♦ ภัยบนทะเลกว้าง ♦
…………….

ยามนี้ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสภาวะยืนประจันหน้า ฝ่ายหนึ่งกระชับดาบอีกฝ่ายหนึ่งสองมือเปล่าเปลือย

คบเพลิงบนพื้นดินถูกพลังฝ่ามือเมื่อครู่ พัดดับไปแล้วฝ่ายเจียะฉั้งฮ้งที่กุมดาบอยู่บังเกิดความรู้สึกอันฮึกเหิมประเดประดังขึ้นตลอดเวลา

หลายปีที่ผ่านมา มันอาละวาดแถบน่านน้ำผืนแผ่นดินตงง้วน มิเคยเผชิญพบคู่มืออันเข้มแข็งเช่นนี้ ยิ่งกระตุ้นให้มันมีความต้องการทดสอบฝีมือ

วินาทีนั้น ทางโจรสลัดญี่ปุ่นปรากฏเงาร่างสี่สายปรากฏกายออกจากการหมอบซุ่ม คุกคามมาทางด้านหลังของซิเล้งหมายประทุษร้าย

ซิเล้งคล้ายกับมิรู้สึกว่ามีศัตรูลอบเร้นมาถึงเบื้องหลัง ยังใช้ดวงตาทั้งคู่จับจ้องเจียะฉั้งฮ้ง  ในสายตาสาดเป็นประกายเกรี้ยวกราดก่อเกิดอำนาจข่มขู่ไร้สภาพจนเจียะฉั้งฮ้งไม่กล้าสะบัดดาบจู่โจม

โจรสลัดสี่คนที่แสดงตัวขึ้น  มีอยู่สองคนพลันตวาดเสียงที่ดุร้ายสยบขวัญคู่ต่อสู้พากันตวัดดาบพุ่งใส่ชายโครงทางซ้ายขวาของซิเล้งโดยพร้อมเพรียง

ซิเล้งรีบเบี่ยงกายหลบหลีกดาบที่เสือกแทงมาฝ่ามือขวากวาดกระแทกออก  เสียงโครมโครมดังต่อเนื่องสองครั้ง  ผู้ประทุษร้ายก็ล้มฟุบอยู่บนพื้นดินเสียแล้ว

ยามนี้ เจียะฉั้งฮ้งเห็นเป็นโอกาสลงมือส่งเสียงคำรามดังสะเทือนแก้วหูประกายตาพลันกระจายจ้าเข้าใส่อย่างฉับพลัน

ซิเล้งสูดลมหายใจพุ่งกายถอยปราดมาวาเศษส่งเสียงว่า

“ดาบของข้าพเจ้าอยู่ใต้เท้าของท่าน”

เจียะฉั้งฮ้งก้มศีรษะลงมองดูแล้วกล่าวว่า

“คืนให้ท่าน”

พลางใช้ปลายเท้าสะกิดเบาๆ ดาบยาวก็พุ่งขึ้นกรีดตรงเข้าหา  ซิเล้งยื่นมือรับไว้  เจียะฉั้งฮ้งพลันกล่าวว่า

“สหายมีเพลงดาบมิทัดเทียมกับวิชาฝ่ามือ  ไฉนจึงสละปมเด่นใช้ปมด้อย?”

ซิเล้งกล่าวอย่างองอาจ

“ข้าพเจ้ารับทราบมาว่า เพลงดาบของชาวทะเลบูรพามีอานุภาพอีกแบบหนึ่ง  วันนี้มีโอกาสได้พบพาน จึงต้องการทดสอบดู”

เจียะฉั้งฮ้งยิ้มอย่างเคร่งขรึมกล่าวว่า

“เรายินดีน้อมสนอง สหายหากมีชีวิตรอดจากคมดาบไปได้  นับแต่นี้นาวาในสังกัดเราจะไม่รุกรานเข้ามาในน่านน้ำแถบละแวกใกล้เคียงอีกเลย”

“วาจานี้เป็นความจริง?”

“เราชาวบูรพามีสัตย์วาจามั่นคง  สหายขอให้เชื่อถือเถอะ”

ซิเล้งผงกศีรษะแล้วประคองดาบถดถอยมาหนึ่งก้าว  สลัดความคิดทุ่มเทสมาธิจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ที่จะเริ่มก่อตัวขึ้นโดยมิประมาท

เจียะฉั้งฮ้งยามนี้ก็กลับคืนสู่ท่วงท่าที่มั่นคงเป็นความสำเร็จของมือชั้นนักสู้ชาวบูรพา  ซึ่งฝึกฝนการสำรวมจิตเป็นพิเศษ และผู้ที่มีความสำเร็จถึงขั้นนี้ก็ต้องผ่านการพากเพียรอย่างลำบากยากเย็น

ทั้งสองเริ่มพันตูโดยใช้กระแสจิตหักล้างกัน  อาศัยความสงบสยบความสงบ  ผู้ใดหากมีปฏิกิริยาก็เท่ากับเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะจะเผยช่องโหว่ที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้โหมรุกตะลุยใส่

บนลำนาวาที่ใหญ่โตนี้  มีหมู่โจรสลัดชุมนุมอยู่นับร้อยคนแต่ก็มิมีผู้ใดคิดสอดมือยุ่งเกี่ยว  เนื่องจากจิตใจของพวกมันต่างก็ทุ่มเทอยู่กับการประหัตประหารเบื้องหน้าโดยสิ้นเชิง

นับตั้งแต่บุกขึ้นบนเรือโจรสลัดจวบจนบัดนี้ เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว ซิเล้งยังคำนึงถึงกำหนดสามชั่วยามของการหยิบยืมพลังภายในจากขุนพลไร้กร  ดังนั้นจึงเริ่มบังเกิดความกระวนกระวายขึ้นมา

ความในใจของซิเล้งก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างลืมตัว  เจียะฉั้งฮ้งคอยสังเกตอิริยาบถของฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว พอพบเห็นต้องลอบบังเกิดความลิงโลดคำนึงว่า

‘…ขอเพียงเราใช้ความอดทนต่อสู้อย่างสงบเช่นนี้อีก  คู่ต่อสู้คงต้องพลาดพลั้งอย่างแน่นอน…’

ซิเล้งเริ่มสำนึกว่าสถานการณ์ได้ผิดพลาดไป ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรงรีบรวบรวมสมาธิจดจ่อ มิกล้ามีความคิดอื่นอีก ความสงบพอบังเกิด  ทางเจียะฉั้งฮ้งก็ไม่อาจเสาะพบช่องว่างรอยโหว่บนร่างของตน  นับว่ารอดจากภยันตรายในการถูกจู่โจมอย่างหวุดหวิด

อันการหักล้างด้วยกระแสจิตนี้ หากดำเนินไปพลังภายในก็จะเสื่อมโทรมร่อยหรอ  จึงต้องเป็นผู้มีพลังการฝึกปรือลึกล้ำด้วย  ซึ่งสำหรับข้อนี้ ซิเล้งเพราะได้รับการยืมพลังจากขุนพลไร้กรย่อมเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม

แต่ทว่า  เจียะฉั้งฮ้งมีชาติกำเนิดเป็นชาวญี่ปุ่น  ตั้งแต่เติบใหญ่ก็คร่ำเคร่งฝึกหัดวิชาสำรวมจิตใจ  ในด้านรากฐานก็ลึกซึ้งกว่าซิเล้งเช่นเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายเมื่อต่างมีปมเด่นกันเช่นนี้  ก็ต้องอาศัยความอดทนเป็นข้อพิสูจน์ขั้นสุดท้าย  สภาพการณ์จึงดำเนินอย่างเยิ่นเย้อเช่นนี้ไปอีกหนึ่งชั่วยามเต็มๆ!

