคนเดียวล่ะครับ ไหนทีแรกว่าจะมีนายทหารร่วมคณะมาด้วยอีกคนหนึ่ง”
“อ๋อ… นาวาโทธงอินทร์น่ะหรือครับ”
ผู้มาเยือนจากเจ้าพระยาพูดด้วยเสียงปนหัวเราะ
“บังเอิญเพื่อนผมต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันจากอาการเจ็บอวัยวะและร่างกายอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าจับตรงไหนก็เจ็บไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า”
“รุนแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ใช่ครับ”
คมจักรพยักหน้า
“จับแขนก็เจ็บ จับคอก็เจ็บ จับท้องก็เจ็บ หมอก็เลยสั่งตรวจละเอียดส่งเข้าเครื่องสแกน MRI ให้ไปนอนในอุโมงค์เพื่อหาสาเหตุ”
“หวังว่าเพื่อนของผู้พันคงไม่เป็นอะไรมากนะครับ”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
คมจักรยิ้มแป้น
“ผมเพิ่งทราบข่าวจากการแชตไลน์เมื่อตะกี้นี้เองว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากแค่นิ้วซ้นเท่านั้นเอง”
“นิ้วซ้น…”
เจ้าของบ้านทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ใช่ครับ… พอนิ้วซ้นก็เลยทำให้เจ็บไปหมด ไม่ว่าจะใช้มือข้างนั้นไปจับอวัยวะส่วนไหน ผู้การเองก็คงจะเคยนิ้วซ้นไม่ใช่หรือครับ”
“อือ…”
“ไม่ต้องอือหรอกครับ ผมพูดเรื่องจริง ไม่ได้โม้”
คมจักรยักคิ้วแผล็บก่อนจะถามอย่างเป็นงานเป็นการบ้าง
“ว่าแต่เราจะไปกันรึยังครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ตามผมมาทางนี้เลยครับ”
พันตรีโจโลผายมือไปทางขวา
“อันดับแรกผู้พันต้องตรวจร่างกายก่อน เนื่องจากช่วงนี้ทางเราเข้มงวดเรื่องการเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชาวต่างชาติทุกคนที่จะเดินทางเข้าอินนีเซียต้องได้รับการยืนยันและผ่านการคัดกรองว่าไม่ได้เป็นพาหะในการนำแบคทีเรีย RH-5 เข้ามาด้วย”
“แล้วถ้าบังเอิญมีเชื้อล่ะครับ”
คมจักรชักสงสัย
“คนที่เป็นพาหะจะถูกผลักดันออกนอกประเทศด้วยการส่งกลับในทันทีอย่างนั้นหรือเปล่าครับ”
“ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ครับ”
พันตรีโจโลตอบขณะที่เดินคู่ไปกับนายทหารชาวไทย
“ถ้าอาการรุนแรงหรือมีเชื้อในระดับอันตราย ทาง ตม. ก็จะไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ แต่ถ้าผลการตรวจพบว่ามีเชื้อแค่เป็นพาหะก็อาจจะถูกกักตัวเพื่อดูอาการหลังฉีดวัคซีนประมาณ 6-12 ชั่วโมงเท่านั้น”
“ไม่มีปัญหาครับ”
คมจักรพยักหน้าหงึกๆ
“ผมแน่ใจว่าตัวเองแข็งแรง เพราะถ้ามีเชื้อละก็ป่านนี้อาการคงออกไปแล้วตั้งแต่ปวดหัวตามัวตัวร้อนไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนผอมแห้งแรงน้อยกินไม่ได้นอนไม่หลับกระส่ายกระสับตับพิการอาหารไม่ย่อย กินอะไรไม่อร่อย…”
“ถึงห้องตรวจแล้วครับ”
