สยองงง… ดื่มปัสสาวะ รักษาโรค

-

กำลังเป็นที่ฮือฮาอย่างหนัก หลังจากที่โลกโซเชียลฯ ได้แชร์ภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งจากจังหวัดราชบุรี แนะนำให้ทุกคนดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองเพื่อแก้อาการปวดเมื่อย เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเอาปัสสาวะมาหยอดตา หยอดหู ล้างจมูก ผสมน้ำอาบ รวมทั้งล้างแผล รักษาโรคอีกสารพัด ทำเอาหลายคนรู้สึกสยองขวัญที่เพิ่งทราบว่า ในประเทศไทยของเรามีคนจำนวนไม่น้อยที่นิยมทำ “ปัสสาวะบำบัด” ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองเป็นประจำ มันจะดีขนาดนั้นจริงหรือ

ปัสสาวะเป็นของเสียซึ่งร่างกายขับออกมา มีรสเค็มและกลิ่นเหม็นฉุนเฉพาะตัว ไตเป็นอวัยวะที่กรองเอาสารเคมีต่างๆ ซึ่งร่างกายไม่ต้องการ ออกจากระบบเลือด แล้วรวบรวมไว้ในกระเพาะปัสสาวะ ก่อนขับถ่ายออกไป องค์การนาซ่าได้ศึกษาองค์ประกอบของปัสสาวะอย่างละเอียดมาตั้งแต่ ค.ศ.1971 พบว่ามีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักถึงกว่าร้อยละ 95 นอกนั้นเป็นยูเรียประมาณ 9.3 กรัม/ลิตร คลอไรด์ 1.87 กรัม/ลิตร โซเดียม 1.17 กรัม/ลิตร โพแทสเซียม 0.750 กรัม/ลิตร โปรตีนครีเอทินีน (creatinine) 0.670 กรัม/ลิตร และสารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์อื่นๆ ละลายอยู่

ดังนั้น ปัสสาวะจึงไม่น่าจะเป็นสารอาหาร ที่เราควรจะดื่มกลับเข้าไปใหม่ในร่างกาย หรือแม้แต่ในสภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ เช่น อยู่ในที่แห้งแล้งทุรกันดาร จนต้องเอาปัสสาวะมาดื่มเพื่อให้มีชีวิตรอด ก็ไม่ได้รับการแนะนำให้กระทำ หนังสือคู่มือเอาตัวรอดของกองทัพบก ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่าการดื่มปัสสาวะเพื่อป้องกันการขาดน้ำ กลับทำให้ร่างกายแย่ลง  เพราะได้รับเกลือที่อยู่ในปัสสาวะมากเกินไป

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยด้วยการถ่ายปัสสาวะรดเพื่อช่วยคนที่ถูกพิษแมงกะพรุน ถูกผึ้งต่อแตนต่อย ผิวหนังไหม้จากแดดเผา หรือเป็นแผลเลือดออกนั้น ก็ไม่ได้รับการแนะนำให้ทำเช่นกัน  เป็นเพียงความเชื่อพื้นบ้าน ซ้ำร้ายยังอาจทำให้เกิดผลเสียด้วย เช่น การถ่ายปัสสาวะรดแผลที่ถูกพิษแมงกะพรุน กลับกระตุ้นให้เซลล์เข็มพิษจากหนวดของแมงกะพรุนที่ค้างอยู่ในแผลนั้นทำงานได้ และยิ่งทำให้เจ็บปวดหนักขึ้นอีก

แต่การใช้ปัสสาวะเพื่อบำบัดโรค ไม่ว่าจะเป็นการดื่มหรือการเอามานวดตามผิวหนังก็ตาม กลับปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของหลายชนเผ่ามานานแล้ว เช่น ในอียิปต์โบราณตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีก่อนคริสตกาล หรือในตำราแพทย์แผนจีนที่มีการใช้ปัสสาวะของสัตว์ต่างๆ ด้วย โดยมีวัตถุประสงค์ด้านบำรุงสุขภาพ รักษาโรค รวมทั้งเพื่อความสวยความงาม บางคนบอกว่าดื่มแล้วสามารถกระตุ้นความรู้สึกทางเพศมากขึ้น แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันถึงสรรพคุณตามที่กล่าวอ้าง หรือแม้แต่ยูเรียซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของปัสสาวะ และเป็นสารซึ่งใช้ในครีมบำรุงผิวและยาต่างๆ ก็ผลิตจากการสังเคราะห์ทางเภสัชวิทยา ไม่ใช่สกัดมาจากน้ำปัสสาวะ

คนที่เชื่อในปัสสาวะบำบัดยังอ้างว่า การดื่มปัสสาวะของตนเองนั้นช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงขึ้น แบบเดียวกับที่เราฉีดวัคซีนป้องกันโรค บางคนถึงกับอ้างว่าสามารถใช้ต่อต้านโรคมะเร็งได้ แต่สมาคม American Cancer Society แย้งว่า ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่นั้น ไม่ได้สนับสนุนข้ออ้างที่ว่าปัสสาวะช่วยในการบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็งแต่อย่างใด ไม่ว่าจะใช้ปัสสาวะนั้นในรูปแบบใดก็ตาม

ในประเทศตะวันตก การดื่มปัสสาวะเพื่อรักษาโรคได้รับความนิยมเนื่องจากหนังสือ The Water of Life: A Treatise on Urine Therapy น้ำแห่งชีวิต: ตำรารักษาโรคด้วยปัสสาวะ ของ จอห์น ดับเบิลยู อาร์มสตรอง (John W. Armstrong) ตีพิมพ์ใน ค.ศ.1944 เขาเขียนจากความเชื่อของครอบครัวเขา ที่ใช้น้ำปัสสาวะรักษาอาการปวดฟันและแมลงสัตว์กัดต่อย โดยอ้างอิงจากประโยคในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และประสบการณ์ส่วนตัวที่รักษาอาการป่วยไข้ด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะอย่างเดียว 45 วัน

ขณะที่ในประเทศอินเดีย กระแสนิยมดื่มน้ำปัสสาวะมาจากหนังสือ Manav Mootra (แปลว่า ปัสสาวะบำบัด) ตีพิมพ์ใน ค.ศ.1959 เขียนโดย Raojibhai Manibhai Patel ซึ่งอ้างอิงตำราโบราณชื่อ Shivambu Kalpa ที่พูดถึงสรรพคุณทางเภสัชของปัสสาวะ รวมถึงอ้างอิงตำราโยคะและตำราอายุรเวชอินเดียอื่นๆ  ที่พูดถึงการใช้น้ำปัสสาวะ แถมบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนก็ดื่มปัสสาวะ เช่น มหาตมะคานธี และอดีตประธานาธิบดี  โมราจี เดไซ ผู้ยืนยันว่า ปัสสาวะบำบัดเป็นทางออกที่ดีเยี่ยมสำหรับชาวอินเดียหลายล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์

ในมุมของผู้ที่ศรัทธา พวกเขาเชื่อว่าปัสสาวะเป็นยาวิเศษ และเป็นของฟรีที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร แต่ถูกพวกอุตสาหกรรมยาบิดเบือนปิดบังความจริง เพราะโรคต่างๆ แทบทุกโรคสามารถรักษาหรือป้องกันได้ด้วยปัสสาวะ ทว่านั่นเป็นคำกล่าวอ้างเกินจริงแบบวิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) เพราะองค์ประกอบหลักๆ ของปัสสาวะเป็นของเสียที่ร่างกายขับออกมา หรือถ้าจะมีเอนไซม์ แอนตี้บอดี้ ฮอร์โมน และวิตามินเจือปนบ้าง ปริมาณก็น้อยมากจนไม่ส่งผลดีอะไรกัต่อร่างกายเมื่อดื่มกลับเข้าไป

แม้ว่าปัสสาวะจะไม่เป็นพิษ แต่ก็ไม่ได้สะอาดปราศจากเชื้อโรค มันอาจปลอดเชื้อขณะที่ถูกสร้างขึ้นที่ไต แต่เมื่อถูกขับถ่ายผ่านท่อทางเดินปัสสาวะและอวัยวะเพศออกมานอกร่างกายแล้ว ก็พบว่า มันมักมีเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิดปนเปื้อนด้วย โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นกำลังเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ยิ่งกว่านั้น ผลการวิจัยของวูล์ฟ (Wolfe) และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยโลโยลา (Loyola University) สำนักวิชา Chicago Stritch School of Medicine ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิจัย Journal of Clinical Microbiology  ใน ค.ศ.2012 ช่วยยืนยันอีกด้วยว่า แม้แต่น้ำปัสสาวะที่ยังไม่ได้ขับถ่ายออกนอกร่างกาย ก็ไม่ได้ปราศจากเชื้ออย่างที่เคยเชื่อกัน

กลุ่มนักวิจัยตรวจพบเชื้อแบคทีเรียหลากหลายชนิดอยู่ในกระเพาะปัสสาวะของผู้หญิงที่มีสุขภาพดี ซึ่งตรงข้ามกับความเชื่อที่บอกว่าปัสสาวะนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากเชื้อใดๆ แทนที่พวกเขาจะเก็บตัวอย่างปัสสาวะจากอาสาสมัครที่ขับถ่ายออกมา  พวกเขากลับใช้วิธีสอดสายสวนผ่านช่องทางเดินปัสสาวะ และแทงเข็มผ่านหน้าท้องเข้าไปเก็บตัวอย่างจากกระเพาะปัสสาวะโดยตรง เพื่อตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อจุลินทรีย์ในปัสสาวะ วิธีนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าเชื้อที่ตรวจพบนั้น มีอยู่จริงในกระเพาะปัสสาวะ ไม่ได้ปนเปื้อนมาจากช่องคลอดของผู้หญิงคนนั้น

โดยสรุปแล้ว ยังไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์และคลินิกที่น่าเชื่อถือสนับสนุนว่าการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดนั้นทำได้จริง แถมถ้าดื่มกินโดยไม่ระวัง ก็อาจเกิดผลร้าย เพราะร่างกายจะมีของเสียสะสมมากเกินไป ยิ่งคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคไต โรคตับ โรคหัวใจ และโรคที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำและแร่ธาตุให้เหมาะสม ก็ยิ่งอาจเกิดอันตรายต่อร่างกาย แถมยังอาจได้รับเชื้อโรคติดต่อที่ปนเปื้อนมากับปัสสาวะ ถ้าดื่มปัสสาวะของผู้อื่นที่เป็นโรค

 


เรื่อง: รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!