ซิเล้งกับเจียะฉั้งฮ้งต่างมีสีหน้าอิดโรยอ่อนระโหย  แต่ประกายสายตายังสดใสมิขุ่นมัว  แสดงว่าพยายามเร่งเร้าพลังภายใน ผนึกกระแสจิตเข้าหักล้างต่อไป

รอบด้านแว่วเสียงหอบหายใจของบรรดากลุ่มโจรสลัดญี่ปุ่นที่ชมการหักหาญอยู่  ในความรู้สึกของพวกมัน คู่ต่อสู้ทั้งสองต่างผ่านเภทภัยอันตรายมานานาประการ  ทั้งๆ ที่ความจริงซิเล้งกับเจียะฉั้งฮ้งมิได้มีการขยับเขยื้อนเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเลย

ซิเล้งมีดวงใจร้อนรุ่มสุดระงับคำนึงขึ้น

‘…เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามเท่านั้น  หากมิเร่งรุดกลับที่พัก  พลังที่ได้รับการหยิบยืมมาจะไม่อาจถ่ายเทชดใช้  ซือแป๋ก็จะกลับกลายเป็นคนสามัญแล้ว…’

พอเริ่มมีจิตใจรวนเร  ก็บังเกิดความคิดหมายหักล้างผลาญชีวิตกับฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา

ฝ่ายเจียะฉั้งฮ้งคาดมิถึงว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีอายุเยาว์วัย  แต่ในด้านรากฐานพลังภายในมีความลึกซึ้งยิ่งนัก  มันเริ่มมีกำลังภายในไม่ประสานต่อเนื่องกัน  จึงมีความต้องการจู่โจมรุกรานด้วย

แลเห็นประกายดาบสองสายพลันถูกกรีดออกจากสองทิศ  พุ่งเข้าหากันราวกับสายรุ้งจากฟากฟ้า  ได้ยินเสียงดังเปรื่องคมดาบทั้งสองก็กระดอนเบนเบือนจากกัน

ทั้งสองพอสงบก็แน่วแน่มั่นคง  ยามเคลื่อนไหวก็ลงมือคล้ายกับนัดแนะกันไว้  พอพิสูจน์กันกระบวนท่าหนึ่งก็พากันสะบัดดาบคู่มือซ้ำเติมไป  ปรากฏประกายไฟแลบกระจาย  ดาบทั้งสองปะทะกันอีกสิบกว่าครั้งซ้อนๆ

เจียะฉั้งฮ้งพลันแฉลบกายมาอย่างแยบคาย  ดาบยาวตวัดสู่เบื้องสูงแล้วกดกระหน่ำลง  พลังดาบแหลมคมรุนแรงยิ่ง  แหวกฝ่าอากาศเป็นวงโค้งสายยาวเหยียด

ซิเล้งถูกท่าร่างที่พลิกแพลงของต่อสู้  รุกไล่จนรีบควงดาบปัดป้อง  แต่ปฏิกิริยานี้ ทำให้เจียะฉั้งฮ้งรุกตะลุยซ้ำเติมด้วยท่าเพลงอันฉับไวดุร้ายอีกหลายครา

ที่แท้เจียะฉั้งฮ้งเริ่มใช้วิชาดาบที่ได้รับการตกทอดมาจากยุคสมัยโบราณ  ซึ่งมีหลักสำคัญอยู่ว่ามุ่งรุกกระหน่ำ พลิกแพลงซับซ้อน ว่องไวปราดเปรียว ดุร้ายหฤโหด  ดังนั้นคู่ต่อสู้หากใช้วิธีต้านรับ ย่อมต้องปั่นป่วนวุ่นวายจนต้องพลาดพลั้งเสียที

ซิเล้งควงดาบต้านรับประมาณเจ็ดแปดท่าเพลงก็เริ่มรู้สึกสำนึก  พลันบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่ง  ฉุกคิดถึงหลักที่ว่า ใช้ความหนักแน่นสยบข้อพลิกแพลง จึงเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยา พลิกดาบเข้าปะทะอย่างตรงๆ

คราครั้งนี้  ได้แผ่พุ่งกำลังภายในเข้าไปแปดส่วนจึงได้ยินเสียงตึงตังถี่ยิบ  ดาบในมือของเจียะฉั้งฮ้งพลันปลิวกระเด็นหลุดจากมือการต่อสู้ก็พลันสิ้นสุดลง

ซิเล้งสะอึกกายไปหนึ่งก้าว  แต่ยังมิทันลงมือก็เหลือบเห็นเจียะฉั้งฮ้งยืนแน่วนิ่งอยู่  สีหน้ามีแววทระนงองอาจ  ทั้งๆ ที่เป็นผู้พ่ายแพ้ได้ยินเจียะฉั้งฮ้งกล่าวช้าๆ ว่า

“สหายยอดเยี่ยมนัก  บัดนี้ชีวิตของเราอยู่ในเงื้อมหัตถ์ของท่าน หากจะเมตตาก็ขอให้ส่งเสริมเสีย  อย่าได้เหยียดหยามให้อัปยศเป็นอันขาด”

ซิเล้งพลันสั่นศีรษะกล่าวว่า

“ขอเพียงท่านภายหลังมิสร้างความเดือดร้อนให้กับชนชาวตงง้วน  ข้าพเจ้าก็มิคิดสังหารท่าน”

เจียะฉั้งฮ้งผงกศีรษะอย่างหนักแน่น  กล่าวว่า

“เราจะถอนกำลังนำเรือออกจากดินแดนนี้ทันที”

ซิเล้งย่อมเชื่อวาจาฝ่ายตรงข้าม  รู้สึกตัวเองได้ปฏิบัติหน้าที่เสร็จสมตามความปรารถนาแล้ว  จึงพลิ้วกายพุ่งออกจากลำเรือ บรรดาโจรสลัดญี่ปุ่นในการปกครองของเจียะฉั้งฮ้ง ก็มิสกัดขัดขวางเเม้แต่น้อย

ขณะนี้กำหนดเวลาสามชั่วยามใกล้สิ้นสุดแล้ว  ซิเล้งใช้วิชาตัวเบาวิ่งปราดหวนกลับมาถึงตึกศิลาที่พำนัก พกพาเอาความลิงโลดที่สามารถหักโค่นนักสู้ชาวบูรพา  พร้อมกับความรู้สึกปลอดโปร่งใจในการที่หวนกลับมาก่อนกำหนดได้

แต่ทว่าประกายตาพอกวาดมอง  แลเห็นขุนพลไร้กรกลับก้มศีรษะแน่นิ่ง  ฝ่ามือข้างที่เคยยื่นออกก็ปล่อยห้อยลง!

ซิเล้งถึงกับสะท้านขึ้นทั้งร่าง คุกเข่าโครมลงบนพื้นดิน ร้องเรียกซือแป๋อยู่หลายประโยค แต่ขุนพลไร้กรยังปราศจากปฏิกิริยา พอสำรวจดู พบว่าชายชรามีผิวกายขาวซีด ตลอดเรือนร่างแทบไม่มีกำลังวังชาอยู่เลย

ความโศกเศร้ารันทดคุกคามซิเล้งอย่างรุนแรง พลันเปล่งเสียงร่ำไห้ออกมา ในพริบตานั้นต้องหวนนึกถึงชาติกำเนิดอันอาภัพอัปภาคย์กับประสบการณ์อันทารุณอนาถใจที่ผ่านมา

ขุนพลไร้กรเป็นบุคคลที่เผื่อแผ่พระคุณต่อตน สร้างวิถีชีวิตอันรุ่งโรจน์ชัชวาลแก่ตน แต่แล้วผู้เป็นซือแป๋กลับประสบสภาพเลวร้ายเช่นนี้ นับว่ากระทบกระเทือนจิตใจอย่างใหญ่หลวง

ซิเล้งร่ำไห้อยู่พักหนึ่ง  โดยมิรู้ตัวกลับหมอบฟุบอยู่บนพื้นดินหลับใหลไป

ยามฟื้นตื่นมา แสงสุริยันก็อาบไล้ไปทั่วพสุธา ระลอกคลื่นจากทะเลกว้างซัดสู่ชายหาดแล้วแตกกระจายถดถอยกลับ บังเกิดเป็นคลื่นเสียงอย่างมีจังหวะจะโคน

ซิเล้งพอคืนสติ จิตใจก็รู้สึกปลอดโปร่งสบายเป็นพิเศษ แต่ห้วงสมองพอคำนึงถึงสภาพความจริงอันน่าพรั่นพรึง ก็บังเกิดความวิปโยคหดหู่อย่างสุดแสน

พอเงยหน้าขึ้น  พบเห็นขุนพลไร้กรยังนั่งขัดสมาธิอยู่เช่นเดิม  แต่ศีรษะได้เงยขึ้นเบิ่งสายตามองมา ซิเล้งจึงร้องว่า

“ซือแป๋ ท่านผู้เฒ่าเป็นไรไป?”

ขุนพลไร้กรส่งเสียงอันอ่อนล้าว่า

“เรามีร่างกายเป็นอัมพาต เลือดลมไม่สะดวก เกรงว่ามิอาจมีชีวิตไปอีกสามปีแล้ว”

“โอ ศิษย์น่าชิงชังนัก ซือแป๋ ท่านประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้สาเหตุมาจากผู้ศิษย์นั่นเอง”

“ทารกเจ้ามิต้องตำหนิตัวเอง  เราเพราะเลินเล่อ  ลืมคำนึงว่าตนเองชราภาพแล้ว  ดังนั้นแม้ยังมิถึงกำหนดเวลาก็ไม่อาจควบคุมไว้ได้  เจ้าหากปรนนิบัติต่อเราอย่างดีเลิศ  ซือแป๋อาจมีชีวิตอีกแปดถึงสิบปีแต่ทว่า…”

หยุดทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า

“เราจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอดกาล  มือเท้าล้วนมิอาจเคลื่อนไหวการประกอบกิจวัตรประจำวัน  ต้องอาศัยการช่วยเหลือจากเจ้า  นี่เป็นสภาพที่สร้างความลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง”

ซิเล้งกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“ซือแป๋ขอเพียงมีชีวิตอยู่  ผู้ศิษย์ขอสาบานว่าจะมิพรากจาก และจะปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่  ขอท่านผู้เฒ่ารักษาตัวอย่างสงบเถอะ”

กาลเวลาผ่านไปสิบวัน ซิเล้งปรนนิบัติต่อขุนพลไร้กรอย่างจริงใจ  อาทิ เกี่ยวกับอาหารการกิน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า มิพาดพิงถึงหลักวิชาฝีมือเลย

รุ่งเช้าของวันที่สิบเอ็ด  ขุนพลไร้กรพลันกล่าวขึ้นว่า

“เจ้าพาเราไปยังชายหาดด้วย”

ซิเล้งโอบอุ้มซือแป๋ออกมานั่งที่ชายหาด  หันหน้าไปทะเลใหญ่  กวาดตาได้มองดวงสุริยันที่อาบแสงสีอยู่บนผิวน้ำสีครามที่ไร้ขอบเขตรู้สึกปลอดโปร่งใจยิ่ง

ขุนพลไร้กรมีท่วงท่าคึกคักแจ่มใส  กล่าวว่า

“เจ้าลองโคจรลมปราณตามหลักวิชาตลบหนึ่ง แล้วบ่งบอกความรู้สึกให้เรารับทราบ”

ซิเล้งทรุดกายนั่งขัดสมาธิสำรวมจิตใจแล้วผนึกกำลังโคจรไปรอบร่าง  ประมาณชั่วหม้อข้าวเดือด  จึงลืมตาขึ้นกล่าวว่า

“น้อมเรียนซือแป๋  ศิษย์รู้สึกลมปราณกระจายธนสมบูรณ์  บริเวณจุดตังชั้งสามารถระบายลมปราณบริสุทธิ์แผ่ซ่านไปยังส่วนสัดต่างๆ ตามใจปรารถนาด้านกำลังภายในนับว่าสมบูรณ์ทีเดียว”

“ประเสริฐ  บัดนี้เจ้าลองแสดงหกฝ่ามือมหรรณพออกมา”

ซิเล้งกระโดดปราดลุกขึ้น  วาดมือวาดเท้าอย่างเหมาะสมแล้วเร่งเร้าลมปราณ  พลันสะบัดฝ่ามือไปทางหน้า หลัง ซ้าย ขวา บน ล่าง รวมหกฝ่ามือทุกครั้งที่ลงมือ อาภรณ์บนร่างก็พองโตขึ้น  มีอานุภาพทำลายล้างอย่างสมบูรณ์

ขุนพลไร้กรถึงกับโห่ร้องชมเชย กล่าวว่า

“พลังการฝึกปรือที่เราหยิบยืมให้เจ้า  บัดนี้แม้เสื่อมสลายไปครึ่งหนึ่ง แต่ประการแรก เนื่องจากเจ้ามีใจคอเด็ดเดี่ยว ยามแสดงวิชาไม้ตายขนานนี้ ย่อมมีอานุภาพที่เกรี้ยวกราดตามปฏิกิริยานับเป็นส่วนสัดที่ยากเสาะพบในมวลมนุษย์

ประการสอง เจ้ามีภูมิปฏิภาณสูงเยี่ยม ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก บุคคลอื่นต่อฝึกฝนหลายสิบครั้งจึงสามารถจดจำวิชาท่าร่างได้ แต่เจ้าเพียงฝึกปรือครั้งเดียว ก็ใช้ออกได้อย่างประเสริฐ”

พลางยิ้มน้อยๆ กล่าวต่อ

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คือเราอีกมินานก็จะฟื้นฟูเป็นปรกติดังเดิม มิหนำซ้ำพลังการฝึกปรือไม่ลดถอย คราก่อนที่บอกว่ามีอาการสาหัส เพียงเพื่อทดสอบจิตใจของเจ้านั้นเอง”

ซิเล้งปลาบปลื้มปีติจนตะลึงลานไป ขุนพลไร้กรพลันบงการให้ตนนั่งลง แล้วบ่งบอกว่า

“บัดนี้จะถ่ายทอดวิชาประการอื่นๆ ให้ ควรทราบว่าฝ่ามือมหรรณพแม้เป็นหลักวิชาใหญ่ แต่ต้องฝึกปรือแนววิชาอื่นอีกเพื่อเสริมสร้างความสำเร็จ”

และนับตั้งแต่วันนี้ ขุนพลไร้กรเริ่มถ่ายทอดแนววิชาไม้ตายที่สะท้านโลกนานาประการให้กับซิเล้ง มีทั้งวิชาหดกระดูก แปรสภาพ พินิจยลและคว้าจับ  ซึ่งล้วนพิเศษพิสดารเด่นล้ำยิ่ง

บางครั้งขุนพลไร้กรวิพากษ์วิจารณ์ถึงหลักวิชาของค่ายสำนักในใต้หล้า อาวุธประเภทต่างๆ พร้อมวิชาประยุทธชิงชัย  ซิเล้งซาบซึ้งว่า ซือแป๋เป็นปรมาจารย์แห่งยุคท่านหนึ่ง จึงรับการอบรมและจดจำโดยมิลืมเลือน

กับสภาพการดำรงชีวิตของทั้งสอง  นับว่าสะดวกสบายกว่าเดิมมาก ทั้งนี้เพราะอยู่มาวันหนึ่ง ซิเล้งได้รับการเยี่ยมเยือนจากทหารหลวงผู้หนึ่งซึ่งมอบเครื่องนุ่งห่มและเสบียงให้  โดยมีจดหมายกำกับมาฉบับหนึ่ง

ซิเล้งขออนุญาตซือแป๋ ฉีกออกอ่านรับทราบว่า นี่เป็นจดหมายจากผู้บังคับบัญชากองทหารหลวงประจำเมืองนี้นามฮ่อง้วนไค โดยอ้างว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวเมืองมิได้รับการรุกรานของหมู่โจรซึ่งอยู่ในสังกัดของเจียะฉั้งฮ้ง

และจากการสืบเสาะความจริงทราบว่า ซิเล้งเป็นผู้หักโค่นเอาชัยเจียะฉั้งฮ้ง ดังนั้นจึงบรรยายว่าหากมิรังเกียจทุกสิบวันก็จะส่งคนมอบเสบียงอาหารมาและจัดวางอยู่ในโพรงศิลา ห่างจากตึกที่พำนักอยู่สิบวาทุกครั้งไป

ขุนพลไร้กรกลับไม่ปฏิเสธเจตนาดีนี้ แต่มิต้องการให้ซิเล้งพัวพันกับผู้มีตำแหน่งหน้าที่ จึงมิให้ตอบจดหมายไป

โดยมิรู้สึกตัวกาลเวลาล่วงลับไปหกเดือน ซิเล้งสามารถฝึกปรือยอดวิชาหลายประการ

ที่แท้ฝ่ามือมหรรณพจะแผ่อานุภาพก็เมื่อมีพลังการฝึกปรือสมบูรณ์สุดยอด ซึ่งด้านพลังภายในจะมีความล้ำลึกขึ้นอีกก็ต้องผ่านกาลเวลาที่มานะฝึกฝน มิอาจฝึกฝนให้ก้าวหน้าในระยะสั้นๆ

ในทิวาหนึ่ง ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ซิเล้งบังคับเรือน้อยเพียงลำพังฝ่าระลอกคลื่นอย่างรวดเร็ว  กรีดใส่ผิวทะเลกว้างจนแตกกระจายเป็นเส้นสาย

การบังคับเรือนี้เป็นวิธีการฝึกปรือพลังภายในตามการบัญญัติของสำนัก  ดังนั้นทุกๆ วัน ซิเล้งจะนำเรือออกจากหาดฝึกหัดตามปรกติ

มินานให้หลัง ซิเล้งตกอยู่ท่ามกลางทะเลสีคราม สุดสายตารอบๆ พบพานแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า กระแสคลื่นก็เกรี้ยวกราดรุนแรงยิ่ง

ลำเรือลอยกระเพื่อมตามระลอกคลื่น พลันพบเห็นที่ห่างไปมีลำน้ำสีขาวสายหนึ่งพุ่งฝ่าอากาศขึ้นมาสูงขึ้นสิบกว่าเชียะ

ซิเล้งสะท้านใจวาบ คำนึงขึ้น

‘…นี่เป็นคราแรกที่เราบังคับเรือออกมาไกลโข พบพานปลาวาฬใหญ่แล้ว…’

ยามนั้นตนเริ่มมีความคิดนำเรือหวนกลับ แต่ทว่าผิวน้ำพลันบังเกิดความปั่นป่วน ระลอกคลื่นพลันแตกกระจายดังอึงคะนึงคล้ายกับมีพลังใต้น้ำก่อกวนอยู่

ซิเล้งรู้สึกว่าเรือน้อยมีอาการคลอนแคลน ตนพยายามคุมเรือรักษาความมั่นคง พลางเบือนศีรษะมองจิตใจต้องหวั่นไหวสั่นระทึก

ที่แท้ตำแหน่งซึ่งห่างออกไปหลายสิบวา ปรากฏวัตถุอันมหึมาสีดำคล้ำเงาหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำ เป็นปลาวาฬพันธุ์ประหลาดซึ่งเป็นมัจฉาประเภทใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์น้ำ

แต่ทว่าสิ่งที่น่าพรั่นพรึงก็คือ รอบบริเวณปลาวาฬมหึมา ปรากฏสะเก็ดน้ำสาดกระจาย ฉลามใหญ่ที่ยาวเกือบสองวาจำนวนสุดคณานับกำลังแหวกว่ายพุ่งทำร้ายปลาวาฬจากทั่วสี่ทิศแปดทาง

ปลาวาฬตัวนั้นมีส่วนสัดใหญ่โตสุดจะเปรียบ แต่ยามเผชิญกับฝูงฉลามที่ดุร้ายหิวโหย ก็มิมีหนทางต้านรับ  ได้แต่แหวกว่ายหลบหลีก  ดังนั้นท้องทะเลจึงบังเกิดความวิปริตแปรปรวนจนน่าตื่นตระหนก

พริบตาเดียว เรือน้อยของซิเล้งก็ถูกม้วนตลบเข้าไปในมรสุมทะเล จนมิอาจควบคุมบังคับได้ ฉลามร้ายตัวใหญ่พุ่งเฉียดผ่านลำเรือไปตลอดเวลา ขอเพียงกระแทกถูกตัวเรือยอมต้องแตกสลายอับปาง

ซิเล้งแม้มีขวัญกล้าใจเข้มแข็ง แต่ขณะเผชิญกับภยันตรายนี้ จิตใจยังกระเจิดกระเจิง ตนทราบดีว่าหากเรือน้อยถูกทำลายร่างพอตกลงสู่ทะเล ก็ตกเป็นเป้าจู่โจมของฉลามร้ายทั้งฝูง

ทันใดฉลามร้ายตัวหนึ่งพลันพุ่งฝ่าผิวน้ำ  โถมละลิ่วเข้าหาเรือน้อยทันที

ซิเล้งใช้สายตากวาดกราดเงี่ยหูสดับฟังท่ามกลางคลื่นท่วมทะลักส่งสำเนียงอื้ออึง ยังจำแนกเหตุการณ์ได้ จึงกระชับไม้พายแผ่พุ่งพลังภายในแล้วเสือกแทงเข้าไปในช่องท้องสีขาวโพลงของปลาฉลามตัวนั้น

ตนแฝงพลังในการจู่โจมครั้งนี้  หากแม้นอยู่บนพื้นที่ราบ ฉลามร้ายแม้พุ่งลงมาอย่างดุดัน ก็มีความมั่นใจว่าสามารถกระแทกตัวฉลามจนปลิวกระเด็น

แต่ตอนนี้ เรือน้อยที่ใต้เท้าสั่นคลอนการทรงกายก็มิง่ายดาย ย่อมยากที่จะสำแดงวิชาอาศัยพลังย้อนสะท้อนอันสูงส่งได้

ไม้พายเพิ่งพุ่งออก ตัวเรือก็แฉลบมาทางด้านข้างอย่างรุนแรง ตลอดร่างของซิเล้งจึงหันเหทิศทางไปหลายเชียะ การจู่โจมด้วยไม้พายพลอยพลาดเป้าไปด้วย

ซิเล้งคร่ำครวญในใจ

‘…แย่แล้ว…’

ได้ยินเสียงระเบิดดังโครมใหญ่ ฉลามร้ายพลันพุ่งลงไปในระลอกคลื่น ที่แท้การเอียงแฉลบของลำเรือกลับช่วยคลี่คลายสถานการณ์อันเลวร้ายเลี่ยงจากเภทภัยถูกฉลามร้ายจู่โจมใส่

แต่ซิเล้งยังมิทันได้ระบายลมหายใจออก ก็ปรากฏฉลามร้ายอีกตัวหนึ่งพุ่งฝ่าผิวน้ำโถมตรงเข้ามาราวกับเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง

ในวินาทีนั้น ตนคำนวณทราบว่ากลังกระแทกของฉลามร้ายตัวนี้ย่อมไม่ต่ำกว่าพะเนินเหล็กที่ถล่มลงโดยเฉพาะหัวฉลามได้พุ่งเข้ามาทางท้องเรือ จึงยิ่งดุดันยากต้านทาน

ตนรู้ซึ้งว่ามาตรแม้นจะใช้วิชาอาศัยพลังสะท้อนก็ยากที่จะบังคับฉลามร้ายตัวนี้ให้เบี่ยงหลบไปได้  จึงยื่นไม้พายเข้าไปในน้ำโดยมิลังเลแผ่พุ่งกำลังกวาดปาดอย่างรุนแรง

เรือน้อยจึงหมุนคว้างพุ่งออก  ฉลามร้ายก็ว่ายเฉียดผ่านกราบเรือไป  นับเป็นสภาพการณ์ที่หวุดหวิดหวาดเสียวยิ่งนัก

ในท้องทะเลที่ปั่นป่วนด้วยมรสุมเช่นนี้  ความจริงมิสมควรหักเหทิศทางของลำเรืออย่างหักโหม  ควรทราบว่าเรือน้อยยังมิจมก็ประเสริฐเลิศเหลือแล้ว ดังนั้นพฤติการณ์ครั้งนี้ เท่ากับชักนำเภทภัยเรือล่มทีเดียว

แลเห็นระลอกคลื่นที่ฟั่นเฟือนลูกใหญ่ดุจดั่งอสนีบาตแลบลั่นกวาดทะลักเข้ามา เรือน้อยจึงลอยกระเพื่อมถูกลูกคลื่นยอขึ้นสูงซิเล้งก็เฝ้าตักเตือนตัวเองว่า

‘…เราต้องควบคุมสมาธิบังคับเรือน้อยไว้  หาไม่แล้วหากพลัดตกลงไป ในที่สุดต้องกลับกลายเป็นอาหารของฝูงฉลาม…’

ขณะนั้น เรือน้อยพลันหมุนตลบกลางอากาศ  จากนั้นเสมือนกับถาดไม้ลักษณะยาวใบหนึ่ง  พุ่งละลิ่วลงบนพื้นทะเลทันที

ซิเล้งกระชับไม้พายไว้  อาศัยสภาวะที่ตัวเรือหมุนตลบ  เรือนร่างก็พุ่งควับขึ้นไป  เรือน้อยที่คล้ายจอกแหนจึงลอยกระเพื่อมลงสู่ด้านล่าง  ยังประเสริฐที่สามารถลอยพ้นเหนือผิวน้ำได้

ซิเล้งกลับพุ่งร่างลงบนผิวทะเล  ซึ่งอยู่ห่างไปกว่าสองวา  ประกายตายามกวาดมองพบเห็นฉลามใหญ่เจ็ดแปดตัวกำลังแหวกว่ายอย่างพลุ่งพล่าน  ขอเพียงทิ้งร่างลง  ท่ามกลางเขี้ยวอันแหลมคมของฝูงฉลามย่อมไม่มีทางรอดชีวิตได้

ในห้วงสมองยังมิทันมีความคิดใดๆ ก็แลเห็นฉลามใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งฝ่าผิวน้ำขึ้นมา ดังนั้นจึงกวัดแกว่งไม้พายในมือขวาทิ่มแทงใส่ส่วนศีรษะของปลาฉลามในบัดดล

ไม้พายเพิ่งสัมผัสกับส่วนหัวฉลาม  ก็บังเกิดพลังสะท้อนอันเข้มแข็งกระแสหนึ่งพุ่งกลับมา ซิเล้งถึงกับใจเต้นระทึกตูมตามรีบโคจรลมปราณอันบริสุทธิ์  อาศัยพลังกระแทกนี้พุ่งร่างลอยไปวาเศษแล้วค่อยกรีดแฉลบลงบนลำเรือ

สองเท้าพอเหยียบย่างกระดานเรือได้ จึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมา แต่ทว่าเหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่นยังคงดำเนินต่อไป

ปลาวาฬมหึมาตัวนั้น ภายใต้การรุมล้อมของฝูงฉลามที่บ้าคลั่ง  ทั่วทั้งลำตัวจึงมีบาดแผลเกลื่อนกลาดท่ามกลางลมทะเลที่พัดกระหน่ำ ได้พาเอากลิ่นคาวโลหิตโชยคละคลุ้ง

ปลาวาฬแม้จะใช้หางอันใหญ่โตและปากที่คมกล้ามุ่งตีโต้ตลอดเวลา  แต่ก็ประสบผลไม่มากนักดังนั้นลำน้ำที่พุ่งจากรูจมูก  ยิ่งนานยิ่งเร่งร้อน  แหวกว่ายหลบหนีอย่างวุ่นวาย

นาวาน้อยเผชิญกับมรสุมถูกกระแทกขึ้นไปเบื้องบนติดต่อกันสี่ห้าครั้ง  เพราะเกิดจากปลาวาฬมหึมากับนาวาลำน้อยอยู่ในระยะกระชั้นชิด  ยังประเสริฐที่ซิเล้งใช้วิชาฝีมือที่แตกฉานอย่างสงบไม่ลนลาน  นาวาน้อยจึงมิถึงกับล่มสลาย

ยามนั้น ท่อนหางอันยาวเหยียดของฉลามร้ายตัวหนึ่งได้กวาดกระแทกเข้ามา  บังเกิดเสียงดังโครมกึกก้อง ซิเล้งเข้าใจว่าเรือน้อยแตกแยกถูกทำลายเสียแล้ว แต่ความจริงตรงหัวเรือเพียงถูกทำลายไปส่วนหนึ่ง

ซิเล้งกวาดสายตาสำรวจดูทั่วสี่ทิศแปดทาง ล้วนมีฉลามร้ายแหวกว่ายไปมา มิทราบว่ามีมากเท่าใด ส่วนปลาวาฬที่คล้ายเกาะเล็กๆ อยู่นอกรัศมีหลายวา  กระแสน้ำอื้ออึงดังสะท้านโสต

ปลาวาฬมหึมายิ่งแหวกว่ายยิ่งใกล้เข้ามา  ฉลามร้ายเจ็ดแปดตัวก็กระโดดปราดพ้นผิวน้ำ  ดังนั้น ซิเล้งส่งเสียงกู่ร้องอันยาวนานมิคำนึงถึงความปลอดภัยไม้พายส่งมาที่มือซ้าย มือขวารีบตะปบกระบี่ยาวอันคมกล้าสาดประกายเย็นยะเยียบออกมา

เรือนร่างพลันพุ่งละลิ่วขึ้นสู่เบื้องบน  กระบี่ยาวแผ่ประกายกรีดฉวัดเฉวียนออก  ท่ามกลางห่าโลหิตที่ฉีดกระจาย  ปรากฏฉลามร้ายสามตัวถูกทิ่มแทงเสียชีวิต  นอกจากนั้น ยังใช้ไม้พายทิ่มแทงทำร้ายฉลามอีกตัวหนึ่ง

ความจริง ปลาฉลามเหล่านี้ มีผิวหนังทนทานยิ่งนัก มิหวั่นหวาดต่อคมดาบกระบี่ทั่วไป  แต่ซิเล้งจู่โจมโดยแฝงพลังภายในอันลึกล้ำ ดังนั้นฝูงฉลามจึงถูกทำลายล้างไป

แต่ทว่า  ซิเล้งพลันคำนึงถึงปัญหาอีกข้อหนึ่ง  กล่าวคือกระบี่ยาวในมือเป็นศาตราวุธที่สร้างจากเหล็กกล้าสามัญ  หากแผ่พุ่งกำลังโหมจู่โจม มาตรแม้นสามารถประหารฝูงฉลามร้าย แต่ในที่สุดยังต้องหักสลาย

ดังนั้น รีบใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แล้วพลันเปลี่ยนแปลงวิธีการจู่โจม  ทุกๆ กระบี่มุ่งทิ่มแทงใส่ดวงตาฉลามร้าย จนห่าโลหิตฉีดพุ่งสาดกระจายตลอดเวลา

ไม้พายในมือซ้ายก็เสือกแทงอย่างปราดเปรียว พยายามรักษามิให้แตกหัก

ยามนั้น ฉลามร้ายสองตัว พลันพุ่งกระแทกลงบนพื้นเรือ ท่ามกลางเสียงระเบิดดังกึกก้อง นาวาน้อยก็แตกสลายเป็นเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ซิเล้งพลันกรีดพุ่งร่างไปยังปลาวาฬมหึมา ขยับกายวูบหนึ่งก็ลงบนลำตัวที่คล้ายบรรพตน้อยลูกหนึ่งได้

สองเท้าเพิ่งสัมผัสถูกลำตัวปลาวาฬ  รู้สึกลื่นไถลยิ่งนัก  ยากที่จะทรงกายให้มั่นคง  จึงอาศัยวิชาฝีมือที่ฝึกปรือมาเคลื่อนไหวร่างกายตามสภาพการแหวกว่ายของตัวปลาวาฬ จนมิพลัดตกลงไป  พร้อมกันนั้นที่จับตาดูครีบปลาที่งอกออกมาทางด้านหน้าห้วงสมองมีความคิดประการหนึ่ง

ควรทราบว่าปลาวาฬมหึมามีร่างมโหฬารยาวเกือบหกเจ็ดวา  ขณะที่มันโผล่ส่วนหลังขึ้นบนผิวน้ำจะมีสภาพราวกับบรรพตเล็กๆ ลูกหนึ่ง  ส่วนศีรษะใหญ่โตยิ่งนัก  ถึงกับยึดครองส่วนสัดหนึ่งในสามของตลอดทั่วร่าง

ปากของปลาวาฬกว้างใหญ่  ไม่มีฟันเขี้ยวแต่กรามบนมีแผ่นอันเบาบาง แต่แข็งแกร่งสามร้อยหกสิบอัน  ทุกๆ อันยาวถึงแปดเก้าเชียะ คล้ายกับซี่กรงใหญ่ในประตู

แต่ทว่าส่วนลำคอปลาวาฬแคบเล็ก  สามารถกลืนอาหารส่วนน้อยและก็หาอาหารได้ง่ายดาย  เพียงดูดน้ำทะเลเข้าไปแล้วระบายน้ำออกมาตามซอกฟัน  ส่วนอาหารก็จะติดค้างอยู่ในปาก

ปลาวาฬไม่มีครีบตรงสันหลัง  ส่วนครีบข้างลำตัวอยู่ที่ด้านหลังของดวงตา  มีส่วนหนึ่งมักโผล่พ้นมาทางผิวน้ำ  ซิเล้งจึงสูดลมหายใจลึกๆ ฉกฉวยโอกาสที่ปลาวาฬมหึมาลอยขึ้นรีบพุ่งร่างเข้าไป

ซิเล้งยื่นเท้าข้างหนึ่งเหยียบนิ่งอยู่บนครีบ  แม้ยังมิอาจทรงกายมั่นคง  แต่ในเมื่อมีที่หยั่งเท้า  อาศัยพลังการฝึกปรือลึกล้ำ  นับว่ามั่นเหมาะแล้ว

ขณะนั้น  ซิเล้งยังมีความคิดอีกประการหนึ่ง  รีบใช้กระบี่ยาวปาดใส่ไม้พายจนปลายด้านหนึ่งยาวแหลมจนเป็นสภาพงองุ้มดั่งตาขอ  จากนั้นเสือกแทงเข้าไปที่กระดูกท่อนหนึ่งในครีบปลา

ปลาวาฬมหึมา  ตลอดลำตัวรับบาดแผลอยู่ก่อน การถูกทิ่มแทงครั้งนี้จึงแทบมิรู้สึก  ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

ซิเล้งลอบปีติลิงโลด  ใช้เท้าทั้งสองข้างหนีบไม้พายไว้  ลองทดสอบความมั่นคงดู จึงอาศัยไม้ท่อนนี้อย่างวางใจ

แล้วจึงส่งเสียงกู่ร้องยาวนาน  สะบัดกระบี่เสือกแทงใส่ฉลามร้ายที่แหวกว่ายมาใกล้เคียง  ฉลามร้ายเนื่องเพราะมีจำนวนมากมายแหวกว่ายอย่างรวดเร็วจึงมีจำนวนแออัดยิ่งขึ้น

ซิเล้งเมื่อมีที่หยั่งเท้า  จิตใจไม่พะวักพะวนเฉกเช่นเมื่ออยู่บนเรือ  การจู่โจมดำเนินอย่างฉับไว  โลหิตสีแดงฉานแผ่กระจายตามสายน้ำตลอดเวลา  ปรากฏฉลามร้ายถูกแทงดวงตาไปอีกยี่สิบกว่าตัว

ทันใด  ในฝูงฉลามร้ายพลันบังเกิดความปั่นป่วน  ที่แท้บรรดาฉลามร้ายที่ถูกทิ่มแทงดวงตา  ทางหนึ่งเพราะเจ็บปวดรวดร้าว  อีกทางหนึ่งเนื่องจากตาบอดสนิท  จึงไม่จำแนกเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน  พอพบพานก็ฉกกัดทำร้ายเป็นพัลวัน

ฝูงฉลามร้ายเมื่อล้างผลาญกันเอง  สภาพการณ์ยิ่งน่าพรั่นพรึง  ช่วงเวลานั้นปรากฏฉลามใหญ่สองตัวพุ่งเข้าจู่โจมซิเล้งอย่างกะทันหัน

ซิเล้งเบี่ยงกายหลบเลี่ยงไปตัวหนึ่ง  พลางสะบัดกระบี่ทิ่มแทงใส่อีกตัวหนึ่งพุ่งมาทางเบื้องหลัง  จึงได้แต่กระแทกฝ่ามือกวาดกราดออก

ได้ยินเสียงระเบิดดังโครมใหญ่  ฉลามร้ายตัวนั้นปลิวกระเด็นไปหลายเชียะ และปะทะกับลำตัวปลาวาฬอย่างรุนแรง  ปลาวาฬมหึมาจึงบังเกิดความกระทบกระเทือนจนดำดิ่งลงสู่ทะเลทันที

น้ำทะเลพอท่วมท้นมาถึงข้อเท้า ตนก็สำนึกว่าแย่แล้ว  รีบหมอบฟุบกายแนบสนิทกับตัวปลาวาฬเพื่อมิให้ถูกกระแสคลื่นในท้องทะเลซัดกระเด็นไป

แต่ทว่าเมื่ออยู่ในใต้น้ำ ก็ไม่มีโอกาสจู่โจมอีก  โดยนัยกลับมีแต่รับอันตรายจากการถูกทำร้าย  ซิเล้งจึงตำหนิความเหลวไหลของปลาวาฬมหึมา  ในวินาทีนั้นตลอดเรือนร่างก็ถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นยะเยียบ

ยามนี้มาตรแม้นในมือมีกระบี่  แต่ในน้ำทะเลหนึ่งนั้น  ไม่สามารถร่ายรำอย่างปราดเปรียว  สองสายตามิอาจเห็นชัดจึงไม่มีประโยชน์แต่ประการใด

ปลาวาฬมหึมาทางหนึ่งดำดิ่งลง  ทางหนึ่งแหวกว่ายไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว  แต่ซิเล้งยังรู้สึกว่ามีฉลามร้ายมุ่งจู่โจมโดยมิยอมเลิกรา

ซิเล้งรู้สึกว่าโอกาสรอดชีวิตเวิ้งว้างเลื่อนลอยยิ่งนัก  อย่าว่าแต่จะรอดชีวิตจากฝูงฉลามเลย ปลาวาฬมหึมาตัวนี้ยังแหวกว่ายอยู่ในน้ำอันไพศาล  จวบจนตกตายเพราะมิมีทางกลับสู่พื้นพสุธา

ขณะอยู่ในภาวะเลวร้าย  สัญชาตญาณรักชีวิตยังกระตุ้นหนุนเตือน  ซิเล้งพลันทบทวนถึงแนววิชาไม้ตายประการหนึ่ง  คือวิชาซกกุกซิ่งกง (วิชาเทพยดาย่อกระดูก)

เนื่องจากตนมีธาตุทารกอยู่ และได้รับการถ่ายทอดยืมพลังจากขุนพลไร้กร  ดังนั้นจึงสามารถหดย่อเรือนร่างกลับกลายเป็นทารกน้อยได้

ซิเล้งรีบปฏิบัติตามวิชาเทพยดาย่อกระดูก ทำให้ร่างกายหดเล็กและพยายามเบียดเสียดร่างกายเข้าไปในซอกลึกของครีบปลา พร้อมกับยื่นกระบี่ยาวออกจากช่องว่างสู่ภายนอก  วิธีเช่นนี้หากมีฉลามร้ายรุกรานมา ก็ต้องเผชิญกับกระบี่และรู้สึกตัวขึ้น

ขณะนั้นพลังการกดดันของน้ำทะเลได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล  แสดงว่าปลาวาฬมหึมาถึงกับดำดิ่งจนลึกล้ำ  สีสันของน้ำทะเลก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดสลัว  แม้จะเบิ่งตากลมกว้างก็ยังมิอาจแลเห็นสภาพใดๆ

ความรวดเร็วในการดำดิ่งของปลาวาฬใหญ่มิลดถอยแม้แต่น้อย  ซิเล้งต้องสูญเสียความพยายามอย่างเหลือแสน  ร่างกายจึงมิถูกกระแสน้ำพัดกระหน่ำหลุดลอยจากตัวปลาวาฬไป

มิทราบกาลเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าใด  ตัวกระบี่ยาวที่ยื่นออกไม่มีปฏิกิริยา  ในสามัญสำนึกคล้ายดั่งไม่มีฉลามร้ายติดตามมาทำร้าย  ซิเล้งย่อมมิทราบว่า นี่เกิดจากการปั่นป่วนของฝูงฉลามมุ่งคอยประหารกันเอง  จึงปล่อยให้ปลาวาฬมหึมาดำสู่ก้นทะเลหลบหนีมา

กาลเวลาแปรเปลี่ยนจนเชื่องช้ายากผ่านพ้น  ซิเล้งพยายามผนึกรวมรั้งกำลังภายในกายมิให้ระบายกระจายออก  แต่ก็สำนึกดีว่าตัวเองมิอาจประคับประคองต่อไปได้เนิ่นนาน  เนื่องจากการอยู่ในใต้น้ำเป็นสภาพอันเลวร้ายมิคุ้นเคย

ซิเล้งก็อดระแวงสงสัยมิได้ว่า ปลาวาฬมหึมาไฉนแหวกว่ายต่อไปโดยมิเสื่อมโทรมกำลัง  หากว่ามันอ่อนแรงลง  ย่อมต้องโผล่พ้นสู่ผิวน้ำ  แต่สภาพการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่

ขณะนั้นพลังการกดดันจากคลื่นใต้ท้องน้ำพลันผ่อนคลายลง  ซิเล้งบังเกิดความปลาบปลื้มลิงโลดคำนึงขึ้น

‘…ปลาวาฬใหญ่เอย  มิเสียทีที่เราช่วยเหลือเจ้า  ทำลายฉลามร้ายไปมากมาย  รีบลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อให้เรามีโอกาสระบายลมหายใจเถอะ…’

น้ำทะเลเริ่มกระจ่างสดใส  มินานให้หลังรู้สึกร่างกายเบาหวิว  ในที่สุดลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ  ซิเล้งสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ กวาดสายตามองรอบบริเวณ  แลเห็นท้องน้ำกับแผ่นฟ้าจรดกันเป็นสีครามแผ่ไพศาล  มิทราบอยู่ตำแหน่งใดในน่านน้ำ?

ซิเล้งอาศัยที่ชายหาดมาครึ่งปี  ทราบความกว้างไพศาลของพื้นทะเลสุดที่จะคาดคิดประมาณได้  บัดนี้ พอพบเห็นท้องน้ำสีครามกว้างไกลไร้ขอบเขต ถึงกับสยิวกายออกมาอย่างหนาวเหน็บ

ปลาวาฬมหึมาบนลำตัวมีบาดแผลเกลื่อนกลาดและผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดกับแหวกว่ายเป็นระยะอันยาวไกล  ในยามนี้จึงลอยพลิ้วอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง  ลำน้ำที่พุ่งจากรูจมูกพ่นอย่างกระชั้นชิดแต่ไม่สูงนัก  แสดงว่าอ่อนกำลังจนระโหยโรยแรง

ท้องฟ้าใกล้สนธยาแต่ผิวน้ำยังแจ่มชัด  ซิเล้งออกทะเลมาเมื่อยามเช้าเผชิญกับภยันตรายครั้งนี้ ทำให้สูญเสียเวลาไปหนึ่งวันโดยมิรู้สึกตัว

ซิเล้งกระโดดขึ้นบนสันหลังปลาวาฬอย่างระมัดระวัง  ทบทวนวิชาเทพยดาย่อกระดูก ฟื้นฟูร่างให้มีลักษณะดังเดิม  กวาดสายตามองพบแต่พื้นทะเลที่จรดกับแผ่นฟ้า ไม่มีพื้นที่ราบจึงคำนึงอย่างเลื่อนลอย

‘…ปลาวาฬอาศัยอยู่ในท้องทะเล  เราหากต้องดำรงชีวิตท่ามกลางสภาพเช่นนี้ หากมิตกตายไปก็คงวิปลาสฟั่นเฟือน…’

พอฉุกคิดเช่นนั้น ถึงกับบังเกิดความหนาวเย็นไปทั่วสรรพางค์กาย  มินานให้หลังท้องฟ้ามืดค่ำลง  จึงใช้กระบี่ยาวแทงปลาทะเลยาวเชียะเศษตัวหนึ่ง จัดการฟอกเกล็ดและตัดส่วนหัวหางและตับไตภายใน แล้วรับประทานประทังความหิว

การกลืนกินเช่นนี้  ซิเล้งมีความเคยชินแล้ว จึงมิรู้สึกยากลำบาก  บนท้องนภาปรากฏหมู่ดาวรายล้อม จันทรารูปครึ่งเสี้ยว บังเกิดปัญหาว่าจะหลับนอนกันอย่างไร?

ซิเล้งขบคิดอย่างวุ่นวาย  แล้วจึงปลดสายรัดเอวออกผูกข้อมือติดกับไม้พายอย่างรัดกุม  ซึ่งวิธีนี้หากปลาวาฬดำลงใต้น้ำ ตนก็ยังอาศัยอยู่โดยมิพลัดพรากไปจากนั้นพริ้มตาหลับพักผ่อน

ยามวิกาลดึกดื่น  ซิเล้งพลันตื่นขึ้นมา แต่มิใช่ตัวเองอยู่ใต้น้ำ หากแต่บังเกิดความรู้สึกอย่างพิเศษพิสดารขึ้นก่อนอื่นเงี่ยหูรับฟังดู

ท่ามกลางลมทะเลที่พัดพา  เสมือนกับแว่วกระแสเสียง ซึ่งแผ่วเบายิ่งนัก  แต่มิใช่สภาพหลอกหลอนอย่างแน่นอน  ทำให้ซิเล้งรู้สึกนอกเหนือความคาดหมายรีบกวาดตามองไป

ที่ห่างไกลเหนือผิวน้ำ ปรากฏแสงโคมไฟสว่างวูบวาบ  สร้างความแตกตื่นให้กับซิเล้งอย่างใหญ่หลวง  หลังจากพินิจพิจารณาทราบว่า เป็นโคมไฟของนาวามหึมาลำหนึ่งซึ่งคล้ายกับทอดสมออยู่

ในอาณาเขตนี้  เป็นกลางทะเลอันเวิ้งว้าง  นาวาลำใหญ่นี้เหตุใดจึงจอดลอยที่ทะเลกว้าง?  นับเป็นปมปริศนาน่าสงสัย

ซิเล้งพลันคาบกระบี่ยาวอยู่ในปากจับจ้องปลาวาฬมหึมาคำนึงในใจ

‘…ปลาวาฬเอย ลาก่อน  เรามิว่าอย่างไรต้องแหวกว่ายไปยังเรือลำนั้น  แม้ว่าจะเป็นนาวาสลัดของโจรชาวญี่ปุ่นก็ตาม…’

จากนั้น ซิเล้งพลิ้วร่างออกด้วยวิชาตัวเบาอันปราดเปรียว พุ่งลงสู่ผิวน้ำ  อาศัยความรวดเร็วดำดิ่งสู่นาวาลำมหึมาที่ทอดสมอนั้นทันที

ขณะจะบรรลุถึง ก็เป็นเวลาใกล้รุ่งสางแล้ว พร้อมกันนั้น ซิเล้งรู้สึกว่าเรือใหญ่ลำนี้เป็นของสลัดชาวญี่ปุ่นจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง  มาตรมิเช่นนั้น หากร่องรอยถูกพบพานผลสุดท้ายย่อมมิต้องขบคิด

ซิเล้งเพิ่มความเร็วดำดิ่งต่อไป  เนื่องจากตนมีรากฐานพลังฝีมือลึกล้ำ  กำลังภายในกายจึงกำเนิดขึ้นตลอดเวลา ประกายตาพอกวาดมอง ก็พบเห็นที่หางเรือมีเชือกหยาบๆ เส้นหนึ่งจึงไต่ขึ้นไปอย่างเงียบงัน

ซิเล้งถอยตัวมาถึงกราบเรือ  ขอบฟ้าบูรพาก็ปรากฏแสงสีอันเลือนราง จึงลอบสะท้านใจวาบ คำนึงขึ้น

‘…หากชักช้าอีกต่อไป  ทุกผู้คนในสำเรือคงลุกขึ้นมาแล้ว  เมื่อถึงเวลานั้น ก็ยากที่จะเสาะหาที่ซุกซ่อนได้…’


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่