พันตรีโจโลขัดจังหวะพร้อมกับเอื้อมมือไปผลักประตู
“เชิญเข้าไปได้เลยครับ เจ้าหน้าที่รออยู่ข้างใน”
แล้วสิ่งที่ปรากฏแก่สายตานายทหารชาวไทยก็คือชายสองคนในชุดเสื้อกาวน์สีขาวเหมือนนายแพทย์ยืนอยู่ใกล้เตียงคนไข้ก่อนที่หนึ่งในสองจะเอ่ยกับพันตรีชาติเดียวกันเหมือนการตั้งคำถาม
“คนเดียวหรือครับ”
“ถูกต้อง… คนเดียวเท่านั้น”
“เชิญไปรอข้างนอกครับ ผมคงใช้เวลาไม่นาน”
“ขอบคุณมาก”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่คมจักรได้ยินจากพันตรีโจโลและเมื่ออีกฝ่ายกลับออกไปเงียบๆ เจ้าหน้าที่คนแรกก็ก้าวเข้ามาหาคมจักร
“เชิญขึ้นไปบนเตียงเลยครับ”
“ต้องถอดเสื้อมั้ย”
“แล้วแต่สะดวกเลยครับ ผมแค่อยากจะสแกนอุณหภูมิร่างกายของคุณนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“งั้นถอดดีกว่า”
คมจักรพูดยิ้มๆ
“ปกติถ้าต้องเอนหลังลงบนเตียง เสื้อผ้าของผมมักจะไม่เหลือเพื่อความสะดวกคล่องตัวในการทำอะไรๆ ตามใจเพศตรงข้าม”
ว่าแล้วคมจักรก็ถอดแจ๊คเก็ตสูทออกจากร่างก่อนจะขยับไปยังราวแขวนซึ่งอยู่ใกล้กับกระจกเงาบานใหญ่ที่ติดบนผนังห้อง
“อ้าว… ไหนว่าจะถอดเสื้อผ้าหมดยังไงล่ะครับ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งร้องถาม
“ทำไมผู้พันถึงถอดแค่เสื้อคลุมตัวเดียว”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
คมจักรตอบเรียบๆ ขณะที่พับแขนเสื้อขึ้น
“บังเอิญว่านายสองคนเป็นผู้ชายและฉันก็ไม่นิยมหุงถั่วดำ ฉะนั้นถอดเสื้อหมดไปก็ไร้ประโยชน์”
“ผู้พันมีอารมณ์ขันดีจัง”
อีกฝ่ายพูดหน้าตายขณะที่ขยับเข้ามาใกล้พร้อมด้วยเครื่องสแกนเล็กๆ บนมือ
“นอนลงสิครับ หรือถ้าจะหลับตาด้วยเพื่อจินตนาการว่าผมเป็นสาวสวยก็เชิญได้ตามสบาย ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด”
“นายเองก็มีอารมณ์ขันเหมือนกันนี่นา”
คมจักรเอนกายลงบนเตียงอย่างว่าง่าย
“ตกลงเราจะสแกนอุณหภูมิกันอย่างเดียวเท่านั้นใช่มั้ย”
“ถูกต้องครับ”
“ไม่มีการฉีดยา?”
“ไม่มีครับ”
คมจักรเหยียดยิ้มก่อนจะย้อนถึงสิ่งที่เห็นจากภาพสะท้อนในกระจกเมื่ออึดใจก่อนหน้า
“ถ้างั้นเพื่อนของนายเตรียมเข็มทำไมแล้วน้ำยาในหลอดแก้วที่ดึงเข้าไปในไซรินจ์มันคืออะไรกัน”
“แค่ยาบำรุงธรรมดาครับ เราเกรงว่าผู้พันอาจจะเหนื่อยจากการเดินทางก็เลยเตรียมยาฉีดประเภทกลูโคสบำรุงกำลังไว้ให้”
“งั้นหรือ… ฟังดูปรารถนาดีต่อแขกบ้านแขกเมืองจังเลยนะ”
คมจักรขมวดคิ้ว
“แต่เพื่อความแน่ใจ ฉันขอตรวจสอบอะไรนิดหน่อยก็แล้วกัน!”
ขาดคำ ยอดพยัคฆ์ชาวไทยก็คว้าหมับไปยังเครื่องสแกนที่มีรูปร่างเหมือนอุปกรณ์ยิงบาร์โค้ดซึ่งอยู่บนมือของเจ้าหน้าที่ร่างท้วมก่อนจะกดปุ่มแล้วจี้หมับเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามชนิดมองแทบไม่ทัน
“โอ๊ย…!”
เสียงร้องอุทานลั่นหลุดจากปากของคนที่โดนจี้พร้อมกับอาการกระตุกเฮือกบอกให้รู้ว่าโดนกระแสจากเครื่องช็อตไฟฟ้าเข้าไปเต็มๆ และนั่นจึงทำให้คมจักรรู้ว่าตนเองกำลังจะถูกปรปักษ์เล่นงานอย่างแน่นอน
ร่างของสายลับทัพเรือจึงเด้งผึงจากตำแหน่งเกือบจะในวินาทีเดียวกับที่ศัตรูคนแรกหงายโครมลงพื้นและคนที่สองถลันเข้ามาพร้อมด้วยเข็มฉีดสารพิษบนมือขวา
แต่ก่อนที่ไอ้นั่นจะเข้าถึงตัว เท้าขวาของคมจักรก็ดีดผึงเข้าใส่ข้อมือข้างที่ถืออาวุธอย่างว่องไว
ผัวะ!
แรงเตะทำให้เครื่องประหารของนักฆ่าลอยกระเด็นเกือบจะพร้อมๆ กับที่คมจักรเสือกแขนไปข้างหน้าสุดแรงเกิดหมายจะเสียบเครื่องช็อตไฟฟ้าเข้าใส่ในจังหวะอันต่อเนื่อง
แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่หมูที่จะให้เชือดง่ายๆ เพราะไอ้นั่นเอี้ยวหลบแล้วตะปบข้อมือของคมจักรพร้อมกับเบี่ยงตัวเข้าล็อคก่อนจะบิดแขน หมายจะจี้เครื่องช็อตไฟฟ้ากลับเข้าหานายทหารชาวไทยให้ได้
ถึงตอนนั้นใครแกร่งแรงเยอะกว่าย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบและดูเหมือนว่านักฆ่าเจ้าบ้านจะทำท่าจะกำชัย เพราะเครื่องช็อตอยู่ห่างจากใบหน้าคมจักรไม่ถึงคืบ
“เสร็จกูละมึง!”
เสียงคำรามที่หลุดออกมาให้ได้ยินทำให้คมจักรซึ่งถูกดันไปติดผนังหลังกระแทกฝารู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร
เกือกหุ้มส้นของนายทหารหนุ่มจึงกระทืบโครมลงไปบนบาทาข้างหนึ่งของปรปักษ์สุดแรงเกิด ยังผลให้คนที่โดนเข้าไปสะดุ้งพรวดเสียจังหวะกลายเป็นโอกาสให้คมจักรพลิกข้อมือกลับแล้วทิ่มเครื่องช็อตเข้าใส่ไอ้นั่นเต็มเหนี่ยว
“โอ๊ย!”
กระแสไฟที่ไหลเข้าร่างทำให้นักฆ่าเสื้อกาวน์คนที่สองร้องอุทานสุดเสียงในจังหวะที่ร่างกระตุกเฮือกก่อนจะล้มตึงแน่นิ่งไปในบัดดล
โดยไม่เสียเวลาในการคาดเดาคำตอบว่าเหตุใดจึงมีคนคิดปองร้ายผู้แทนจากประเทศไทย คมจักรหันไปคว้าเสื้อแจ๊คเก็ตคู่ใจแล้วถลันไปยังประตูหมายจะเผ่นออกจากบริเวณที่เกือบจะเป็นห้องเชือด
แต่แล้วในจังหวะที่หมุนลูกบิดเพื่อที่จะเปิดประตู
คนที่อยู่ด้านนอกและได้ยินเสียงโครมครามจากการต่อสู้ก็ชิงเปิดประตูสวนเข้ามาพร้อมด้วยปืนสั้นบนมือติดท่อเก็บเสียง
“เฮ้ย!”
คมจักรอุทานออกมาอย่างลืมตัวพร้อมกับเบี่ยงหลบด้วยสัญชาติญาณเกือบจะพร้อมๆ กับที่พันตรีโจโลเหนี่ยวไกสองนัดซ้อน
พล็อก! พล็อก!
เสียงเหมือนเปิดจุกแชมเปญดังขึ้นในวินาทีที่ประกายไฟแลบวาบจากทูตมรณะ
แต่กระสุนสังหารพลาดจากเป้ามีชีวิตเพราะความว่องไวเกินเชื่อของคมจักร มิหนำซ้ำสถานการณ์ยังพลิกกลับเมื่อยอดพยัคฆ์ชาวไทยตวัดมือซ้ายคว้าหมับเข้าที่มือของปรปักษ์ มือขวาตะปบก้านคอแล้วกระชากสุดแรง จนคนที่เพิ่งเหนี่ยวไกหน้าคะมำก่อนจะตีลังกาลอยขึ้นเมื่อข้อเท้าถูกเตะตัดในพริบตาอันต่อเนื่อง
เสียงโครมสนั่นจึงบังเกิดขึ้นเมื่อพันตรีโจโลหล่นลงไปหลังกระแทกพื้นอย่างหมดท่า ปืนสั้นบนมือเปลี่ยนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของสายลับทัพเรือราวกับนรกบันดาล
“ใครสั่งให้ฆ่ากู!”
คมจักรตะคอกขณะที่ล็อคคอพันตรีหนุ่มพร้อมกับกระแทกปากกระบอกปืนเข้าใส่ขมับ
“บอกมา… ไม่งั้นตาย!”
“แกไม่กล้ายิงหรอก… อย่าขู่ดีกว่า”
พันตรีโจโลแสยะยิ้ม
“ข้างนอกมีคนของเราเต็มไปหมด ยังไงแกก็ไม่รอดแน่!”
“ก็ให้มันรู้ไปสิว่าฉันจะไม่รอด!”
ขาดคำ คมจักรก็กระชากร่างของพันตรีโจโลขึ้นจากพื้นก่อนจะก้าวออกจากห้องในลักษณะที่ใช้อีกฝ่ายเป็นโล่ห์มนุษย์
“ถอยไป! ไม่งั้นไอ้บ้านี่กบาลมีรูแน่!”
คมจักรตวาดลั่นในทันทีที่เห็นฝ่ายตรงข้ามกรูกันเข้ามาพร้อมอาวุธบนมือ ท่ามกลางเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์
แม้จะไม่มีฝ่ายตรงข้ามคนใดยอมลดปืนลง แต่ท่าทีเหี้ยมเกรียมดุดันของคมจักรก็ทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของราชอาณาจักรอินนีเซียถอยกรูดยอมเปิดทางให้ตามที่นายทหารชาวไทยร้องบอก
“แกคิดผิดแล้วที่จะฝ่าวงล้อมออกไป”
พันตรีโจโลคำราม
“เพราะที่นี่เป็นประเทศของฉันไม่ใช่เมืองไทยของแก”
“แกต่างหากที่คิดผิดและยังคิดโง่ๆ ที่จะฆ่าฉันที่สนามบินเพื่อขัดขวางไม่ให้มีคนรับตัวมุสตาฟาร์ออกไป”
คมจักรพูดเสียงกร้าวขณะที่ผลักร่างพันตรีโจโลให้เดินไปข้างหน้า
“เพราะต่อให้ฉันตาย คนอื่นก็จะต้องมารับตัวไอ้บ้านั่นอยู่ดี ในฐานะที่มันเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขความลับเรื่องการก่อการร้ายในภูมิภาคนี้”
“จะพูดอะไรก็ตามใจ ฉันจะรอดูว่าแกจะรอดไปได้ยังไง!”
ด้วยอำนาจปากกระบอกปืนที่จ่อขมับ ทำให้พันตรีโจโลจำต้องเคลื่อนตัวไปพร้อมกับคมจักรจนกระทั่งพ้นไปจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าโดยมีฝ่ายเดียวกันเล็งปืนตามมาชนิดกัดไม่ปล่อย
“ขึ้นรถ!”
“คันไหน”
“ตามใจแกสิโว้ย!”
คมจักรตวาด
“เป็นพันตรีแท้ๆ ไม่มีปัญญาเรียกรถมาจากชาวบ้านหรือไง… ใช้มาตรา 44 ก็ได้ มีหรือเปล่าประเทศแกน่ะ”
“ใจเย็นๆ ปล่อยให้มันขึ้นรถไปก่อนแล้วค่อยตาม”
หัวหน้าทีม รปภ. สนามบินร้องบอกลูกน้องเมื่อเห็นคมจักรกับพันตรีโจโลขึ้นไปบนรถยนต์คันหนึ่งที่เจ้าของตะลีตะลานลงจากที่นั่งคนขับด้วยความตกใจ
“ตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลาม ไม่งั้นตัวประกันจะเป็นอันตราย”
ทันทีที่ปิดประตูเรียบร้อย คมจักรซึ่งนั่งข้างคนขับก็กระแทกปากกระบอกซ้ำเข้าใส่พันตรีโจโล
“ออกรถ”
“แกจะไปไหน”
“สถานทูตสหรัฐ… ฉันมาที่นี่เพราะยูเอสอินทาลีเจ้นท์ พวกเขาต้องรู้แน่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!”
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป