๗
♦ สู่วังวารี ♦
………
ซิเล้งครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ปลดกระบี่ที่คาบในปากเหวี่ยงลงสู่ทะเล จากนั้นถลันกายถึงหน้าประตูท้องเรือ เงี่ยหูลอบรับฟังกลับมิมีสำเนียงผิดปรกติ จึงพลิ้วร่างเข้าไปอย่างฉับไว
โดยอาศัยบันไดไม้ที่ทอดลงไป ซิเล้งพาตัวเข้าสู่ท้องเรือ หลังจากก้าวเดินตามทางสายหนึ่งอยู่เล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงปรุงอาหารดังแว่วมา
ซิเล้งรักษาความสงบก้าวไปเบื้องหน้า ลอบกวาดมองจากประตู พบว่านี่เป็นห้องครัว มีคนสองคนกำลังปรุงอาหารอยู่ นอกจากนั้นยังมีชาวญี่ปุ่นร่างเตี้ยอีกสี่ห้าคนนอนหลับอยู่
ห้องครัวนี้มีประตูหลายบานทอดติดต่อกัน ซิเล้งพุ่งความสนใจไปยังประตูที่ปิดสนิทบานหนึ่ง เข้าใจว่าคงเป็นห้องเสบียงกักตุนอาหาร จึงลอบโคจรลมปราณเคลื่อนไหวร่างโดยปราศจากสุ้มเสียงจนมาถึงหน้าประตู
ประตูบานนี้เปิดออกได้อย่างไร และจะสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนที่กำลังปฏิบัติงานหรือไม่ ซิเล้งล้วนมิขบคิด มีแต่ทดสอบเสี่ยงดู ยื่นมือผลักเบาๆ ประตูก็เปิดออกทันที
สำเนียงผิดปรกติเล็กน้อยดังขึ้น ขณะที่ประตูถูกเปิด แต่ซิเล้งรีบถลันร่างเข้าไปราวกับสายฟ้าแลบพุ่งกระชากประตูปิดลงดังเดิม ทางหนึ่งสังเกตการเคลื่อนไหวจากภายนอก อีกทางหนึ่งกวาดตาสำรวจมอง
นี่เป็นห้องกักตุนเสบียงจริงๆ รอบบริเวณจัดวางหีบห่อจนแน่นขนัด ส่งกลิ่นอันประหลาดพิกลและก่อสร้างแคร่ไม้ที่แข็งแรงขึ้นมากมาย กองสุมไปด้วยห่อของทั้งใหญ่เล็กจนเกลื่อนกลาด
ซิเล้งคำนึงในใจ
‘…สถานที่นี้นับว่าปลอดภัยที่สุด ยังสามารถเสาะหาเสบียงประทังความหิวเราเพียงโดยสารสักระยะเวลาหนึ่ง หากเรือใหญ่แล่นสู่ฝั่งเมื่อใด ก็จะรีบหลบหนีออกไปทันที…’
ที่มุมห้องมีถุงกระสอบทับถมกันสองแถว พอยื่นมือลูบคลาก็พบว่าเป็นข้าวสาร ซิเล้งมีความคิดอันแยบยลขึ้น ขนย้ายข้าวสารออกมากระสอบหนึ่ง แล้วพาร่างซุกซ่อนในตำแหน่งนั้น ซึ่งมั่นใจว่ามิถูกฝ่ายตรงข้ามพบเห็นอย่างแน่นอน
ขณะนั้น ตัวเรือเริ่มลอยกระเพื่อมไม่แน่นอน ลำนาวานับว่าเริ่มเดินทางต่อแล้ว ขณะที่เอนร่างกับผนังห้องพริ้มตาพักผ่อนอยู่นั้น พลันแว่วเสียงสนทนาดังมาอย่างเลอะเลือน
ซิเล้งบังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ที่แท้ภาษาที่ฝ่ายตรงข้ามปราศรัยกันหาใช่ภาษาญี่ปุ่นไม่ ทราบว่าบนลำเรือนี้ไฉนจึงมีบุคคลชาวฮั่นด้วย?
วาจาสนทนาดังลอดมาจากรอยแตกเล็กๆ มุมห้องเสบียง ซิเล้งแนบใบหูสำรวมสมาธิคอยรับฟังได้ยินเสียงที่หยาบกร้านดังว่า
“อาฮ้ง เจ้าไปบอกกับประมุขใหญ่และหัวหน้าเรือเฮ็กฮวง (มรสุมดำ) ว่าขณะกราบพบท่านประมุขของเรา ขอให้แสดงความคารวะอย่าได้บกพร่องด้วย”
จากนั้นมีคนผู้หนึ่งส่งภาษาญี่ปุ่นถ่ายทอดให้ปรากฏสำเนียงที่ทุ้มหนักตอบโต้ด้วยภาษาญี่ปุ่น อาฮ้งซึ่งเป็นล่ามจึงกล่าวเป็นภาษาชาวฮั่นว่า
“ประมุขใหญ่บอกว่าซาไฮ้อ้วง (เทพไตรทะเล) ทรงบารมีครอบคลุมทะเลใหญ่ทั้งสาม มันขณะกราบพบจะแสดงความเคารพเฉกเช่นข้าราชบริพาร”
ซิเล้งพอรับฟัง พลันสะท้านใจอย่างรุนแรงคำนึงขึ้น
‘…สวรรค์ ผู้ใดมีอำนาจบารมีถึงปานนี้ กระทั่งหัวหน้าโจรสลัดญี่ปุ่นยังต้องเคารพเช่นข้าราชบริพาร แต่คำว่าไตรทะเลในสมญาเทพไตรทะเลคาดว่าคงหมายถึงทะเลป๊วกไฮ้ อึ้งไฮ้ กับตังไฮ้ของแผ่นดินใหญ่ นับเป็นคำยกย่องตัวเองที่น่าแตกตื่นยิ่งนัก…’
ในห้องข้างเคียงพลันแว่วเสียงแหบห้าวซึ่งขึ้นอีกว่า
“ท่านเชียะซัวโฮ้ว (จ้าวฉลามแดง) เป็นหนึ่งในโหงวซัวโฮ้ว (ห้าจ้าวฉลาม) ของท่านเทพไตรทะเล คาดว่าคงเคยเข้าสู่วังเพื่อกราบกราน คงมินำทางผิดพลาด”
บุคคลผู้นี้มิเคยส่งเสียงมาก่อน ดังนั้นซิเล้งจึงสันนิษฐานว่าคงเป็นหัวหน้าเรือมรสุมดำอย่างแน่นอน ตนรีบสำรวจผนังด้านหน้า พลันพบว่าทางเบื้องบนมีลำแสงสาดพุ่ง ลงมาจึงรีบเคลื่อนตำแหน่งหรี่ตาจับจ้องมอง
แลเห็นห้องข้างเคียงกึ่งกลางจัดตั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมที่แข็งแกร่ง ทั้งสี่ด้านวางเก้าอี้พนักสูง สามในสี่ตัวมีผู้คนนั่งอยู่ ผู้ที่นั่งหันหน้ามาเป็นบุรุษกลางคนอายุยี่สิบเศษ ดวงตาทั้งคู่สาดประกายเย็นเยือก สวมชุดยาวสีเหลืองบนอกเสื้อปักลวดลายรูปมัจฉาบิน
บุรุษร่างเตี้ยทางซ้ายมือก็มีอาภรณ์ละม้ายกัน เพียงแต่ลายมัจฉาบินที่อกเสื้อเล็กกว่า เข้าใจว่ามีตำแหน่งอ่อนด้อย ย่อมต้องเป็นหัวหน้าเรือมรสุมดำนั่นเอง
ทางขวามือเป็นบุรุษร่างสูงตระหง่าน สีหน้าเหี้ยมหาญดุร้าย สวมอาภรณ์ชุดยาวสีเงิน โต๊ะเบื้องหน้ายังจัดวางห่อผ้าสีแดงใบหนึ่ง มือขวาของมันกดอยู่บนห่อผ้า ซิเล้งพบว่าบนนิ้วมือของมันสวมใส่วงแหวนมหึมาฝังเพชรสีแดงวงหนึ่ง
ข้างกายมันยังยืนหยัดด้วยบุรุษ ท่วงท่ากลอกกลิ้ง มิต้องอธิบายก็ทราบได้ เป็นล่ามที่มีนามอาฮ้ง
ซิเล้งหลังจากพบเห็นโฉมหน้าของบุคคลทั้งหลาย แล้วจิตใจยังสนใจปัญหาของหัวหน้าเรือมรสุมดำเกี่ยวกับด้านสถานที่ ซึ่งซักถามต่ออาคันตุกะชุดยาวสีเงินที่เป็นหนึ่งในห้าจ้าวฉลามบริวารของเทพไตรทะเล ซิเล้งพอได้ยินคำว่า “ฉลาม” ก็รู้สึกชิงชังฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาทันที
จ้าวฉลามแดงหัวร่อดังกังวานกล่าวว่า
“จุ้ยเจียเก็ง (วังวารี) นั้น เราเร่งรุดไปนับครั้งมิถ้วน รับรองว่ามิผิดพลาดแน่นอน”
หัวหน้าเรือมรสุมดำฝืนหัวร่อกล่าวว่า
“ขออภัยที่ถามเช่นนั้น เพียงแต่จิตใจยังรู้สึกพิศวงสงสัย หรือวังวารีจะก่อสร้างอยู่ในใต้น้ำจริงๆ? หากแม้เป็นเช่นนั้นการเข้าออกจะกระทำกันอย่างไร?”
ซิเล้งที่ลอบรับฟังรีบเงี่ยหูอย่างจดจ่อ ได้ยินจ้าวฉลามแดงกล่าวว่า
“ถามได้ประเสริฐ นี่เป็นความลับที่มิอาจแพร่งพราย ขอให้รักษาไว้ด้วย”
พลางโบกมือขับไล่ล่ามออกจากห้อง หัวหน้าเรือมรสุมดำกวาดสายตามองมายังประมุขใหญ่ของสลัดชาวญี่ปุ่น ประมุขใหญ่ผู้นั้นก็กล่าวช้าๆ ว่า
“เราฟังเข้าใจ ไม่ต้องถ่ายทอดถอดความ”
จ้าวฉลามแดงกล่าวว่า
“บัดนี้ เราจะบ่งบอกกับพวกท่าน วังวารีก่อสร้างอยู่ในใต้น้ำที่ลึกล้ำ พวกเราหากคิดเข้าไปก็ต้องดำฝ่าผิวน้ำลงไป”
ประมุขใหญ่สลัดญี่ปุ่นกับหัวหน้าเรือมรสุมดำต่างมีสีหน้าตื่นเต้นยากเชื่อถือ หัวหน้าเรือมรสุมดำกล่าวว่า
“ขอเรียนถาม ในวังวารีมีแต่น้ำทะเลท่วมท้นไปหมด?”
“หากน้ำทะเลท่วมล้น ผู้คนจะอาศัยอยู่ได้อย่างไร?”
“นั่นก็ถูกแล้ว ท่านเทพไตรทะเลแม้มิใช่บุคคลสามัญมีพลังฝีมือสูงสุด แต่ย่อมไม่อาจดำรงอยู่ในน้ำตลอดเวลา”
จ้าวฉลามแดงมีสีหน้าเคร่งเครียดลงกล่าวว่า
“ท่านกล่าวผิดพลาดแล้ว ประมุขเรากลับสามารถดำรงอยู่ใต้น้ำด้วยเวลาอันยาวนาน แต่ผู้ร่วมอาศัยมิอาจกระทำได้ บัดนี้ท่านคงสงสัยใจว่า น้ำทะเลไฉนไม่ถ่ายเทเข้าไปในวัง และยามผู้คนเข้าออกจะปฏิบัติกันอย่างไรกระมัง?”
หัวหน้าเรือมรสุมดำผงกศีรษะตลอดเวลา จ้าวฉลามแดงจึงกล่าวอย่างผยองลำพอง
“วิธีเข้าออกเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ แต่ทว่าแม้ผู้อื่นจะทราบไป ก็มิมีปัญญากระทำได้ กล่าวคือในวังวารีมีนาวาทองซึ่งสร้างเป็นพิเศษลำหนึ่งอาศัยกำลังลอยตัวในอากาศ สามารถลอยขึ้นสูงหรือดำดิ่งลง ยามลอยขึ้นนั้นง่ายดาย พอดำลงต้องอาศัยพลังฉุดดึงจากเชือกยาวในวัง จึงสามารถเพิ่มความเร็วและพุ่งตรงมาถึงปากทางเข้าของวังวารีได้”
ประมุขโจรสลัดญี่ปุ่นถามว่า
“พวกเราล้วนแต่โดยสารเรือทองเข้าสู่วัง?”
“มิผิด นาวาทองมีลักษณะกลมและยาวครั้งหนึ่งรับมนุษย์ได้สองคน พอล่องมาถึงปากทางเข้า หัวเรือก็จะเลียบเข้าไปในถ้ากลมแห่งหนึ่ง
“ตอนนั้น ประตูเหล็กสองชั้นที่หางเรือจะปิดสนิทกั้นน้ำทะเลไว้ จากนั้นประตูใหญ่ในทางเดินที่ห่างจากหัวเรือสองเชียะก็เริ่มเปิดออก และประตูน้อยตรงหัวเรือจึงสามารถเปิดได้”
ซิเล้งเข้าใจในบัดดลคำนึงขึ้น
‘…เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำทะเลที่ไหลเข้าไปในวังก็เพียงท่วมอยู่ในพื้นที่ระหว่างหัวเรือถึงหน้าประตูใหญ่เท่านั้น วิธีเข้าออกนี้ลึกล้ำประณีตยิ่งนัก แม้จะมีกองทัพนับพันหมื่นมาถึงก็อับจนปัญญา พร้อมกันนั้นวังวารีหากไม่ปล่อยนาวาทองออก แม้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าก็มิอาจล่วงล้ำเข้าไปได้…’
ยามนี้ ประมุขโจรสลัดพลันลุกขึ้น กล่าวเสียงหนักๆ ว่า
“เรามีปัญหาประการหนึ่ง ขอได้โปรดชี้แจ้ง”
จ้าวฉลามแดงผงกศีรษะร้องเชิญ ประมุขโจรสลัดจึงกล่าวสืบต่อ
“เราไร้ความสามารถ ยังมิอาจเทียบเท่าเจียะฉั้งฮ้ง แต่เทพไตรทะเลไฉนบอกว่าจะช่วยเหลือเรากำจัดเจียะฉั้งฮ้ง ให้เราเป็นประมุขโจรสลัดที่แท้จริง?”
จ้าวฉลามแผงย้อนกล่าวว่า
“เจียะฉั้งฮ้งไหนเลยทัดเทียมกับท่านได้?”
“ในด้านวิชาฝีมือและสติปัญญามันมิเป็นรองเรา และอุปนิสัยก็ไม่ดุร้ายอำมหิตเฉกเช่นเรา ซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์อย่างมหาศาลใช่หรือไม่?”
ประมุขโจรสลัดได้หมายความว่า เทพไตรทะเลเป็นชาวตงง้วน และมันจะประหัตประหารประชาชนในประเทศ เทพไตรทะเลเหตุใดจึงนิยมมัน
จ้าวฉลามแดงก็เค้นเสียงกล่าวว่า
“เนื่องจากท่านมีอุปนิสัยมุ่งล้างผลาญทำลายชีวิต จึงได้รับการพิจารณาจากประมุขเรา และยินดีให้ท่านปกครองเรือสลัด ก่อมหันตภัยตามน่านน้ำทั่วประเทศได้”
ซิเล้งพลันรู้สึกสำนึกจากความพิศวง รำพึงในใจว่า
‘…หากแม้นเป็นเช่นนี้ ฝ่ายเทพไตรทะเลคงมีความสัมพันธ์กับอลัชซีโลกันตร์ที่ชั่วช้าสุดยอด เนื่องจากมีความคิดสร้างสรรค์มหันตภัย…’
จ้าวฉลามแดงกล่าวอีกว่า
“ขอเพียงท่านประมุขสาบานว่าจะจงรักภักดีกลืนกินยาเม็ด ก็จะมอบเจียะฉั้งฮ้งให้ท่านประหารด้วยตัวเอง”
ประมุขโจรสลัดถึงกับผงกศีรษะยินยอมพร้อมใจ ฝ่ายซิเล้งก็ใจเต้นระทึกอย่างรุนแรง คำนึงขึ้น
‘…อะไร เจียะฉั้งฮ้งตกเป็นเชลยเทพไตรทะเลแล้ว? คาดว่าบุคคลลึกลับผู้นี้มีความร้ายกาจยิ่งนัก…’
พร้อมกันนั้น รู้สึกว่าเจียะฉั้งฮ้งซึ่งเป็นราชันย์หมู่โจรสลัด มีความประพฤติที่ประเสริฐเลิศ รักษาสัจจะมีธัมมะประจำใจ มาตรแม้นจะเป็นชนต่างชาติ แต่ก็สมควรหาทางช่วยเหลือบุคคลผู้นี้
ซิเล้งเริ่มพริ้มตาครุ่นคิด แต่ทว่าขณะนี้อยู่ในตาแหน่งใดในทะเลกว้างยังมิทราบชัด แม้จะช่วยเหลือเจียะฉั้งฮ้งได้ก็จะกลับขึ้นไปบนฝั่งอย่างไรกัน? และปัญหาสำคัญก็คือการรุดสู่วังวารี
ตนมิเพียงขบคิดถึงวิธีหมายขู่เข็ญจ้าวฉลามแดงนำพาเข้าวังยังคิดจะใช้วิชาเทพยดาย่อกระดูกซุกซ่อนกายอยู่ในนาวาทอง และคำนึงถึงการดำน้ำลงไปโดยตรงเลย
แต่วิธีการทั้งหมดล้วนมิอาจการกระทำได้ ซิเล้งแม้จะมีภูมิปฏิภาณฉลาดเฉลียว แต่ยามนี้ต้องยอมรับว่าอับจนปัญญา
มิทราบเวลาผ่านไปนานเท่าใด สำเนียงของประมุขโจรสลัดได้ดังถามจ้าวฉลามแดงว่า
“มิทราบท่านจะเริ่มเดินทางเข้าสู่วังแต่เมื่อใด?”
“ประมาณยามสนธยา พวกเราโดยสารเรือเล็กไป สถานที่นาวาทองลอยลำขึ้นมา ห่างจากฝั่งเพียงลี้เศษขอให้ท่านหัวหน้าเรือออกคำสั่งห้ามบริวารขึ้นสู่ฝั่งหรือดำน้ำสืบความลับด้วย”
หัวหน้าเรือมรสุมดำรับคำอย่างนอบน้อมกล่าวด้วยความพิศวงว่า
“พวกเรามิต้องรายงานลงไปก่อน ทางวังวารีจะทราบได้อย่างไรว่าพวกเรามาถึงแล้ว?”
จ้าวฉลามแดงตอบว่า
“ขณะนี้เรือมรสุมดำลอยลำอยู่เหนือวังภายในวังสามารถแลเห็นประกายเพชรที่ใต้เรือลำนี้แล้ว”
ฝ่ายซิเล้งขบคิดจนสมองพองโตยังไม่มีหนทาง แต่เมื่อทราบว่าตำแหน่งนี้อยู่ห่างจากฝั่งมิไกลนัก จึงมีความคิดหมายแหวกว่ายขึ้นฝั่ง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะออกจากตัวเรือโดยปลอดภัยได้อย่างไร?
โดยมิรู้สึกตัวเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว ซิเล้งพลันบังเกิดความคิดประการหนึ่ง เริ่มเกร็งกำลังกระแทกฝ่ามือใส่พื้นเรือทันที
พื้นเรือแม้สร้างจากแผ่นไม้อันแข็งแกร่ง แต่ยังถูกพลังฝ่ามือของซิเล้งกระแทกจนแหลกลาญ พริบตาเดียวปรากฏลำน้ำอันรุนแรงสายใหญ่ฉีดพุ่งท่วมทะลักเข้ามา
ซิเล้งสะบัดฝ่ามือต่อเนื่องกันอีกหลายครา เสียงโครมครามดังมิขาดหู พื้นเรือแตกแยกออกเป็นช่อง กระแสน้ำไหลทะลักเข้ามาด้วยความรุนแรงจนอื้ออึง
ยามนั้น ทางด้านนอกแว่วสำเนียงอันสับสน แว่วเสียงฝีเท้าคนวิ่งตะบึงตรงมาอย่างเกรียวกราว ซิเล้งมิอาจชักช้าต่อไปแม้แต่ชั่วครู่ชั่วยามแล้ว!
รอยแตกของพื้นกระดานเรือมีลักษณะจำกัด แต่ซิเล้งอาศัยวิชาเทพยดาย่อกระดูก พุ่งร่างออกจากลำนาวาในฉับพลัน จนลอยร่างอยู่ใต้ผิวน้ำอันเย็นยะเยียบ
ซิเล้งดำดิ่งสู่ส่วนลึกของผิวน้ำ สองแขนแหวกว่ายไปด้านตรงข้าม เนื่องจากตำแหน่งนั้นสำรวจพบว่าเป็นพื้นแผ่นดินอยู่ห่างประมาณหลายลี้
ตามรายทางเริ่มพบกับซอกหินโสโครกทะลวงโผล่พ้นขึ้นมาอย่างพิกลพิสดาร จวบจนสุดท้ายซิเล้งก็ขึ้นมาถึงฝั่ง และรีบคืบคลานไปตามโขดผาที่ระเกะระกะอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะเผชิญกับอันตรายที่มิคาดฝัน
ซิเล้งเคลื่อนไหวโดยมิพักผ่อน แลเห็นทุกทิศทางล้วนเป็นก้อนศิลา บ้างมีต้นไม้โบราณรู้สึกวิเวกวังเวงยิ่งนัก
ประกายตาของซิเล้งถูกเนินดินที่สูงเด่นบดบังไว้ชั่วขณะ จึงรีบวิ่งตะบึงตรงเข้าไป แล้วกวาดสายตาสำรวจ ในใจถึงกับคร่ำครวญอย่างโหยหวน ที่แท้ทางด้านหน้ามีพื้นที่ราบเรียบ นอกจากพฤกษาแล้วมีแต่หินทราย สามารถแลเห็นผิวทะเลทั้งสี่ด้าน สถานที่นี้คงเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น
แต่ทว่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ คล้ายดั่งผิดแผกไป ซิเล้งจึงรีบรุดไป เห็นเป็นหาดทรายผืนใหญ่ทอดยาวจรดทะเลทางซ้ายมือ มีตึกรามอาคารปลูกสร้างอยู่บ้าง แต่ล้วนหักพัง และรกร้างไร้ผู้คนอาศัยมาเนิ่นนานปี
ซิเล้งบังเกิดความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งแต่จากห้องหับหลังหนึ่งทราบว่าอาณาบริเวณแถบนี้มีนามว่าเกาะม๊กเซี้ย ห่างจากตัวเมืองบุ้นเต็งที่พำนักไกลโข
หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซิเล้งก็ขึ้นไปที่สูงสุดบนเกาะกวาดสายตาสำรวจทะเลกว้าง เห็นนาวาโจรสลัดที่จอดห่างจากฝั่งหลายลี้นั้น มีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวาย ตัวเรือจมลงมิน้อย ผู้คนบนเรือวิ่งพลุ่งพล่านขนย้ายเรือน้อยลงผิวน้ำ
ซิเล้งลอบลิงโลดในใจ เรือสลัดลำนี้อย่างน้อยต้องซ่อมแซมแปดถึงสิบวันจึงเดินทางได้ การนี้อาจสามารถขัดขวางการอาละวาดของฝ่ายตรงข้ามได้ชั่วขณะ
ขณะนั้น บนผิวน้ำมีนาวาหลายลำแล่นฝ่าฟองคลื่น มุ่งหน้ามาทางตัวเกาะอย่างรวดเร็ว ซิเล้งจึงจำต้องหาทางปกปิดร่องรอย และคราแรกได้สำรวจสภาพทั่วทั้งเกาะแล้ว ซึ่งพบเห็นว่าตัวเกาะแม้มิพื้นที่มิน้อย แต่สถานที่ซุกซ่อนกายอย่างประเสริฐสุดยังคงเป็นฝั่งทะเลด้านทิศบูรพา
เนื่องจากทางทิศนั้น มีโขดศิลาตระหง่านง้ำมากมายสุดคณานับ มิว่าผู้ใดก็ยากจะเสาะพบเบาะแสได้จึงรีบวิ่งตระบึงไปอย่างรวดเร็ว
ซิเล้งคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของหมู่โจรสลัด แลเห็นพวกมันพอขึ้นฝั่งก็แบ่งกำลังออกเป็นสิบหน่วยแยกย้ายออกโดยปราศจากสุ้มเสียงผิดปรกติ
มิหนำซ้ำในขบวนค้นหา มีประมุขโจรสลัดผู้นั้นกับจ้าวฉลามแดงบริวารของเทพไตรทะเล ซึ่งวิชาตัวเบาของมันทั้งสอง ล้วนปราดเปรียวยิ่งสร้างความแตกตื่นให้กับซิเล้งเป็นที่ยิ่ง
การค้นหาของหมู่สลัดชาวญี่ปุ่นดำเนินอย่างละเอียด ซิเล้งหากมิใช่ซุกซ่อนกายในตำแหน่งแห่งนี้คงถูกพบเห็นแน่นอน
ผู้บงการตรวจค้นเป็นหัวหน้าเรือมรสุมดำ มันใช้หวีดไม้ไผ่เป็นสัญญาณติดต่อกันสำเนียงที่อื้ออึงระคายโสตจึงดังไปทั่วเกาะเนิ่นนาน ให้หลังพอไม่ประสบผลสำเร็จก็มาชุมนุมกันทางทิศบูรพานี้
ตำแหน่งที่ชุมนุมของฝ่ายตรงข้ามอยู่ใกล้ที่ซ่อนกายของซิเล้ง ประมุขโจรสลัดก็เริ่มพุ่งความสนใจมาตามโขดศิลาที่ระเกะระกะ ปรากฏชาวญี่ปุ่นร่างเตี้ย ส่วนใหญ่เริ่มกระจายกำลังมาทางนี้
ซิเล้งแม้มิถึงกับประหวั่นลนลาน คาดคำนวณพื้นที่และกำหนดวิธีล่าถอยตามตำราเรียบร้อยแล้ว เริ่มเคลื่อนถอยตามเส้นทางที่วางไว้ จากจุดแรกถึงจุดสุดท้าย ซิเล้งวางตำแหน่งถึงห้าจุด
แลเห็นสลัดญี่ปุ่นจำนวนร้อยกว่าคนต่างกระชับดาบคู่มือ ตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ทุกซอกมุมของโขดเขา ประมุขโจรสลัดจ้าวฉลามแดงหัวหน้าเรือมรสุมดำก็ชุมนุมอยู่บนโขดศิลาสูงตระหง่านสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเหล่าบริวาร
ซิเล้งล่าถอยรอถึงที่มั่นจุดที่สาม และฝ่ายสลัดญี่ปุ่นล้วนแต่รุกหน้าโดยมิส่งเสียง พวกมันหาใช่เกรงฝ่ายตรงข้ามจะล่วงรู้ หากแต่ได้รับคำสั่งมา ซึ่งเมื่อทุกคนสงบเสียง พอบังเกิดสำเนียงผิดปรกติย่อมก่อกวนขบวนทั้งหมด
แผนการของฝ่ายศัตรูปฏิบัติอย่างรัดกุมยิ่ง มิหนำซ้ำยังจัดเจนกับสถานที่บนเกาะนี้ กระจายกำลังแล้วค่อยรวมกำลังบีบวงล้อมเข้ามา
ชิเล้งเริ่มรู้สึกคับขัน ขบคิดวิธีหลบหนีออกจากเกาะ แต่พอกวาดสายตาไปทางริมฝั่งถึงกับส่งเสียงคร่ำครวญในใจ
ที่แท้ฝ่ายสลัดญี่ปุ่นได้ป้องกันศัตรูหลบหนีออกเช่นกัน ริมหาดทรายเรือเล็กสิบกว่าลำก็กระจายพรักพร้อมคอยสังเกตการณ์ หากแม้นหลบหนีไปทางด้านนั้นก็เท่ากับก้าวเข้าสู่จุดอับ
ซิเล้งมิกล้าประมาทเลินเล่อ พลันเริ่มคำนวณวิธีหลบพันจากเป้าสายตาของฝ่ายตรงข้าม แล้วจึงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วพุ่งปราดๆ ล่วงล้ำไปอีกห้าวา
เมื่อเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ซ่อนกายเป็นจุดที่สี่ ซิเล้งพลันกวาดตาพบว่าข้างกายมีถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งปากถ้ำกว้างเพียงเชียะเศษ ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งไม่มีทางมุดฝ่าเข้าไปได้
แต่นี่มิได้สร้างความยุ่งยากให้กับซิเล้ง เนื่องจากยามใช้วิชาเทพยดาย่อกระดูกออก ร่างกายจะหดย่อเล็กกว่าทารกอายุหกเจ็ดปีเสียอีก
ซิเล้งกวาดตาสำรวจสภาพภายในถ้ำ แลเห็นด้านในมีอาณาเขตกว้างขวางคล้ายกับยังมีซอกหินอนุญาตให้ซ่อนกาย ได้สถานการณ์บีบบังคับจนจวนเจียนต้องรีบมุดกายเข้าไปในบัดดล
ยามนั้น ด้านนอกปรากฏเงาคนพุ่งแฉลบไปมา การตรวจค้นของสลัดญี่ปุ่นแผ่ขยายมาถึงแล้ว คราครั้งนี้ ซิเล้งนับว่ารอดพ้นอย่างหวุดหวิด
ซิเล้งแนบร่างกับผนังด้านขวามือ ล่วงล้ำลงไปเจ็ดแปดเชียะ ทางเดินค่อยขยายกว้างออกจวบจนถึงสุดทาง พบว่ามีถ้ำเล็กกว่าปากทางเข้าอีกแห่งหนึ่ง แต่ยังมิอาจหน่วงเหนี่ยวซิเล้งไว้ยังคงมุดฝ่าต่อไป
ผ่านเข้ามาหลายเชียะ เส้นทางพลันขยายกว้างสามารถให้ซิเล้งฟื้นฟูรูปโฉมดังเดิม เดินเหินได้อย่างปรกติ แลเห็นทางเดินเบื้องหน้ามืดทึบคดเคี้ยว
ซิเล้งรออยู่ภายในถ้ำเป็นเวลานาน เสียงหวีดไม้ไผ่ที่แหลมเล็กบาดหูก็ดังแว่วมา คาดว่าฝ่ายตรงข้ามหลังจากค้นหาไม่พบ ส่งสัญญาณรวมกำลัง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ซิเล้งพลันก้าวเดินไปตามทางโดยปราศจากจุดมุ่งหมาย เพียงคาดคิดว่าทางสายคับแคบนี้ทอดต่ำลงสู่ทะเล
ซิเล้งเดินเหินต่อไป ยิ่งล่วงล้ำยิ่งมืดทึบ พลันชะงักฝีเท้าในความมืด ที่แท้พบว่าตัวเองเข้าสู่ห้องศิลากว้างยาวสองวาแห่งหนึ่ง
ซิเล้งชะงักเท้าเนื่องจากนาสิกสูดได้กลิ่นควันไฟ ในสถานที่นี้เหตุไฉนมีเขม่าควันไฟเล่า?
หลังจากตรวจตราดู พบว่าถ้ำแห่งหนึ่งปรากฏควันไฟลอยคละคลุ้งขึ้นมาจริงๆ ซิเล้งพลันคำนึงถึงวังวารีทันทีหากแม้นวังวารีก่อสร้างอยู่ในส่วนลึกของทะเลและมีส่วนหนึ่งแผ่ขยายถึงเบื้องล่างนี้ก็มิเป็นเรื่องราวที่พิสดารแล้ว
ซิเล้งครุ่นคิดเล็กน้อยจึงปิดสกัดลมหายใจ มุดกายเข้าสู่ถ้ำที่มีควันไฟพุ่งขึ้นมา พริบตาเดียวก็ละลิ่วลงไปหลายวา ตามการคาดคำนวณคงลงมาถึงผิวทะเลแล้ว แต่กลับมิมีน้ำทะเลท่วมท้นเข้ามาแสดงว่าทางสายนี้สามารถทอดถึงวังวารีอย่างแน่นอน
การพบพานโดยบังเอิญนี้ สร้างความปลาบปลื้มปีติให้กับซิเล้งอย่างยิ่งยวด สันนิษฐานว่าเส้นทางที่มีลำแสงทั้งสามสายนี้ คงเป็นทางระบายอากาศของวังวารี ผู้คนอื่นมิอาจอาศัยเข้าออกนอกจากฝึกปรือวิชาเทพยดาย่อกระดูก
แต่ทว่าซิเล้งก็เริ่มบังเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึง เนื่องจากความลับสุดยอดนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และเทพไตรทะเลกลับสามารถสยบประมุขโจรสลัดชาวญี่ปุ่น แม้แต่เจียะฉั้งฮ้งยังตกเป็นเชลย แสดงว่าย่อมต้องมีความสำเร็จอันสูงล้ำ
ซิเล้งหากเลินเล่อเล็กน้อยก็ต้องสูญสิ้นชีวิตอยู่ในดินแดนเร้นลับนี้ กระทั่งขุนพลไร้กรผู้เป็นซือแป๋ปรากฏกายด้วยตัวเอง ก็อย่าคาดหวังว่าจะสืบเสาะหามาถึงที่นี้ได้
ซิเล้งขณะขบคิดก็ลอยร่างต่ำลงไป กลุ่มควันเริ่มเข้มข้น เบื้องล่างแว่วเสียงเครื่องมือหุงต้มกระทบกัน ละลิ่วร่างจนแลเห็นเบื้องล่างเป็นห้องศิลาหลังหนึ่ง มีผู้คนกำลังปรุงอาหารจากสองมือที่เคลื่อนไหวแสดงว่าเป็นอิสตรี
สภาวะเคลื่อนร่างลงยังคงดำเนินต่อไป ซิเล้งพลันบิดเอวพลิ้วร่างเฉียงๆ ลง จนยืนหยัดอยู่ได้
บุคคลที่กำลังปรุงอาหารทางด้านข้าง พอรู้สึกตัวรีบหันขวับมา ซิเล้งรีบถลันกายเข้าหายื่นมือจี้ใส่ทรวงอก ฝ่ายตรงข้ามถึงกับยืนเซื่องซึมอยู่กับที่
ซิเล้งกวาดตาจับจ้องคนเบื้องหน้า แลเห็นเป็นดรุณีเยาว์วัยนางหนึ่งเค้าหน้างามสะคราญ แขนกลมกลึงกับเท้าเล็กๆ ทั้งคู่ล้วนเปลือยเปล่า นอกจากดรุณีนางนี้ภายในห้องครัวก็ปราศจากบุคคลอื่น
เห็นด้านนอกเป็นทางเดินยาวเหยียดสายหนึ่ง ทุกระยะสองวาจุดโคมไฟดวงหนึ่ง ผนังสองฟากข้างเป็นศิลาแข็งแกร่ง การก่อสร้างกระทำได้โอ่อ่าโอฬารยิ่ง
ซิเล้งพลันตบคลายจุดของดรุณีเบื้องหน้า กล่าวว่า
“ท่านมิต้องหวาดหวั่น ข้าพเจ้าแม้อาภรณ์ขาดวิ่น แต่มิใช่บุคคลเลวร้าย ท่านมีนามอันใด?”
ดรุณีนางนั้นจับจ้องซิเล้งอยู่ครู่ใหญ่กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ามีนามอาเฮ็กท่านเป็นโคร?”
ซิเล้งบ่งบอกนามออกไปพลาง กล่าวว่า
“สถานที่นี้ใช่วังวารีหรือไม่?”
“ถูกแล้วท่าน หากโดยสารนาวาทองมา จะแลเห็นป้ายศิลาสลักอักษรว่าวังวารี”
“ท่านทำหน้าที่ปรุงอาหารเพียงคนเดียวหรือ?”
ดรุณีนามอาเฮ็กสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ยังมีอีกสองคน แต่ตอนนี้พ้นยามเที่ยงไปแล้ว พวกนางก็กลับไปหลับนอน”
ซิเล้งพอฟังทราบว่า นางยังมีดรุณีรับใช้อีกสองนางคอยใช้สอย จึงประมาณศักดิ์ศรีของนางสูงขึ้น
ฝ่ายอาเฮ็กเบิ่งตาที่กลมโตจับของฝ่ายตรงข้ามกล่าวว่า
“ท่านหิวหรือไม่?”
ซิเล้งมิได้รับประทานอาหารมาหลายวันแล้ว จึงผงกศีรษะเบาๆ นางก็จัดหาอาหารมาให้ ซิเล้งรีบลงมืออย่างรวดเร็วกล่าวถามว่า
“ท่านอยู่ในวังวารีได้รับความลำบากยากเข็ญหรือไม่?”
“มีระยะเวลาหนึ่งที่ทุกข์ทรมานเหลือแสน แต่ภายหลังข้าพเจ้าได้รับความชมชอบจากท่านประมุข จึงมีความสุขบ้าง”
ซิเล้งจ้องมองนางอย่างตื่นเต้นชั่วครู่จึงกล่าว
“ประมุขของท่านมีนามกระไรคงมีอายุสูงวัยแล้ว?”
“มันแซ่ฮั้วนามง้วน อายุประมาณห้าสิบเศษ มีความสำเร็จสูงส่ง ท่านแม้มีพลังฝีมือยอดเยี่ยม เกรงว่ายังมิใช่คู่มือมัน”
“ประมุขท่านสำเร็จวิชาฝีมือจากสำนักใดท่านทราบหรือไม่?”
อาเฮ็กกล่าวอย่างทระนง
“มันเป็นศิษย์อันดับสองของเจ้าสำนักไตปี่มึ้ง (สำนักมหากาฬ) หลักวิชาของสำนักมหากาฬมีส่วนสัมพันธ์กับเจดีย์ทองคำที่จารึกแนววิชาสูงสุดหลายประการด้วย”
ซิเล้งคาดว่าสำนักมหากาฬย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับอลัชชีโลกันตร์ ในยามกะทันหันก็ครุ่นคิดจนเงียบงันไป
อาเฮ็กพลันพึมพำกับตัวเองว่า
“เขาล่วงล้ำเข้ามา หากถูกท่านประมุขพบเห็นย่อมไม่มีทางรอดชีวิตได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นับว่าเป็นเราทำร้ายมัน ภายหลังเรายังจะหลับสนิทได้อย่างไร?”
ซิเล้งลอบวางใจคำนึงขึ้น
‘…ที่แท้ดรุณีนางนี้ ยังมีน้ำใจประเสริฐเลิศ…’
อาเฮ็กพลันรำพึงต่อ
“แต่ทว่าเราหากพบเห็นเหตุการณ์มิรายงาน ก็ต้องเผชิญกับทัณฑ์ทรมานสิบสามประการของวังวารี นั่นกลับน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก”
ซิเล้งพอฟังก็กระวนกระวายใจขึ้นมา รู้สึกเมื่อมีความจำเป็นก็ต้องจี้สกัดจุดนาง แต่แล้วพลันบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งครุ่นคิดขึ้น
‘…เราไยมิพรรณนาถึงความสวยงามในตงง้วนให้นางยินยอมหลบหนีออกจากวังวารี หากแผนการนี้สำเร็จ เราก็มีไส้ศึกอยู่ภายใน สามารถหาทางช่วยเหลือเจียะฉั้งฮ้งด้วย…’
ซิเล้งจึงแสร้งเอ่ยถึงความครึกครื้นรุ่งเรืองของตัวเมืองใหญ่น้อยต่างๆ และสถานที่เป็นโบราณอันสวยงาม อาเฮ็กก็รับฟังอย่างสนใจ
นางกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าหากได้ไปท่องเที่ยวตามดินแดนเหล่านั้นคงประเสริฐยิ่ง แต่ความหวังนี้ยากจะสัมฤทธิ์ผล ประมุขเรามิอนุญาตให้บุคคลในวังวารีจากไปเลย เพราะเกรงว่าจะแพร่งพรายความลับในวังต่อภายนอก ดังนั้นทุกผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี้ชั่วชีวิต อย่าคาดหวังว่าจะมีอิสระ”
ซิเล้งกล่าวว่า
“ท่านก็หลบหนีออกไป สำหรับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าสามารถช่วยเหลือท่าน เพียงแต่มีเงื่อนไขประการหนึ่ง”
“เงื่อนไขอันใด?”
“ท่านต้องช่วยเหลือสหายข้าพเจ้าผู้หนึ่ง”
อาเฮ็กเงียบงันไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“ที่แท้เชลยของวังวารีนามเจียะฉั้งฮ้งเป็นสหายของท่าน มันกำลังจะสิ้นชีวิตแล้ว”
“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องการช่วยเหลืออย่างรีบด่วน ท่านมีวิธีให้ข้าพเจ้าได้พบพานมันหรือไม่?”
“ข้าพเจ้าพอมีทาง แต่ทว่ามันมิเพียงถูกจี้สกัดจุด ยังรับประทานตัวยาชนิดหนึ่งเข้าไป จนแขนขาอ่อนเปลี้ยไร้กำลังมิอาจเคลื่อนไหว ท่านมีปัญญาช่วยเหลือมันออกจากวังวารีหรือ?”
ซิเล้งงงงันไป ควรทราบว่าวังวารีนี้ก่อสร้างอยู่ใต้น้ำ ยากทะลวงฝ่าเฉกเช่นสถานที่อื่น และเมื่อเจียะฉั้งฮ้งมีร่างกายไม่สมบูรณ์ยิ่งเป็นอุปสรรคด้วย
แต่สถานการณ์ยามนี้ มีแต่ปฏิบัติการไปพลางครุ่นคิดไปพลางจึงกล่าว
“มิเป็นไร ท่านพาข้าพเจ้าไปพบพานมันก่อน”
อาเฮ็กจึงหันกายก้าวเท้าออก ซิเล้งติดตามนางได้ระยะทางประมาณสี่วา อาเฮ็กพลันชะงักเท้าลง ยื่นมือปาดไปบนผนัง พลันปรากฏประตูขึ้นบานหนึ่ง
ประตูบานนี้เป็นเพียงผนังศิลาแตกแยกเป็นช่องว่างออกมา ซิเล้งก็ติดตามนางล่วงล้ำเข้าไป ผ่านอีกห้าหกก้าว ทางเบื้องหน้าเป็นประตูเหล็กบานมหึมาแข็งเกร่งยิ่งนัก
บนประตูมีแผ่นเหล็กกว้างยาวสามนิ้ว อาเฮ็กวาดมือประกอบ ซิเล้งก็เข้าใจได้ สะอึกกายไปเลิกแผ่นเหล็กขึ้น ที่แท้สร้างเป็นฝาปิดรูวงกลมของประตูบานนี้
ซิเล้งหรี่ตามองลอดรูเข้าไป แลเห็นภายในเป็นห้องศิลาคับแคบหลังหนึ่ง ผนังห้องมีรูวงกลมสาดแสงโคมไฟเข้าไป แม้อ่อนจางสลัว แต่ยังเห็นที่มุมห้องมีบุคคลผู้หนึ่งนอนอยู่
ซิเล้งจดจำออกว่ามันคือเจียะฉั้งฮ้ง จึงบังเกิดความลิงโลดร้องว่า
“เจียะฉั้งเฮีย ข้าพเจ้าซิเล้ง…”
เจียะฉั้งฮ้งสะท้านทั้งร่าง ทรงกายลุกขึ้นนั่งอย่างแช่มช้ากล่าวว่า
“เรายังจดจำซิเฮียได้ ขออภัยที่เราสูญเสียกำลังมิอาจลุกขึ้นต้อนรับ”
ซิเล้งพลันโคจรลมปราณ ใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณถ่ายทอดเสียงต่อเจียะฉั้งฮ้งเพียงลำพัง โดยกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าบุกรุกเข้ามาในวังวารีเพื่อช่วยเหลือท่าน บัดนี้จะพังทลายประตูเหล็กเข้าไปก่อน”
พลางเบือนศีรษะมากล่าวถามอาเฮ็กว่า
“มิทราบมีผู้คนลาดตระเวนห้องคุมขังนี้หรือไม่?”
อาเฮ็กสั่นศีรษะ ซิเล้งทาบฝ่ามือไปที่กุญแจดอกมหึมาตรงประตูเหล็ก แผ่พุ่งกำลังกระแทกจนหักทำลาย พลางเอื้อมมือผลักดันประตูเหล็กก็เปิดออก
ซิเล้งถลันร่างเข้าไปพร้อมกับอาเฮ็ก ก็พบพานประกายตาที่ตื่นเต้นพิศวงของฝ่ายตรงข้ามจึงกล่าว
“รายละเอียดที่ข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ได้ มิสามารถบอกเล่าในตอนนี้ ส่วนโกวเนี้ยนางนี้ เป็นบุคคลในวังวารีรับหน้าที่ดูแลห้องครัวและนำพาข้าพเจ้ามาช่วยเหลือท่าน”
ขณะกล่าววาจา ก็ก้มกายสำรวจเพื่อตบคลายจุดเส้นที่เจียะฉั้งฮ้งถูกสกัด ประจวบเหมาะกับพบเห็นเจียะฉั้งฮ้งหรี่ตาเป็นนัย ซิเล้งมีความฉลาดปราดเปรื่องจึงเข้าใจได้ ถอนหายใจกล่าวว่า
“วิชาจี้สกัดจุดกับตัวยาที่ทำร้ายท่าน ข้าพเจ้ามิเคยพบพานมาก่อน ยากที่จะช่วยเหลือได้ แต่จะพยายามใช้ลมปราณบริสุทธิ์รักษาท่านดูสักครา”
อาเฮ็กมีสีหน้าผิดหวัง ส่วนซิเล้งทาบฝ่ามือไปที่จุดเส้นตรงทรวงอกของเจียะฉั้งฮ้ง พริบตาเดียวปรากฏหมอกควันสีขาวพวยพุ่งออกมา อาเฮ็กลังเลเล็กน้อย แล้วจึงก้าวออกจากที่คุมขังไป
ซิเล้งลืมตาขึ้นถามว่า
“เจียะฉั้งเฮียรู้สึกเป็นอย่างไร?”
เจียะฉั้งฮ้งลองผนึกกำลังรู้สึกว่าพื้นฟูมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว จึงผงกศีรษะแย้มยิ้มให้พลางลดสำเนียงลงกล่าวว่า
“โกวเนี้ยนางนี้มิใช่ผู้ดูแลห้องครัว ศักดิ์ศรีคล้ายกับมิต่ำทราม เคยร่วมกับเทพไตรทะเลมาตรวจดูเรารวมสามครั้ง มิทราบนางจะใช้วิธีใดจัดการกับพวกเรา?”
ซิเล้งผงกศีรษะเป็นเชิงรับทราบ ออกจากห้องคุมขังกลับมาถึงห้องครัว แลเห็นอาเฮ็กยืนหยัดอยู่กับที่ จึงก้าวเข้าหากล่าว่า
“โกวเนี้ยยินยอมช่วยเหลือพวกเราจริงๆ ?”
ใบหน้าอาเฮ็กที่งามสะคราญ พลันปรากฏแววหม่นหมองกล่าวว่า
“ท่านคงทราบศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าความจริงเป็นนางสนมของประมุขวังวารี… พวกท่านอาจเหยียดหยามข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ปากคำปฏิเสธ แต่น้ำใจมนุษย์ก็ยากหยั่งคาด”
ซิเล้งเพิ่งรู้สึกว่าดรุณีงามที่เยาว์วัยมีความคิดที่ลึกซึ้ง จึงกล่าว
“ข้าพเจ้ามิมีความคิดดูแคลนโกวเนี้ยจริงๆ ท่านหากมิเชื่อถือก็อับจนปัญญา”
“เอาเถอะ ข้าพเจ้าจะหาทางช่วยเหลือพวกท่านหลบหนีไป ตอนนี้ท่านอยู่ที่นี่ ก่อนข้าพเจ้าจะกลับไปป้อนอาหารให้เจียะฉั้งฮ้ง ท่านพอได้ยินเสียงระฆังก็รีบไปบอกกับข้าพเจ้าทันที”
นางจัดหมี่น้ำมาชามหนึ่งโรยยาผงลงไปเล็กน้อย ซิเล้งจึงมีสีหน้าพิศวงสงสัย อาเฮ็กกล่าวว่า
“ยาผงเหล่านี้สกัดจากตัวยาหลายชนิด มิว่าจะผสมอยู่ในน้ำดื่มหรืออาหาร ล้วนไม่มีกลิ่นรส ผู้รับประทานลงไปคราแรกจะรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง แต่ชั่วหม้อข้าวเดือดให้หลัง จะมีพละกำลังเข้มแข็งกว่าปรกติอีกหลายเท่านัก”
ซิเล้งพอได้ยินจึงกล่าว
“โกวเนี้ยเข้าใจว่าพวกเราต้องลงมือฝ่าออกไปหรือ?”
“ถูกแล้ว วังวารีมีนางสนมกว่าสิบนาง ดรุณีรับใช้อีกยี่สิบนาง ล้วนแตกฉานวิชาฝีมือ และที่น่าหวาดหวั่นก็คือ จ้าวฉลามของวังเราต่างชุมนุมอยู่พร้อมเพรียง เป็นคู่มือที่ยากต้านรับที่สุด”
“โกวเนี้ยยังลืมเลือนเทพไตรทะเลผู้เป็นประมุขวัง….”
“ข้าพเจ้าหาได้ลืมเลือนไม่ หากแต่มิพาดพิงถึงมัน เพราะว่าพวกเราหากไม่อาจหลบหนีพ้นจากมัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่ากับจบสิ้นกัน”
นางยกชามหมี่น้ำขึ้นพลางกล่าวว่า
“ท่านหากผ่านไปถึงตึกสมบัติ ขออย่าได้มีจิตละโมบ อา… ข้าพเจ้ายังห่วงกังวลอีกว่า เจียะฉั้งฮ้งมิอาจผ่านด่านนงคราญ”
ซิเล้งถามไถ่นางด้วยความคลางแคลงใจ แต่อาเฮ็กก็มิตอบคำ และจากไปในบัดดล ซิเล้งจึงคำนึงความหมายในวาจาของนางอย่างหมกมุ่น
ชั่วครู่ให้หลัง เสียงกระดิ่งเงินดังติงตัง ซิเล้งจึงรีบหวนกลับไปที่ห้องคุมขัง วาดมือเป็นนัยบอกกล่าว
อาเฮ็กรีบเก็บชามล่าถอยออกมากล่าวว่า
“ท่านรีบเข้าไปปิดประตูที่คุมขังด้วย ข้าพเจ้าพอจากไป พวกท่านต้องอดทนรอคอยด้วย”
ซิเล้งกับเจียะฉั้งฮ้งจึงนั่งประจันหน้ากันอยู่ในตึกศิลาที่คุมขัง ในใจซิเล้งเพราะยาผงในหมี่น้ำทำให้มิสบายใจตลอดเวลา ตนเมื่อครู่นี้ก็ถูกจัดแบ่งรับประทานหมี่น้ำไปหนึ่งชาม
กล่าวถึงอาเฮ็กได้ค้นหาสุราไหหนึ่งกับอาหารบางชนิดและออกจากห้องครัว มินานให้หลัง นางก็ปรากฏกายเข้ามาในห้องศิลาลักษณะกลมและกว้างใหญ่หลังหนึ่ง
ภายในห้อง มีการประดับประดาอย่างโอฬารตาบนพื้นดินปูพรมหนาสีแดงและเงียบงันไร้ผู้คน นางพอมาถึงก็วางสิ่งของในมือลงบนโต๊ะกลมเล็กๆ ตัวหนึ่ง สาวเท้ามาที่หน้าม่านแพรกล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านประมุข สุราอาหารจัดเรียบร้อยแล้ว”
ในม่านแพรแว่วสำเนียงแกร่งกร้าวทรงอำนาจดังมาว่า
“เจ้าเข้ามา”
อาเฮ็กเลิกม่านเข้าไป ภายในก็เป็นห้องศิลารูปกลมอีกแห่งหนึ่ง แต่จำลองเล็กกว่าภายนอก ไม่มีการประดับประดาใด นอกจากเตียงนอนเตียงหนึ่งกับโต๊ะเก้าอี้หลายตัว แต่ขณะนี้มีผู้คนอาศัยอยู่หลายคน
จำนวนผู้คนมีสามบุรุษกับหนึ่งสตรี ฝ่ายสตรีมีอายุสูงวัยกว่าอาเฮ็กเล็กน้อย ผมเผ้าเกล้าเป็นมวย บนร่างคลุมอาภรณ์เบาบางเพียงชิ้นเดียว อกเสื้อก็ปล่อยหละหลวม จนแลเห็นส่วนสัดบริเวณปทุมถันที่เต่งตึง ร่องอกที่ล้ำลึกเปี่ยมแรงดึงดูดใจ
ใบหน้าของนางทั้งขาวทั้งกลม ดวงตาโตมีเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล ส่วนโค้งส่วนเว้าบนร่างกายก็ปรากฏอย่างเด่นชัดบาดอารมณ์
ส่วนบุรุษมีผู้หนึ่งอายุประมาณห้าสิบเศษ เค้าหน้าเยือกเย็นเหี้ยมเกรียม สวมใส่อาภรณ์ชุดยาวสีเทา เปลือกนอกไม่มีข้อพิเศษอื่นใด
บุรุษอีกสองคนต่างอยู่ในวัยฉกรรจ์ อายุประมาณสี่สิบปี ล้วนพกอาวุธรัดกุมสายรัดที่หว่างเอวมีสีสันผิดแผกกัน หนึ่งเป็นสีขาวหนึ่งเป็นสีดำ
พวกมันล้วนแหงนหน้าจับจ้องเพดานห้อง อาเฮ็กจึงเงยหน้ามองตาม แลเห็นเบื้องบนจัดสร้างจากแก้วผลึกโปร่งใส สามารถแลเห็นน้ำทะเลสีคราม ในผิวน้ำก็มีวัตถุสีเงินเรืองแสงชนิดหนึ่ง
นางทราบดีว่าวัตถุสีเงินนั้นอยู่ใต้ท้องเรือลำหนึ่ง ซึ่งนำไปติดตั้งโดยผู้คนภายในวังนี้เอง และจากวัตถุเงินนั้นทำให้เห็นชัดว่าตัวเรือได้จมลงสู่ผิวน้ำถึงหนึ่งในสามส่วน
บุรุษคาดสายรัดเอวสีขาว ซึ่งมีเรือนร่างผอมซูบกล่าวว่า
“ตัวเรือจมลงเพราะน้ำมือของผู้คน แต่มันผู้นั้นเป็นใคร? พวกสลัดญี่ปุ่นกลับมิอาจคร่ากุมได้”
บุรุษชุดเทาเทพไตรทะเลฮั้วง้วนสั่นศีรษะกล่าวว่า
“ศัตรูมีความสามารถมิอาจดูแคลน คอยระวังอย่าให้มันมีโอกาสแทรกซึมมาถึงวังวารีได้”
ประกายตามันพอกวาดมองมายังอาเฮ็กก็สาดเป็นแววหื่นกระหาย พลันผุดลุกขึ้นไปพานางมาที่เตียงนอนทันที
ส่วนสองบุรุษที่ร่วมอยู่ ซึ่งคือจ้าวฉลามขาวกับจ้าวฉลามดำต่างร่ำดื่มสุรากัน เทพไตรทะเลยื่นมือลูบคลำส่วนสัดของอาเฮ็กส่งเสียงว่า
“เล่าฮูนิยมชมเชยเจ้าเป็นพิเศษ เพราะว่าเจ้านอกจากความงามสะคราญแล้ว ยังมีมันสมองความคิดด้วย…”
พลันมีสีหน้าเคร่งเครียดลงกล่าวว่า
“แต่เจ้าอย่าได้ลืมเลือนความทารุณของทัณฑ์ทรมานสิบสามประการในวังวารี เล่าฮูทราบดีว่าในวังนี้มีแต่เจ้าที่อาจคิดทรยศ เฮอะ หากเป็นเช่นนั้นมิว่าจะหลบหนีอย่างไรก็ไม่อาจรอดพ้นได้”
อาเฮ็กมีสีหน้ามิแปรเปลี่ยนหัวร่ออย่างหยาดเยิ้มกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าซื่อสัตย์จงรักต่อท่านประมุขตลอดเวลา บัดนี้ ขอรายงานศัตรูที่ทำลายเรือสลัดได้แทรกซึมเข้ามาในวัง และข้าพเจ้าเป็นบุคคลแรกที่พบพานมัน”
เทพไตรทะเลมีประกายตาดุร้ายกล่าวว่า
“มันเป็นใครตอนนี้อยู่ที่ใด?”
“เป็นบุรุษหนุ่มอายุเยาว์ พบว่าวังเราก่อสร้างอยู่ใต้ทะเล มิมีทางหลบหนีได้ จึงขอความช่วยเหลือต่อข้าพเจ้า”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เดียรัจฉานน้อยผู้นั้นก็ถูกเจ้าสยบไว้ชั่วคราวแล้ว”
พลางส่งเสียงหัวร่อออกมา แต่อาเฮ็กกลับสะท้านทั้งร่าง ที่แท้ปลายนิ้วของเทพไตรทะเลก็กดอยู่ที่จุดเส้นใต้ชายโครงของนาง
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป